ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 309 การฆ่าที่ร้ายแรง

บทที่ 309 การฆ่าที่ร้ายแรง

คนตระกูลนิ่งพวกนี้มีตาไม่มีแวว ไม่มีสิทธิ์มาพูดกับเขา ขี้เกียจพูดมาก

เวลานี้ ก็ดูว่านิ่งไท่จี๋มีทัศนคติยังไง ถ้าหาก นิ่งไท่จี๋กับคนรุ่นหลังพวกนี้เหมือนกัน หยิ่งทะนงและไม่สุภาพ

ถ้าอย่างนั้น เขาไม่ติดใจที่จะออกแรง ขจัดชื่อตระกูลนิ่งออกจากประเทศหลุง

“คุณจะพบนายท่านใช่ไหม? ได้ ตอนแรกนายท่านสุขภาพไม่ดี ไม่สะดวกพบแขก แต่คุณทำเรื่องแบบนี้ ผมก็ให้นายท่านมาประเมินดู” นิ่งจองเต้าพูด หันไปมองนิ่งจองเป่า

“ผู้อาวุโส ต้องขอโทษด้วย เจียงกู่จือได้ยินว่าท่านก็เป็นยอดฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้ จะประลองฝีมือกับท่านให้ได้ ใครจะไปรู้ว่าเขาฝีมือแค่นั้นยังทำตัวเองขายหน้า พฤติกรรมของเจียงกู่จือไม่ใช่ความหมายของตระกูลนิ่ง เขาตายในมือผู้อาวุโส ก็สมควร ขอให้ท่านอย่าใส่ใจ” นิ่งจองเป่าพูด “ท่านอยากพบกับนายท่าน เดี๋ยวผมพาไปเอง”

หลินอิ่งทำเสียงเย็นชา คนหนึ่งแสดงหน้าแดง อีกคนหน้าขาว ไม่รู้ว่าตระกูลนิ่งจะทำอะไรกันแน่

คนพวกนี้ในสายตาหลินอิ่ง ไม่สำคัญแม้แต่น้อย คนที่เป็นตัวแทนตระกูลนิ่งจริง คือนิ่งไท่จี๋

“นำทางให้ผม” หลินอิ่งพูดเสียงเย็นชา

“มาเลย ผู้อาวุโสหลิน” นิ่งจองเต้าพูดเสียงเรียบ ลุกขึ้นจากที่นั่ง

“ผู้อาวุโส เชิญ” นิ่งจองเป่าพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ยกมือบอกทาง ก้มตัวเดินนำอยู่ข้างหน้า

ตามนั้น ผู้นำตระกูลนิ่งทั้งสามคนลุกขึ้นนำทาง หลินอิ่งเดินตาม เดินเข้าไปในสวนอันกว้างขวางของตระกูลนิ่ง

เดินผ่านทางเดินสวนดอกไม้อันคดเคี้ยว ก็มาถึงบ้านไม้โบราณหลังหนึ่ง

“ผู้อาวุโส นายท่านพักผ่อนอยู่ในห้อง ผมไปรายงานก่อน เดี๋ยวคุณค่อยเข้าไป”

นิ่งจองเป่าพูดอย่างเคารพ

หลินอิ่งพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร

นิ่งจองเป่ากับนิ่งจองเต้าสบตากัน จากนั้น นิ่งจองเป่าเดินไปถึงหน้าเรือนไม้ รายงานไปคำหนึ่ง

“เชิญ”
<div class=”ctp”>

นิ่งจองเป่าสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยกมือโบกอย่างเคารพ

หลินอิ่งสีหน้าปกติ เดินไปเรือนไม้ช้าๆ

ชิ้ว

เวลาเดียวกัน ก็มีลมพัดมากะทันหัน

เห็นเพียงชายชุดดำสองคนพุ่งออกมา จะลงมือ ต่างก็ถือมีดในมือ จะบาดคอหลินอิ่งจากข้างหลัง

หลินอิ่งสายตาเย็นเฉียบ หันหลังทันที ใช้มือขวางไว้

ติงติงตังตัง

เสียงโลหะกระทบกัน เห็นหลินอิ่งยื่นนิ้วออกมาสองคิ้ว หนีบดาบทั้งสองเล่มไว้

“นี่”

ชายชุดดำที่ล่อทำร้ายข้างหลังทั้งสองคน สายตาตกใจ เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าหลินอิ่งจะตอบสนองทัน หันมาก็หนีบดาบไว้ได้

“รนหาที่ตาย”

หลินอิ่งสายตาอาฆาต หมุนมือ ดังชิ้วเพียงทีเดียว ก็หักดาบเป็นสองท่อน โยนกลับไป ก็เห็นเลือดสองสายพุ่งออกมากลางอากาศ

“เอื้อกอ๊าก”

ตามจากเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ชายชุดดำสองคำก็ถูกมีดบาดคอเสียชีวิต นอนเลือดอาบบนพื้น

ภาพนี้ ดูจนนิ่งจองเต้าสามพี่น้องคิ้วกระตุก ตัวสั่น

โหดเหี้ยมเกินไป เพียงเสี้ยววินาทีดั่งสายฟ้าแลบ หลินอิ่งก็ฆ่าทั้งสองคนแล้ว ฝีมือนี้ช่างน่ากลัวมาก

</div>
<div id=”M724717ScriptRootC1156661_06e85″>
<div id=”AdskeeperComposite1156661_06e85″>
<div class=”mgbox card-media”>
<div class=”mgheader”><span class=”mghead”>เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต</span></div>
</div>
</div>
</div>
<div class=”ctp”>

ต้องรู้ว่า การใช้ดาบของชายชุดดำทั้งสองเมื่อครู่ เป็นยอดฝีมือในกลุ่มทหารลับของตระกูลนิ่ง ทุกคนต่างฝึกวิชาการลอบฆ่าตั้งแต่เด็ก ถึงจะสู้กับนักฆ่ามือถือปืนก็สามารถจัดการฝ่ายตรงข้ามได้ ในดาบเดียวเท่านั้น

แต่หลินอิ่ง ลอบฆ่าจากข้างหลัง แต่กลับถูกฆ่าเพียงเสี้ยววินาที? นี่มันเป็นฝีมือการสังเกตที่น่ากลัวขนาดไหน?

“นิ่งจองเต้า ตระกูลนิ่งของพวกคุณ อยากสิ้นตระกูลใช่ไหม?” หลินอิ่งพูดเสียงเย็นชา มองสามพี่น้องสายตาเย็นชา

ตอนนี้ เขารู้มันเป็นสถานการณ์แบบไหนแล้ว

พาเขามาพบนิ่งไท่จี๋ เป็นแผนการลอบฆ่าของนิ่งจองเต้าเท่านั้น

กลับกล้าให้มือดาบที่เก่งกาจมาลอบทำร้ายเขา

มือดาบชุดดำที่นอนอยู่บนพื้นนั้น ถือว่าเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่ง วิชาการลอบฆ่า ความเร็ว ถือว่าระดับสูงมาก คนทั่วไปไม่ระวัง ก็ต้องตายไปแล้ว

“เหอะเหอะ” นิ่งจองเต้าหัวเราะเจ้าเล่ห์ สีหน้าไม่ใส่ใจ “หลินอิ่ง ผมยอมรับว่าคุณมีฝีมือดีเกินคนทั่วไป เท่าที่ผมเคยเห็นมา ยังไม่เคยเห็นยอดฝีมืออายุน้อยอย่างคุณ”

“แต่เสียดาย คุณไม่สมควร ที่จะมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในของตระกูลนิ่ง วันนี้ คุณต้องตายอย่างไร้ข้อสงสัยแน่” นิ่งจองเต้าสีหน้าอาฆาต

พูดไป เขาก็ตบมือ

พรุ๊ดพราด มีคนชุดดำมากมายวิ่งเข้ามาจากทุกมุมทุกทิศ ใบหน้าทุกคนต่างเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอย่างน่ากลัว แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนโหดเติบโตมาจากกองเลือด

อีกอย่าง บนที่สูงของเรือนไม้ ยังมีมือปืนที่ถือปืนรอพร้อมเป็นแถวซ่อนอยู่

</div>
<div class=”ctp”>

ทุกคนต่างจ่อปืนบนตัวหลินอิ่งเตรียมพร้อมแล้ว

ในสวนนอกสวน มีคนยืนเต็ม รวมกันแล้วนับร้อยคน

เพียงท่าทางขนาดนี้ คนทั่วไปก็ใจกลัวแล้ว

นิ่งจองเสิ้งสีหน้าได้ใจ พูดว่า “หลินอิ่ง เมื่อกี้ยังกล้าตบหน้าฉัน? คิดว่าตัวเองเป็นคนใหญ่โตจากไหนจริงเหรอ? มากสุดก็เป็นเพียงสุนัขรับใช้ของตระกูลนิ่งเท่านั้น?”

“มาเลย ตอนนี้ มาลองตบฉันดูอีกทีซิ” นิ่งจองเสิ้งพูดเสียงเย็นชา สีหน้ามีความสุข

นิ่งจองเป่าก็หัวเราะอย่างเย็นชา พูดว่า “ผู้อาวุโสหลิน ผมทนคุณมานานแล้ว รอวินาทีนี้ ผมรู้ว่าคุณยังรู้โลกไม่ลึกซึ้งพอ ยังนึกว่าเหนือใครในโลก เพียงแค่ความสัมพันธ์กับตระกูลนิ่ง กับวิชาการต่อสู้ ก็กล้าทำเรื่องแบบนี้? เหอะเหอะเหอะ”

“ผมเคยให้โอกาสคุณแล้ว ถ้าคุณยอมทำหน้าที่ในนามผู้อาวุโสตระกูลนิ่งอยู่เฉยๆ พวกเราก็ไม่ถึงกับจะวางแผนลอบฆ่าแบบนี้ แต่คุณจะยุ่งเรื่องภายในตระกูลนิ่งให้ได้ ยังฝันอยากให้ตระกูลนิ่งก้มหัวให้? ไร้สาระ” นิ่งจองเป่าเปลี่ยนหน้าจากที่เคยเคารพก่อนหน้านี้ พูดเย็นชา

เขาทนหลินอิ่ง ทนมาตั้งนานแล้ว เพื่อรอโอกาส

สำหรับคนอย่างหลินอิ่ง ต้องทำอย่างเด็ดขาด ต้องตายอย่างเดียว

หลินอิ่งสีหน้านิ่งเฉย มุมปากยิ้มขึ้นอย่างโหดเหี้ยม

“พวกคุณคิดว่า ลำพังแค่ฝูงกาพวกนี้ จะทำอะไรผมได้?”

ดูแล้ว นิ่งไท่จี๋ไม่กล้าพูดเรื่องแก๊งมังกร ให้กับลูกหลานของเขา

ไม่อย่างนั้น นิ่งจองเต้าสามพี่น้อง คงไม่ทำเรื่องโง่เขลาขนาดนี้

“จะตายอยู่แล้ว ยังอวดดีอีก? โง่จนหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว” นิ่งจองเต้าหัวเราะ พูดอย่างดูถูก

พูดจบ นิ่งจองเต้าก็โบกมือ

“ฆ่าหลินอิ่งเดี๋ยวนี้”

ทันใดนั้น มือปืนที่ยืนบนที่สูงทั้งสองแถว ก็ลั่นไกอย่างไม่ลังเล

ปังปังปังปัง

เสียงปืนดังไม่หยุด เสียงดังกึกก้อง ปืนนับสิบกระบอกยิงไม่หยุด ยิงเข้าหลินอิ่งโดยตรง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท