ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 307 ทำลายวิชาใคร?

บทที่ 307 ทำลายวิชาใคร?

แค่เวลาการพูดคุย หลินอิ่งก็ทำให้ชาในถ้วยเดือดได้ นี่มันวิชากำลังภายในแบบไหน?

เจียงกู่จือเป็นยอดฝีมือด้านกำลังภายใน ศึกษาวิชาด้านนี้อย่างลึกซึ้ง มีความสามารถใช้ฝ่ามือตบต้นไม้อายุร้อยปีล้มได้ แต่ไม่เคยเห็นฝีมือน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน

“ให้ตระกูลนิ่งคุกเข่า? ฮาฮาฮา น่าตลกสิ้นดี” นิ่งจองเต้าพูดเย็นชา สายตาเต็มไปด้วยความดูถูกและโมโห

เขายังไม่เคยเห็นคนที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำขนาดนี้มาก่อน คิดว่าตัวเองเป็นเทวดาตกสวรรค์

“เจียงกู่จือ ท่านลองดู “ผู้อาวุโสหลิน” ท่านนี้ของพวกเราดู ว่ามีความสามารถแค่ไหน กล้าพูดจาอวดดีขนาดนี้” นิ่งจองเต้าพูดสีหน้าเย็นชา

เจียงกู่จือพยักหน้า ก้าวไปข้างหน้า จ้องหน้าหลินอิ่ง

“หลินอิ่ง ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นหนุ่มมีความสามารถ แต่ก็ต้องรู้ว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า วิชาการต่อสู้ของคุณเก่ง แต่ก็ไฟอ่อนไปหน่อย” เจียงกู่จือจับหนวดพูด ท่าทางเหมือนยอดฝีมืออาวุโส

หลินอิ่งส่ายหัว ถ้าตัดสินวิชาโดยการใช้อายุ อย่างนั้น ในประเทศหลุงก็ไม่จำเป็นต้องมีการฝึกวิชาแล้ว

“ผมเจียงกู่จือ หัวหน้าสำนักที่สิบเจ็ดสำนักฉินเหมิน หลินอิ่ง ดูแล้วฝีมือคุณใช้ได้ กล้าบอกสำนักตัวเองไหม? บางทีอาจารย์ของคุณ ผู้อาวุโสในอดีตท่านนั้น เราอาจจะเคยลองฝีมือกัน”

เจียงกู่จือพูดอย่างมั่นใจ

“ถ้าคุณเป็นศิษย์รุ่นหลังของคนรู้จักผม ผมยังสามารถช่วยคุณพูดกับผู้นำตระกูลได้ ถ้าไม่ใช่ ลำพังแค่วิชาของคุณก็จะกล้ามาอวดดีในตระกูลนิ่ง วันนี้ ผมจะทำลายวิชาของคุณเอง ให้คุณเข้าใจว่าอะไรคือเหนือฟ้ายังมีฟ้า”

“ทำลายวิชาผม?” หลินอิ่งหัวเราะ “ตัวอย่างกับมด ยังกล้ามาโวยวายอีก?”

“ปากดี ฉันจะช่วยอาจารย์แกสั่งสอนแก สั่งสอนไอ้หน้าโง่รนหาที่ตายอย่างแก”

เจียงกู่จือพูดเสียงเย็นชา ท่าทางอวดดีดูถูกของหลินอิ่ง ทำให้เขาโมโหนัก

เขาเจียงกู่จือในวงการศิลปะการต่อสู้มณฑลเสฉวน เดินไปถึงไหนก็มีแต่คนเคารพ วันนี้กลับเสียทีต่อหน้าหลินอิ่ง เขาอุตส่าห์พูดดีด้วย ไม่รู้จักตอบดีๆ กลับไม่เห็นเขาในสายตา

พูดไปด้วย สายตาเจียงกู่จือก็มองอย่างเฉียบคม ก้าวเข้าไปหาหลินอิ่งทีละก้าว

เขาก้าวไปหนึ่งก้าว พื้นที่เขาเหยียบก็บูดลงไป รู้สึกได้ถึงแรงอันมหาศาล

ท่าทางเจียงกู่จือ ทำให้ทุกคนที่ดูอยู่ ต่างก็หรี่ตาลง แววตาเริ่มแปลกใจ

“ไม่เสียชื่อที่เป็นปรมาจารย์เจียงกู่จือแห่งเสฉวน ระหว่างฝีเท้า มีพลังขนาดนี้”

“นี่ถึงเรียกว่าปรมาจารย์ที่แท้จริง ไม่เหมือนใครบางคนที่หลงตัวเอง นอกจากพูดจาโอ้อวดแล้ว ยังมีความสามารถอะไรอีก?”

คนของตระกูลนิ่งที่นั่งอยู่ต่างก็รู้สึกตะลึง พูดโอ้อวดขึ้นมา พูดต่อว่าด่าทอเสียดสีหลินอิ่ง

นิ่งจองเต้าสีหน้าได้ใจ วิชาของเจียงกู่จือที่ฝึกมาไม่ใช่เรื่องปลอม นั่นเป็นระดับปรมาจารย์ยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงจากกันต่อสู้ฆ่าฟันมา ลูกศิษย์แต่ละคนก็ล้วนฝีมือโหดเหี้ยม

เจียงกู่จือโมโหแล้ว จริงจังแล้ว เด็กเมื่อวานซืนฝีมือแมวกระจอกอย่างหลินอิ่งจะรับไหวเหรอ?

หลินอิ่งมองท่าทางของเจียงกู่จือ มุมปากก็ยิ้มขึ้น

“โอ้อวดเกินจริง”

พูดจบ ร่างของหลินอิ่งก็พุ่งออกไป เหมือนสายฟ้าแลบ เร็วจนคนอื่นตั้งตัวไม่ทัน

แค่เหวี่ยงมือออกไปอย่างง่ายดาย ก็เหมือนฟ้าผ่า ไม่ให้โอกาสเจียงกู่จือตั้งตัว ก็ผ่าเข้าไปที่คอของเขา

ร่างของเจียงกู่จือแข็งทื่อไปทันที ร่างสั่นทั้งตัวยืนกับที่ สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

พรุ๊ด

เจียงกู่จือเงยหน้าขึ้นฟ้า พ่นเลือดออกมา ร่างเหมือนไฟช็อกกระตุกไปทั้งตัว เหมือนท่อนไม้แห้งที่ถูกแรงกระทบอย่างหนัก กระดูกอ่อนไปทั่วร่างทันที

หลินอิ่งก็ยืนอยู่ข้างหน้าเจียงกู่จือแบบนี้ มุมปากยิ้มอย่างเย็นชา เหมือนกำลังมองมด

เสียงดังต๊อก

เจียงกู่จือเหมือนร่างถูกสูดอากาศออกทั้งหมด ไม่มีแรงแม้แต่ยืน คุกเข่าลงไปทันที

เวลาเดียวกัน ภายในห้องโถงเงียบไร้เสียง คนของตระกูลนิ่งที่นั่งอยู่ต่างก็สีหน้าตกใจ คิดไม่ถึงแม้แต่น้อย ยอดฝีมือชื่อดังอย่างเจียงกู่จือ เจอกับเด็กหนุ่มอย่างหลินอิ่ง จะมีผลแบบนี้

เจียงกู่จือสีหน้าซีดขาว มุมปากมีเลือดไหลออกมา ร่างทั้งตัวเหมือนลูกบอลที่ถูกปล่อยลม หมดความทะนงเหมือนก่อน เงยหน้าขึ้นช้าๆ มองหลินอิ่งสายตาอ้างว้าง ในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เจียงกู่จือยังไงก็คิดไม่ถึง หลินอิ่งใช้ไปแค่ฝ่ามือเดียว ก็ทำเอาเขาพิการทันที

แค่ฝ่ามือนี้ลงไปบนร่างเขา ก็เอาเขาไปครึ่งชีวิตแล้ว ฝึกศิลปะการต่อสู้และกำลังภายในสี่สิบปี ถูกทำลายไปหมดแล้ว

เหมือนอวัยวะภายในแตกกระจาย ในท้องเหมือนมีคลื่นซัดไปมาอย่างรุนแรง เหมือนร่างทั้งร่างกำลังจะระเบิด

“ทำลายวิชาใคร?” หลินอิ่งสีหน้านิ่งเฉย ถามอย่างช้าๆ

“แก แก เป็นใครกันแน่?” เจียงกู่จือถามด้วยเสียงสั่น โดนตีจนหมดเรี่ยวแรง

รุนแรงเกินไป แรงของฝ่ามือของหลินอิ่งไม่สามารถบรรยายได้ เหมือนดั่งภูเขาทับลงมา คนทั่วไปทนรับไม่ได้แน่นอน

ต้องรู้ว่า เจียงกู่จือเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งของเสฉวน วิชาเก่งถึงขนาดไหน? ก็เพียงแค่ยืนอยู่กลางถนน มือเปล่าขวางรถได้หลายคัน ก็เป็นแค่เรื่องธรรมดา

แต่หลินอิ่งแค่ฝ่ามือเบาๆเพียงครั้งเดียว ก็ทำเอาเจียงกู่จือกระอักเลือดคุกเข่า ทำลายวิชาทั้งหมด

ความสามารถระดับนี้ ช่างยากที่จะคาดการณ์

หลินอิ่งส่ายหัวไม่พูด หากพูดถึงวิชาการต่อสู้ เจียงกู่จือแม้แต่ช่วยเขาถือรองเท้ายังไม่มีสิทธิ์ อะไรปรมาจารย์อันดับหนึ่งแห่งเสฉวน ชื่อเสียงจอมปลอม

ยอดฝีมือทั่วไป จะเอามาเปรียบกับเขาได้ยังไง?

“นี่ นี่มัน ปรมาจารย์เจียงกู่จือนี่มัน? นี่มันเรื่องอะไรกัน” นิ่งจองเต้าสีหน้าหวาดกลัว มองเจียงกู่จือที่คุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างไม่น่าเชื่อ

“เจียงกู่จือ……ไร้น้ำยา” นิ่งจองเต้าด่า สีหน้าโมโห

หัวหน้าทหารลับของตระกูลนิ่ง ปรมาจารย์อันดับหนึ่งแห่งเสฉวน เจียงกู่จือ คุกเข่าต่อหน้าให้กับไอ้เด็กเมื่อวานซืน? น่าขายหน้าจริงๆ

ขณะเดียวกันกับความโมโห นิ่งจองเต้ามองไปที่หลินอิ่ง สายตาก็เปลี่ยนไป

คนคนนี้ ไม่ใช่คนธรรมดา

คนระดับนี้ไม่ยอมทำงานให้เขา ก็ต้องฆ่า

นิ่งจองเต้ามีความคิดขึ้นในหัวมากมาย แรงอาฆาตที่มีต่อหลินอิ่งเพิ่มมากขึ้น

“เจียงกู่จือ วิชากระจอกแค่นี้ ยังกล้าเรียกตัวเองว่าปรมาจารย์?” หลินอิ่งพูดเสียงเย็นชา “วันนี้ผมตัดเอ็นคุณขาด ทำลายวิชาทั้งหมด เพื่อไม่ให้ไปสอนอะไรไม่ดีให้ลูกศิษย์อีก”

“ไม่ หลินอิ่ง ผู้อาวุโสหลิน ผมยอมแพ้แล้ว ขอท่านอย่าทำถึงขั้นนั้นเลย” เจียงกู่จือพูดขอร้องอย่างหวาดกลัว

หลินอิ่งแค่ฝ่ามือเดียวก็ทำลายวิชากำลังภายในที่เขาฝึกมาเป็นสิบปี อายุขนาดนี้ของเขา จะไปทนทรมานได้ยังไง?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท