ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 310 มดหวังจะฆ่าเทวดา?

บทที่ 310 มดหวังจะฆ่าเทวดา?

วินาทีที่กระสุนกวาดมา ร่างของหลินอิ่งก็เริ่มขยับแล้ว เหมือนดั่งพายุหมุนขึ้น หายไปจากพื้นทันที

ตั๊กตั๊กตั๊ก

สวนตำแหน่งที่หลินอิ่งเคยยืน ถูกกระสุนยิงจนเป็นหลุม สะเก็ดไฟกระจายไปทั่ว

อย่างสายฟ้าแลบ ภายใต้การกราดยิงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

พื้นที่รอบสวนผืนใหญ่ ถูกทำลายจนหมดสิ้น แม้แต่กระเบื้องของเรือนโบราณก็ถูกยิงจนแตกกระจาย กระเด็นไปทั่วทุกทิศ สถานการณ์รุนแรง

ส่วนร่างหลินอิ่งลอยไปมาไม่คงที่ หลบกระสุนทุกนัด ดั่งวิญญาณ ทำให้มือปืนที่ยิงปืน รู้สึกตะลึงและหวาดกลัว

จากการโจมตีด้วยกระสุนปืนนับไม่ถ้วน ร่างของหลินอิ่งก็มาถึงตำแหน่งด้านล่างเรือนโบราณที่มือปืนเหล่านั้นอยู่ เขาเหยียบพื้น กระโดดขึ้น ไต่ขึ้นตามคานใต้หลังคา ขึ้นไปข้างบนเพียงเสี้ยววินาที

ระยะเวลา ห่างกันเพียงแค่สามวินาที

หลินอิ่งก็เข้ามาใกล้ตัว

สีหน้าของมือปืนชุดดำทุกคน ต่างก็แสดงอาการหวาดกลัวตัวสั่น พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลินอิ่งจะหลบแรงกระสุนแล้วเข้าหาพวกเขาได้

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย มีแค่แววตา ซึ่งทำให้คนรู้สึกเย็นเยือก

เขายื่นสองนิ้วออกไป ร่างเหมือนสายลม

คั๊ก คั๊ก คั๊ก

เสียงของกระดูกดังขึ้น ทุกคน คอเอียงไปข้างหนึ่ง ไม่มีลมหายใจ

ปืนในมือของพวกเขา ก็ตกลงไปบนพื้น

มือปืนชุดดำ สีหน้าแข็งทื่อไปทันที ตาไร้แวว ล้มลงกับพื้น

มือปืนยอดฝีมือยี่สิบกว่าคน ดับสิ้นไปทันที

ภายในสวนยังเหลือยอดฝีมือชุดดำอยู่สิบกว่าคน เวลานี้ต่างก็เหงื่อท่วมหัว ฝีมือที่หลินอิ่งแสดงออกมา มันช่างไม่น่าเชื่อเหลือเกิน

เก่งกาจมาก ผู้ชายคนนี้

ส่วนนิ่งจองเต้าสามพี่น้อง สีหน้าก็ตะลึงหวาดกลัว คิดไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์จะเป็นแบบนี้ ตั้งใจตัดมือปืนอันดับหนึ่งระดับประเทศ ระยะห่างร้อยเมตร กลับถูกคนเข้าหาท่ามกลางกระสุนได้ภายในสิบวินาที หักคอตายเพียงเสี้ยววินาที

หลินอิ่ง ไม่กลัวแม้กระทั่งอาวุธแรงอย่างกระสุน

“พวกแกเข้าพร้อมกัน ล้อมมันไว้ มันเก่งแค่ไหน ก็สู้คนมากมายขนาดนี้ไม่ได้” นิ่งจองเต้าพูดเสียงเรียบ ออกคำสั่งอย่างเย็นชา

คนชุดดำที่เอามาในวันนี้ ล้วนเป็นคนฝีมือดีในกลุ่มทหารลับของตระกูลนิ่ง ล้วนเป็นคนที่ตระกูลนิ่งทุ่มเทฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก และเคยปฏิบัติการยากลำบาก เป็นนักฆ่าระดับสูง

ยอดฝีมือชุดดำทุกคน สามารถสู้หนึ่งต่อร้อยได้ สามารถฆ่าคนนับร้อยได้อย่างเลือดเย็น ในกลุ่มทหารลับตระกูลนิ่งเรียกกันว่า นักฆ่าพิฆาต

เขาไม่เชื่อ นักฆ่าพิฆาตหลายสิบคนพร้อมกัน หลินอิ่งมือเปล่าจะสู้ได้

หลินอิ่งหมุนตัว สายตาเฉียบคมมองไปที่นักฆ่าชุดดำกลุ่มนั้น

ชิ้ว

หลินอิ่งกระโดดลงทันที เหมือนดั่งสายฟ้าแลบ พุ่งเข้าไปในฝูงนักฆ่าทันที

กลุ่มยอดฝีมือชุดดำก็พุ่งเข้าพร้อมกัน ใช้ความเร็วดั่งสายฟ้า ฆ่าฟันอย่างบ้าคลั่ง หวังเข้าหาร่างหลินอิ่งที่ลอยไปมาไม่คงที่ มีดดาบบนมือพวกเขาฟันไปมาไม่หยุด แรงอาฆาตดุเดือด

โป่งโป่งโป่งโป่ง

ทันใดนั้น ภายในสวนเสียงดังไม่หยุด

ถึงเนื้อทุกหมัด

หลินอิ่งเหมือนเทวดาเก็บวิญญาณ จุดที่ร่างผ่านไป ยอดฝีมือแต่ละคนก็เลือดพุ่งตายคาที่

“เอื้อกอ๊าก”

“ไว้ชีวิตด้วย”

เสียงร้องอย่างเจ็บปวดไม่หยุด อาวุธบนมือของคนชุดดำ กลายเป็นอาวุธที่ฆ่าตัวเองของพวกเขา ถูกหลินอิ่งหัก แล้วโยนกลับไปบาดคอพวกเขา

นี่เป็นเหมือนดั่งการฆ่าลบล้าง ภายในสวนโหดเหี้ยมอนาถ

คนชุดดำที่หวังอยากฆ่าหลินอิ่ง ตายหมด

“พวกฝูงมด หวังอยากฆ่าผม?” หลินอิ่งยืนกับที่ พูดอย่างเย็นชา

เขายืนอยู่กลางสวนอย่างสง่าเรียบเฉย รอบด้าน เต็มไปด้วยศพ

ภาพนี้ ดูน่ากลัวน่าอนาถ มองแล้วขนหัวลุก

ยอดฝีมือนับร้อย ทหารลับตระกูลนิ่ง ในสถานการณ์ที่มือถือปืน กลับไร้แรงสู้ ถูกหลินอิ่งฆ่าทิ้งหมด

นิ่งจองเต้าสามพี่น้องสีหน้าซีดขาว ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว มองร่างหลินอิ่งที่ทำให้คนรู้สึกกลัว

พวกเขาไม่อาจคิดได้ ว่าหลินอิ่งมีความสามารถระดับไหน จนไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

ภายในสามนาที ฆ่าล้างยอดฝีมือตระกูลนิ่งนับร้อย นี่มัน ทำได้ยังไงกัน?

เวลาสั้นแค่นี้ ถึงจะฆ่าไก่ร้อยตัว ก็ไม่ได้ทำอย่างง่ายดาย

อีกอย่าง หลินอิ่งเลือดเย็นขนาดนี้ เพียงแค่พริบตา เหมือนดั่งสิบก้าวฆ่าหนึ่งคน

โดยเฉพาะ บนตัวหลินอิ่งมีแววแรงอาฆาตอันน่ากลัว ทำให้นิ่งจองเต้าสามพี่น้อง อวัยวะภายในปั่นป่วน เนื้อตัวสั่นด้วยความกลัว

น่ากลัวมาก เหมือนดั่งองค์เทพ เทวดาลงดิน

ฝีมือระดับนี้ เรียกได้ว่ามนุษย์เทวดา ก็ไม่เกินไป

“พี่ พี่รอง นี่ นี่เราจะทำยังไง…..” นิ่งจองเสิ้งพูดเสียงสั่น เดินถอยหลังอย่างควบคุมไม่ได้ ตกใจกลัวจนหน้าซีด

“นี่ ผม พวกเรา……นักฆ่าที่เราจัดมา ตาย ตายหมดแล้ว……” นิ่งจองเป่าพูดอยากหวาดกลัว พยายามรักษาสติ แต่พบว่าตัวเองปากสั่น พูดจาติดอ่าง

ทุกคนที่เห็นภาพนี้ ต้องควบคุมสติและความหวาดกลัวในใจไม่ได้แน่

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย มองไปทางด้านนิ่งจองเต้า

“แก อย่าเข้ามานะ แกจะทำอะไร” นิ่งจองเต้าสีหน้าตกใจ ไม่มีท่าทางยโสเหมือนเดิมแล้ว สีหน้าหวาดกลัว

ถึงแม้เขานิ่งจองเต้าจะเจอสถานการณ์เลือดนองมาเยอะแล้ว ฆ่าฟันคู่แข่งมาไม่น้อย แต่ไม่เคยเห็นภาพเหตุการณ์สะเทือนขวัญขนาดนี้มาก่อน

ท่ามกลางความหวาดกลัวนี้ นิ่งจองเต้าเข่าอ่อน ล้มลงกับพื้น สองเท้าสั่นกระตุก กลัวจนขยับไม่ได้

“ท่านกู่ ช่วยด้วย”

นิ่งจองเต้าเหงื่อท่วมหัว ตะโกนเสียงดัง

เสียงดังแรงพัดผ่าน

ก็มีเงาร่างชุดเทาพุ่งออกมาจากเรือนข้างๆ มาขวางด้านหน้าหลินอิ่งไว้

ปังปังปัง

ผู้นำคนชุดเทายกฝ่ามือดันออกไป จากนั้นก็มีเงาฝ่ามือตามกันมา คนชุดดำอีกสามคนก็ล้อมหลินอิ่งไว้ ต่างก็มากันออกหมัดอย่างแรง กระทบอากาศจนเกิดเสียงดัง

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย ยื่นมือข้างเดียว เหมือนดั่งจับมังกรมือเดียว ต่อสู้กับคนชุดเทาประลองฝีมือกัน

ประลองมือกันแล้ว คนชุดเทาหลายคนก็ถูกหลินอิ่งสะเทือนออกห่างไปหลายสิบเมตรด้วยมือเดียว เว้นระยะห่างออกไป

เห็นได้ชัดว่า ยอดฝีมือตัวจริงพวกนี้ รอดมาจากการอยากฆ่าหลินอิ่งแล้ว และเป็นไพ่ใบสุดท้ายของนิ่งจองเต้าตัวจริง

หลินอิ่งยิ้มขึ้นที่มุมปาก แววตาเย็นชามองไปที่คนชุดเทาทั้งสี่คน

คนชุดดำสี่คน บนหน้าใส่หน้ากากทองแดงแปลกประหลาด ดูแล้วน่ากลัว

คนกลุ่มนี้ มาจากวงการกองกำลังลึกลับ

โคล่ง

คนชุดเทาสามคนที่ล้อมทำร้ายหลินอิ่ง ร่างแข็งทื่อทันทันที ล้มคุกเข่าบนพื้น พ่นเลือดออกมา สิ้นใจไปทันที

หัวหน้าคนชุดเทาก็ถอยหลังไปหลายก้าว ปากก็กระอักเลือดออกมา เหมือนภายในร่างกายมีแรงสะเทือนบางอย่างกำลังจะระเบิดออกมา แววตาภายใต้หน้ากากนั้นเย็นชา เห็นความหวาดกลัว

“ท่านฝีมือน่ากลัวจริง” หัวหน้าคนชุดเทาพูดด้วยเสียงแหบต่ำ “ไม่คิดว่าออกจากเขาครั้งนี้ จะได้เจอคนเก่งกาจอย่างท่าน”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท