ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 273 ไอ้โง่ยังกล้าไปล่วงเกินประธานหลินอีก?

บทที่ 273 ไอ้โง่ยังกล้าไปล่วงเกินประธานหลินอีก?

บทที่ 273 ไอ้โง่ยังกล้าไปล่วงเกินประธานหลินอีก?

และไม่เคยคิดเลยเช่นกัน พ่อตาเขา นิ่งจองเป่าเป็นคนระดับไหนกัน?

นั่นคือหนึ่งในผู้ดูแลและเป็นสามยักษ์ใหญ่ของตระกูลนิ่งเชียวนะ สิทธิ์์ในการพูดใหญ่ที่สุดในตระกูลนิ่ง!

ด้วยยาจกอย่างหลินอิ่ง เกรงว่าแม้แต่สิทธิ์์ในการเลียรองเท้าพ่อตาเขาก็ยังไม่มี

“ต้ากวาง ไป ฆ่าไอ้หลินอิ่งนี่ซะ ค่อยเอามือถือมันมา กูจะดูสิว่า เมื่อกี้มันคุยกับใคร แถมยังกล้าสวมรอยเป็นพ่อตากูอีก กูจะต้องสืบหาตัวไอ้คนคนนี้ออกมา แล้วฆ่ามันซะ!” จ้าวเจี้ยนหนิงกล่าวอย่างโอหัง ออกคำสั่งกับชายหัวล้านข้างตัว

ชายหัวล้านพร้อมจะลงมือนานแล้ว เขายกกระบองเหล็กขึ้นมาตีกับฝ่ามือ ชายหน้าโหดที่อยู่ด้านข้างก็ถือกระบองเหล็กตามมาด้วย ก้าวเดินอย่างช้าๆ มาทางหลินอิ่ง

และที่ด้านหลังพวกเขา มีมือปืนสิบกว่าคนจ้องฮาเดสด้วยสีหน้าเย็นเยียบ ขอเพียงบอดี้การ์ดต่างชาติคนนี้ยังกล้าขยับแม้แต่นิดเดียว ก็จะถูกยิงทันที

หลินอิ่งมุมปากยิ้มเยาะ เขาเพิ่งจะรู้เหมือนกันว่าที่แท้จ้าวเจี้ยนหนิงก็คือลูกเขยของนิ่งจองเป่า ชักจะน่าสนุกหน่อยแล้ว

“แกเป็นคนมีระดับหรือไม่ฉันไม่รู้ แต่สีหน้าแบบนี้ไม่เลวเลย ในสถานการณ์เช่นนี้ แกยังสงบนิ่งได้ถึงขนาดนี้เชียว?” ชายหัวล้านทำท่าครุ่นคิดมองหลินอิ่งพลางกล่าว หน้าตาราวกับคนชั้นต่ำเล่นลูกไม้

ครืดๆๆๆ!

เวลานี้ มือถือของจ้าวเจี้ยนหนิงก็ดังขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง เป็นสายที่ดูร้อนใจอย่างมาก

“นี่?” จ้าวเจี้ยนหนิงมองเบอร์บนหน้าจอมือถือ ทำท่าทางลังเลใจขึ้นมา จากนั้นก็รับสายโทรศัพท์

“พ่อตา คุณมีเรื่องอะไรครับ?” จ้าวเจี้ยนหนิงรับสาย เอ่ยพร้อมกับยิ้มเข้าสู้

แม้จะบอกว่าจ้าวเจี้ยนหนิงเป็นคุณชายที่มีตำแหน่งฐานะในตระกูลจ้าว แต่ต่อหน้าพ่อเขยนิ่งจองเป่า ยังคงรักษาความนอบน้อมไว้อย่างเต็มที่

หากยึดตามความสามารถพูดได้ว่า บิดาแท้ๆ ของจ้าวเจี้ยนหนิงยังห่างชั้นกว่านิ่งจองเป่าอีกไกล

จ้าวเจียนหนิงสามารถแสดงความสามารถออกมาเต็มร้อยจากในบรรดาคนรุ่นเดียวกันของตระกูลจ้าว ฐานะที่ครอบครองจึงไม่ธรรมดา นั่นเป็นเพราะนิ่งจองเป่าให้ความช่วยเหลือเขาอย่างมาก นี่ก็คือที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของเขา เป็นแหล่งเงินทุนชั้นยอด

“จ้าวเจี้ยนหนิง ฉันถามหน่อย ก่อนหน้านี้แกมาหาพ่อบ้านใหญ่ของฉันเพื่อระดมคน บอกว่าเพื่อนของนิ่งซวนตบแก

เพื่อนของนิ่งซวน ใช่คนหนุ่มที่ชื่อหลินอิ่งหรือเปล่า?” ที่ปลายสาย เสียงของนิ่งจองเป่าเคร่งเครียดถึงขีดสุด

“หา?” จ้าวเจี้ยนหนิงตกตะลึงตาค้าง “พ่อตา คุณรู้ได้ยังไงครับ ว่าชื่อหลินอิ่ง หรือว่าคุณรู้จักเขาจริงๆ?”

หน้าผากจ้าวเจี้ยนหนิงมีเหงื่อผุดขึ้นมา มองไปทางหลินอิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง

นี่มันอะไรกัน? หลินอิ่งรู้จักนิ่งจองเป่าพ่อตาของตนจริงๆ? เป็นไปไม่ได้หรอก ท่าทางยาจกแบบนี้ จะมีสิทธิ์์พูดคุยกับคนมีอำนาจระดับสูงเหล่านั้นได้ยังไง?

“ไอ้โง่!” น้ำเสียงของนิ่งจองเป่าที่ดังมาจากปลายสายโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด “แกมันไอ้โง่รนหาที่ตาย! นั่นเป็นคนที่แกล่วงเกินได้เหรอ? ไม่รู้จักที่ตาย!”

“ตอนนี้ แกรีบไปขอโทษประธานหลินให้ฉันเสียดีๆ ประธานหลินให้แกทำอะไร แกก็ทำอย่างนั้น! จากนั้นก็รออยู่ที่เดิม รอฉันไปแก้สถานการณ์ที่นั่น ไม่ต้องถามเหตุผล! ได้ยินไหม?” นิ่งจองเป่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดอย่างยิ่ง

“คุณก็เรียกเขาว่าประธานหลินด้วย? นี่มันเรื่องอะไรกัน?” จ้าวเจี้ยนหนิงรู้สึกราวกับเห็นผีตัวเป็นๆ ช่างเหลือเชื่อโดยแท้

ทำไมพ่อตาก็เรียกหลินอิ่งว่าประธานหลินเหมือนกัน? หรือว่า นิ่งซวนจะไม่ได้พูดเกินจริง? หลินอิ่งเป็นคนใหญ่คนโตท่านหนึ่งจริงๆ?

“อย่าพูดเหลวไหลอีก แกนี่มันโง่ แกเกือบทำให้ฟ้าถล่มแล้วรู้ไหม? ยังกล้าส่งคนไปจัดการหลินอิ่งอีก?” นิ่งจองเป่าโกรธที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ “ตอนนี้แกเอามือถือให้ประธานหลิน ฉันต้องการช่วยแกขอความเมตตากับประธานหลิน หากประธานหลินโกรธล่ะก็ แกก็รอความตายได้เลย!”

รอความตาย!

สองคำนี้เหมือนกับสายฟ้าฟาด ฟาดลงกลางใจของจ้าวเจี้ยนหนิง

จ้าวเจี้ยนหนิงราวกับถูกฟ้าผ่า ทั่วร่างมึนงงไปหมด สองตาไร้แวว มองหลินอิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ส่วนหลินอิ่งใบหน้าเรียบเฉย มองไม่ออกถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ใดๆ นี่จึงทำให้ภายในใจของจ้าวเจี้ยนหนิงรู้สึกหวาดกลัว รับรู้ได้ว่าคนใหญ่คนโตท่านนี้ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา

น่ากลัวเกินไปแล้ว หลินอิ่งถึงกับทำให้นิ่งจองเป่าพ่อตาเขายำเกรงจนกลายเป็นเช่นนี้

จ้าวเจี้ยนหนิงก็เป็นเช่นนี้ สองตาเลื่อนลอย หน้าตาอมทุกข์ เดินไปหาหลินอิ่งทีละก้าว ก้มศีรษะ ส่งมือถือ เอ่ยอย่างตะกุกตะกักว่า “หลิน ประธานหลิน ผม พ่อตาผม อยากคุยกับคุณ”

เวลานี้ เขาแทบอยากจะหารอยแยกที่พื้นแล้วแทรกเข้าไป ขายหน้าไปยันต้นตระกูลเลยทีเดียว เมื่อกี้ยังเยาะเย้ยหลินอิ่งสารพัดอย่างอวดดีอยู่เลย แค่คิดไม่ถึงว่า เจ้าตัวจะเป็นคนใหญ่คนโตจริงๆ กระทั่งพ่อตาตนเองยังทำราวกับเห็นคนเป็นพระโพธิสัตว์ไปแล้ว!

มิน่าหลินอิ่งเผชิญหน้ากับคนมากมายที่ตนเองพามา ก็ยังรักษาความสงบไว้ได้ บางที ในสายตาของหลินอิ่งนี่อาจจะเป็นเรื่องตลกอย่างหนึ่งสินะ?

ส่วนคนทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์ เวลานี้แต่ละคนก็เบิกตากว้างมองหลินอิ่งเช่นเดียวกัน

ไม่มีใครกล้าส่งเสียง ทั้งร้านน้ำชาเงียบเป็นเป่าสาก

น่าตกใจเกินไปแล้ว ชายหนุ่มที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว แต่งตัวเหมือนคนธรรมดาสามัญนี้ จะถึงกับมีพลังที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้? ทำให้คุณชายใหญ่แห่งตระกูลจ้าวผู้ยิ่งใหญ่ก้มศีรษะ ถึงขั้นทำให้พ่อตาของจ้าวเจี้ยนหนิงก้มศีรษะได้!

นาทีนี้ เงาร่างของหลินอิ่ง คล้ายกับเทพบนสวรรค์ ที่ประทับนิ่งอยู่ในใจของแต่ละคน ยากคาดเดาเกินไปแล้ว

หลินอิ่งมองไปที่จ้าวเจี้ยนหนิง จ้าวเจี้ยนหนิงฝืนยิ้มออกมาบนใบหน้า ค้อมเอวก้มศีรษะยกมือถือที่ยังวิดีโอคอลอยู่ยื่นให้ด้วยสองมือ ราวกับบ่าวรับใช้คนหนึ่ง ไหนเลยยังจะกล้าแสดงท่าทางอวดดีอย่างก่อนหน้านี้ออกมาอีก

“ประธานหลิน ขออภัยด้วย ขอโทษด้วยจริงๆ เรื่องนี้ผมหละหลวมเอง ไม่คิดเลยว่าลูกเขยผมจะถึงกับทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ ต้องโทษที่ผมสั่งสอนเขาไม่ดีพอ ขออภัยด้วยจริงๆ ครับ” บนหน้าจอมือถือ นิ่งจองเป่าขอโทษด้วยความเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง

หลินอิ่งไม่แสดงท่าทีอะไร แววตาเย็นเยียบ

“ประธานหลิน ขอเวลาคุณสักสองสามนาที ผมจะรีบไปร้านน้ำชาซินสุยเดี๋ยวนี้ ชดใช้ความผิดให้คุณด้วยตัวเอง” นิ่งจองเป่าพูดพร้อมกับยิ้มแย้ม “นอกจากนี้ ก็จะเลี้ยงต้อนรับประธานหลินด้วยเช่นกัน มาถึงตี้จิงแล้ว ผมต้องต้อนรับและจัดการให้คุณอย่างดี”

“รอคุณมาที่นี่ค่อยว่ากัน” หลินอิ่งเสียงเรียบ

“ได้ๆ” นิ่งจองเป่ากล่าวอย่างโล่งอก แล้ววางสาย

หลินอิ่งยกชาขึ้นมา พลางละเลียดชิมไปหนึ่งคำ เขาเองก็อยากจะดูว่า ยาอะไรที่นิ่งจองเป่าจะขายในผลน้ำเต้า

คนทั้งหมดที่จ้าวเจี้ยนหนิงพามา เหมือนกับได้รับแรงกดดันมหาศาล หน้าผากต่างหลั่งเหงื่อเย็นออกมา พวกเขามองเงาร่างที่ตั้งตระหง่านของหลินอิ่ง ภายในใจหวาดกลัวไม่สงบ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท