ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 282 ยอมรับว่าตัวเองไร้น้ำยายากมากเหรอ

บทที่ 282 ยอมรับว่าตัวเองไร้น้ำยายากมากเหรอ

บทที่ 282 ยอมรับว่าตัวเองไร้น้ำยายากมากเหรอ

พาณิชย์พลาซ่าหลงเถิง ภัตตาคารหลงเถิง

จางฉีโม่กับนิ่งเสี่ยวชิงทั้งกลุ่ม เพิ่งออกจากร้านกาแฟพรานซิส มาถึงทางเข้าภัตตาคาร

จากคำขอของนิ่งเสี่ยวชิง อยู่รอหลินอิ่งมาโดยเฉพาะ

ทุกคนรอไปสักพัก ก็เริ่มทยอยมีรถขับเข้ามา ล้วนเป็นรถของเพื่อนร่วมห้องจางฉีโม่

“ฉีโม่ ขอแนะนำหน่อย คนนี้คือสามีของหูเสว่ ทำงานในบริษัทหลักทรัพย์ต่างชาติแห่งหนึ่ง ตำแหน่งรองประธาน”

คนเริ่มมากันเรื่อยๆ สีหน้าเพื่อนร่วมห้องแต่ละคนก็แนะนำกันอย่างสีหน้าภูมิใจ

คนที่อยู่ในงาน ใครก็มีตำแหน่งหน้าตาในสังคม ล้วนรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าสามีไร้น้ำยาของจางฉีโม่เยอะ ความรู้สึกเหนือกว่าคนอื่น ต้องแนะนำให้ทุกคนรู้

จางฉีโม่พยักหน้ายิ้ม

“หลินอิ่งทำไมยังไม่ถึง? เขาคงไม่ได้เดินมาหรอกนะ? ฉีโม่ ไม่มีรถก็บอกแต่แรก ฉันจะได้ให้คนขับรถไปรับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างเสียดสี

“อ้าย จริงๆเลย ดูหลินอิ่งแบบนี้แล้วพึ่งอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้จักรักษาเวลาเลย คนแบบนี้ดูแล้วก็มีจุดยืนในสังคมยาก ทำตัวไร้น้ำยาแบบนี้ก็สมแล้ว” ชายหนุ่มอีกคนพูดขึ้น ทำท่าทางดูนาฬิกา

นิ่งเสี่ยวชิงสีหน้าได้ใจ พอใจกับสถานการณ์ตอนนี้มาก วันนี้เธอต้องให้หลินอิ่งมา แล้วให้จางฉีโม่เสียหน้าถึงที่สุด เธอถึงจะพอใจ

ใครให้จางฉีโม่เป็นที่รักของเพื่อนนักเรียนด้วยกัน? อีกอย่างไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งนั่นยังกล้าอวดดีในโทรศัพท์อีก

เวลาเดียวกัน รถBentleyสีดำขับมาถึงหน้าภัตตาคาร

ชายต่างชาติในชุดเสื้อคลุมสีดำเดินลงมาจากรถแล้วเดินไปเปิดประตูรถ จากนั้น ก็มีชายหนุ่มเสื้อขาวเดินลงมา

หลินอิ่งไม่สนใจใครสักคน มองไปที่หลินอิ่ง พูดว่า “ฉีโม่ คุณเป็นอะไรไหม?”

“ไม่เป็นไร” จางฉีโม่พูด

หลินอิ่งพยักหน้า

เขารู้ว่าจางฉีโม่จบจากมหาลัยตี้จิง แต่ว่า เขาไม่เคยเข้าร่วมแวดวงเพื่อนของจางฉีโม่เลย ไม่รู้จักคนพวกนี้

“นี่? เขาคือหลินอิ่ง?”

“ดูแล้ว เหมือนคนมีความสามารถนะ” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น

ทุกคนที่อยู่ในงานพอเห็นหลินอิ่งครั้งแรก ล้วนรู้สึกตะลึง สีหน้ามึนงง

หลินอิ่งคนนี้ ดูแล้วไม่น่าเหมือนที่เขาลือกัน อย่างน้อยบุคลิกไม่ธรรมดา รถที่ขับออกมาก็ดูดี

“คุณก็คือหลินอิ่ง?” นิ่งเสี่ยวชิงสายตามองที่หลินอิ่งตลอด ตาเป็นแวว

ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าหลินอิ่งคนนี้เป็นคนมีชื่อเสียงด้านไร้น้ำยา เท่าที่ดูท่าทางเขาแล้ว ยังนึกว่าเป็นคนใหญ่โตมีฐานะ

นิ่งเสี่ยวชิงมองหลินอิ่ง หัวเราะในใจ เป็นคนไร้ความสามารถหลอกผู้หญิงเกาะผู้หญิงกินไปวันๆ ยังทำตัวเหมือนคนมีฐานะ รถก็ไม่รู้เช่ามาจากไหน ยังหาคนต่างชาติร่างสูงใหญ่มาแสดงเป็นบอดี้การ์ด ทำให้ดูมีระดับ

หลินอิ่งมองไปที่นิ่งเสี่ยวชิง ฟังเสียงคนที่เอามือถือจางฉีโม่ไปพูดได้

ด้วยมารยาท หลินอิ่งพูด “ใช่”

“รถคันนี้ใช้ได้ หลินอิ่ง นี่รถคุณเหรอ?” นิ่งเสี่ยวชิงถามด้วยสีหน้าล้อเลียน

หลินอิ่งขมวดคิ้ว มีใครเขาพูดจาแบบนี้กัน ดูถูกคนอื่นชัดๆ?

หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ “น่าจะใช่”

เขาไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้สมองคิดอะไรกันอยู่ รถคันนี้แค่ให้ฮาเดสเอามาจากลานจอดในโรงแรมเท่านั้น

“น่าจะใช่? เหอะเหอะ คุณนี่ก็สนุกดีนะ” นิ่งเสี่ยวชิงหัวเราะเยาะเย้ย

ทันใดนั้น ทุกคนต่างสนใจในรถที่หลินอิ่งขับมา สีหน้าสงสัย

เท่าที่พวกเขาดูแล้ว หลินอิ่งไม่น่ามีความสามารถในการซื้อรถหรูแบบนี้ได้ ต้องเช่ามาเพื่ออวดแน่

หญิงสาวคนหนึ่งถามด้วยสีหน้าสงสัย “นี่มันจะปลอมไปไหม? ทุกคนก็รู้ว่าเขาเกาะเมียกิน ยังไปเช่ารถมาขับเพื่อทำตัวเหมือนคนรวย น่ารังแกียจจริงๆ”

“ถ้าฉันดูไม่ผิด รถBentleyคันนี้น่าจะสิบล้าน ยังเป็นรุ่นจำกัดพิเศษ หน้าอย่างเขาเหรอ จะมีเงินซื้อ?” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าอิจฉา

“โถ วิธีการของผู้ชายเลวแบบนี้ฉันดูมาเยอะแล้ว ไปเช่ารถแล้วยังจ้างคนมาปลอมตัวเป็นบอดี้การ์ด ทำตัวเหมือนคนรวย ความจริงแล้วไม่มีอะไรเลย” มีชายหนุ่มอีกคนส่ายหัวพูด

เดิมแล้วพวกเขาก็รู้สึกอิจฉาหลินอิ่งอยู่แล้ว ไอ้ไร้น้ำยาคนหนึ่งทำไมถึงได้แต่งงานกับดารามหาลัยที่ทุกคนชื่นชอบ

โดยเฉพาะ นิ่งเสี่ยวชิงเหมือนไม่พอใจหลินอิ่งมาก แน่นอนว่าต้องพูดจาเสียดสีตาม เพื่อประจบนิ่งเสี่ยวชิง

“เฮ้อ ทุกคนอย่าพูดแบบนี้ซิ อย่าไปเปิดโปงเขาแบบนั้น” นิ่งเสี่ยวชิงพูดเสียดสี

พูดแล้ว นิ่งเสี่ยวชิงก็มองหลินอิ่ง พูดว่า “ฉันได้ยินฉีโม่บอกว่า คุณช่วยฉีโม่ทำงาน? เตรียมจะเปิดบริษัทเครื่องประดับขนาดใหญ่ที่ตี้จิง?”

“เมื่อกี้ในโทรศัพท์ ฉันได้ยินว่า คุณจะตั้งบริษัทที่จงเทียนซิงเฉิง และจะซื้ออาคารสำนักงานทั้งตึก? จริงเหรอคะ?”

หลินอิ่งพูด “แน่นอน”

เมื่อหลินอิ่งยอมรับ ทุกคนในงานก็อดหัวเราะไม่ได้

“ฮาฮา ไอ้นี่ทั้งโม้ทั้งโกหกแบบตาไม่กะพริบเลย”

“โม้ขนาดนี้ ยังทำหน้าเฉยได้อีก นับถือจริงๆ”

“พูดเกินจริงไปไหม? ขี้โม้จริงๆ”

คนในงานต่างหัวเราะพูดจาเสียดสี ไม่เชื่อความสามารถหลินอิ่งเลย

จะซื้ออาคารสำนักงานจงเทียนซิงเฉิง ในมือต้องมีเงินสดหมุนเวียนเท่าไหร่?

พวกเขาที่เรียนจบจากมหาลัยตี้จิง ครอบครัวก็ถือว่าพอมีฐานะ แต่จะทำธุรกิจใหญ่โตขนาดนี้ในตี้จิง ก็มีแค่นิ่งเสี่ยวชิงเท่านั้นที่ทำได้

ส่วนหลินอิ่ง? ถ้าเขามีความสามารถจริงๆ ทำไมถึงมีชื่อเสียงว่าลูกเขยไร้น้ำยาในเมืองตุงไห่ได้?

ภรรยาตัวเองไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นยังนั่งส่วนแท็กซี่มา ส่วนเขากลับพาบอดี้การ์ดขับรถหรูมา ฝืนเกินไปไหม แค่นี้ก็เห็นได้ว่า คนคนนี้ปลอมขนาดไหน?

“ฉีโม่ สามีเธอหลินอิ่งพูดโกหกต่อหน้าคนอื่นขนาดนี้ เธอเชื่อเหรอ?” นิ่งเสี่ยวชิงมองจางฉีโม่อย่างสนุก

“ฉันเชื่อเขา” จางฉีโม่พูดสีหน้าจริงจัง

เธอรู้ หลินอิ่งไม่เคยทำอะไรที่ไม่มั่นใจ

“เห้อ ฉีโม่ เธอนี่โง่จริงๆ จงเทียนซิงเฉินเป็นสถานที่แบบไหนหลินอิ่งคงไม่รู้เรื่องเลย ฉีโม่ ฉันพูดตามตรง ผู้ชายแบบนี้ฉันเห็นมาเยอะแล้ว นอกจากล่อลวงหลอกผู้หญิงแล้ว ไม่มีความสามารถอย่างอื่นเลย” นิ่งเสี่ยวชิงพูดอย่างไม่เกรงใจ “เธอต้องเบิกตากว้างหน่อย ดูให้ชัดเจนว่ามันไอ้น้ำยาขนาดไหน”

พูดจบ นิ่งเสี่ยวชิงมองหลินอิ่งอย่างยโสโอหัง พูดว่า “หลินอิ่ง นายก็ไม่ต้องอวดดีขี้โม้หรอก นายเป็นยังไงฉันไปสืบมาหมดแล้ว นายยอมรับว่าตัวเองไร้น้ำยายากมากเหรอ?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท