ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่354 ตระกูลสวีจะเปิดเผย?

บทที่354 ตระกูลสวีจะเปิดเผย?

ปังปังปัง!

ก็ตอนนี้ คนยี่สิบกว่าคนบุกเขามาอย่างน่ากลัว ใส่ชุดดำทั้งชุด เสื้อทุกคนมีคราบเลือดติดอยู่ สายตาทุกคนเหมือนดาบ

คนชุดดำพวกนี้ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่บอดี้การ์ดธรรมดา แต่ละคนมีรังสีความน่ากลัว ทำให้ทุกคนรู้สึกกดดัน

เมื่อมาถึง ก็ดึงดูดสายตาทุกคนที่อยู่ในนี้ ทุกคนประหลาดใจ

ต่อมา พวกคนใส่ชุดดำเข้ามาทั้งหมดเดินเข้ามาเป็นแถว ก้มลงต่อหน้าหลินอิ่งด้วยความเคารพ

“ท่านประธานหลิน ผมมาสายเกินไป!”

คนใส่ชุดดำหนึ่งคนพูดน้ำเสียงเคารพ

“นี่ นี่คือลูกน้องของเขา……”

“ตกลงคือใครกันแน่?ทำไมดูแล้วน่ากลัวขนาดนี้?”

สวีถันโจวกับเผียวซิ่วชวนคุกเข่ากับพื้น พูดด้วยสีหน้าแย่ ก็รู้สึกถึงความน่ากลัวของพวกคนชุดดำ กับลูกน้องที่พวกเขาพามาไม่อยู่ในระดับเดียวกัน

พวกเขารู้แล้วว่าประเมินหลินอิ่งต่ำไป!

ไม่แต่มีแต่ความทักษะน่ากลัว ส่งลูกน้องมามั่วๆ ก็ยังเก่งขนาดนี้

แค่คนยี่สิบกว่าคน ก็สามารถล้มบอดี้การ์ดชั้นยอดร้อยกว่าคนได้

ก็ว่า หลินอิ่งก็แสดงท่าทางเรียบนิ่งตั้งแต่แรก

ก็เพราะว่าเขาไม่ได้เอาพวกเขาไว้ในสายตาเลย เป็นคนที่มีอำนาจสุด ทีนี้ เขาก็เป็นปลา ที่รอคนมาสับ

“ประธานหลิน ผู้นำนิ่ง ส่งพวกผมมาก่อน เขาจะพาทีมใหญ่ตามมา!”ชายชุดดำ ก้มหัวพูดกับหลินอิ่ง

หลินอิ่งพยักหน้าเบาๆ

คนพวกนี้ คือทหารลับชั้นยอดของตระกูลนิ่ง ถ้าเปรียบกับคนธรรมดา ถึงว่าเป็นคนเก่งในเก่ง ทุกคนคือได้รับฝึกฝนจากเกาะลับ ผ่านการฝึกฝนที่เหมือนอยู่กับนรก เติบโตจากความโหดเหี้ยมทำให้กลายเป็นนักฆ่า

“ผู้นำตระกูลนิ่ง?นาย พวกนาย คือทหารลับของตระกูลนิ่ง?”สวีถันโจวพูดด้วยใบหน้าแปลกใจ ก็เข้าใจสถานการณ์นี้

คนแซ่หลินนี้เป็นแขกคนสำคัญของตระกูลนิ่ง?

ทำให้ผู้นำตระกูลนิ่ง? ออกหน้าด้วยตัวเอง!แม้แต่ทหารลับของตระกูลก็ถูกพามาด้วย?

สวีถันโจวเป็นคนรุ่นที่สองที่จะรับช่วงของตระกูลนิ่ง ก็รู้อยู่แล้ว ห้าอันดับร่ำรวยในประเทศหลุง ก็มีฝึกฝนทหารเก่งๆ เพื่อใช้มาจัดการเรื่องด้านมืด

เพียแต่ ทหารลับฝึกฝนยากมาก จะต้องเสียเงินมหาศาล ยากที่จะหาคนมาฝึก อีกอย่างทำภารกิจมีความเสี่ยงตายสูงมาก

เพราะฉะนั้น ตระกูลผู้ดีคนรวยทั้งห้ามีทหารลับเป็นไพ่ใบสุดท้าย มีแค่คนในครอบครัวที่มีอำนาจที่สุด ถึงจะมีสิทธิ์สั่งได้

สวีถันโจวเป็นเจ้าบ้านตระกูลสวีลำดับที่สี่ ก็ไม่มีสิทธิ์ไปสั่งทหารลับได้!

เห้อ ถ้ารู้เช้ากว่านี้ว่าหลินอิ่งจะจัดการยาก!เขาน่าจะให้พี่ใหญ่เขาสวีไป๋เห้อ พาทหารลับของตระกูลสวีมา แม้ว่าจะจัดการหลินอิ่งไม่ได้ อย่างน้อย ก็ยังทำให้ถอยหลังไป?

สวีถันโจวถอนหายใจ ใบหน้าบูด รู้สึกว่าตัวเองจะผิดพลาดประเมินหลินอิ่งต่ำไป

“ประธานหลิน ต่อจากนี้ จะให้จัดการกับคนพวกนี้ยังไงดีครับ?ทหารลับพูดด้วยความเคารพ

“นี่!ประธานหลิน คุณเป็นเพื่อนกับผู้นำตระกูลนิ่งหรอ? เหอะ เข้าใจผิดแล้ว!”สวีถันโจวพูดอย่างเสแสร้ง ใบหน้ามีรอยยิ้ม“ถ้าคุณรีบบอกคุณเป็นเพื่อนกับนิ่งซวน ผมไม่กล้ามีเรื่องกับคุณ”

“นิ่งซวน ผู้นำตระกูลนิ่ง เคยกินข้าวกับผม มีมิตรภาพอยู่!นี่ประธานหลิน เหมือนกับว่าพุ่งน้ำในวัดมังกร ผมขอโทษคุณ!”สวีถันโจวพูดด้วยรอยยิ้ม ท่าทางเหมือนยอม ขอร้องอย่างไม่มียางอาย

จากที่เขาดู หลินอิ่งกับคุณชายตระกูลนิ่งนิ่งซวนมีความสนิทกัน เพราะงั้น ในตี้เจียงที่สำหรับคนรวยเงยหน้าไม่เจอก้มหัวเจอ อย่างน้อยนิ่งซวนก็สามารถห้ามหลินอิ่ง ปล่อยตัวเองไป?

แต่ความเป็นจริง ความสัมพันธ์สวีถันโจวกับนิ่งซวน ก็แค่เคยกินข้าวกันในงานเลี้ยงของคนรวยและได้นั่งโต๊ะเดียวกัน

อีกอย่าง ตอนที่นิ่งซวนก็ไม่ได้ขึ้นตำแหน่ง นิ่งซวนก็แค่เป็นคนที่ตามพ่อแม่เขา……

อีกอย่าง นิ่งซวนอยู่ๆก็เติบโตขึ้นมาในวงการไฮโซ กะทันหันมาก ได้ยินว่าเพราะความโชคดี ตระกูลนิ่งได้ได้ความเมตตาจากผู้อาวุโสลึกลับ

หลินอิ่งยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา เหลือบตามองพวกสวีถันโจว

“ทำขาพวกเขาให้พิการก่อน ยกออกไป!”

“ไม่!ไม่เอานะ!”สวีถันโจวพูดด้วยความกลัว นึกไม่ถึงว่าหลินอิ่งจะไม่ให้หน้าขนาดนี้ นี่คือจะฆ่าให้ตายไป!

“ฉัน!ฉันคือคุณชายของชีซิงกรุ๊ป!ถ้าพวกนายกล้าทำฉัน ก็รอพ่อฉันมาประเทศหลุงจะต้องช่วยฉันแก้แค้น!”เผียวซิ่วชวนหน้าเต็มไปด้วยความตื่นกลัว ร้องอย่างบ้าคลั่ง นอนไว้ที่พื้นดิ้นรนโดนชายชุดดำสองคนกดไว้ที่พื้น

“ฉันให้เงินพวกนาย พวกเราชีซิงกรุ๊ปให้ได้!นายอยากได้อะไร อยากได้ประโยชน์เท่าไหร่ ฉันก็ให้นายได้ อย่าฆ่าฉันเลย!”เผียวซิ่วชวนร้องอย่างบ้าคลั่ง ถ้าขาเขาพิการงั้นต่อไปก็ต้องนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต

สำหรับพวกเขาที่มีเงินและอำนาจที่สุด จะยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ ถ้าร่างกายส่วนล่างเสียแรงไป มันคงจะทรมานและเจ็บปวด ตายไป

ยังจะดีกว่า!

ปัง!ปัง!ปัง!

ชายชุดดำเจ็ดแปดคนบุกเข้ามา ทหารลับสองสามคนก็จับไว้ และหลายคนก็ยกมัดไปทางเข่าของเผียวซิ่วชวนอย่างแรง

หมัดของทหารลับพวกนี้แรงยิ่งกว่าค้อนอีก ต่อยได้น้ำหนักหลายร้อยอย่างง่ายดาย แม้กำแพงปูนก็ต่อยได้

ก็แค่ต่อยสองสามมัดลงมา ซิ่วชวนก็ร้องอย่างเจ็บปวด ก็ไม่รับรู้อะไรและเป็นลมไป

แต่กระดูกเข่าเขาก็แตกแล้ว จนเลือดไหล ขาทั้งคู่ได้พิการไป พิการตลอดไป

“โอ!โอ๊ย!”

“นายกล้าทำถึงขนาดนี้!”

จากอีกฝ่าย สวีถันโจว โม่เฟย เผียวจื้อจาง ทั้งสามคนร้องออกมาเหมือนเสียงฆ่าหมูพร้อมกัน ใบหน้าที่ขาวซีดที่สุด หน้าผากมีเหงื่อไหลไม่หยุด

กี่คนนี้ นอนตัวสั่นอยู่ที่พื้น หัวเข่าทั้งสองเลือดไหล ดวงตาเปิดกว้างมองหลินอิ่งด้วยความกลัว

การทรมานหน้ากลัวแบบนี้ ความเจ็บจากกระดูกที่หัก ทำให้พวกเขาสติแตก!

หลินอิ่ง โหดร้ายเกินไป!

“หลินอิ่ง นายทำแบบนี้ บีบให้ตระกูลสวีต้องยกๆไพ่ใบนี้มา!”สวีถันโจวถอนหายอย่างแรงและพูด “พี่ใหญ่ฉันสวีไป๋เห้อกำลังจะมา นิ่งซวนก็กำลังมา แต่นาย เป็นคนเริ่มทำพวกฉัน”

“เดี๋ยว ดูว่านายจะจัดการยังไง!”

สวีถันโจวนึกว่า ถ้าหลินอิ่งมีตระกูลนิ่งนิ่งซวนหมุนหลัง เรื่องนี้ยังมีความเปลี่ยนแปลงได้

แต่นึกว่าไม่ถึงว่า หลินอิ่งไม่มีข้อห้ามในการทำ!

ติ๊กติ๊กติ๊ก

เวลานี้ โทรศัพท์ของสวีถันโจวดังขึ้น ทหารลับคนหนึ่งของตระกูลนิ่งเอาโทรศัพท์ไว้และมองหลินอิ่งพูดด้วยความเคารพ “คือเจ้าบ้านใหญ่จากตระกูลสวี สวีไป๋เห้อโทรมาครับ”

“รับโทรศัพท์”หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ “ฉันจะดูสิว่าตระกูลสวีจะถือไพ่อะไรไว้”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท