ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่364มอบโลงศพให้ฉันเหรอ?

บทที่364มอบโลงศพให้ฉันเหรอ?

ในสายตาของถังฮุยนั้น ท่านอิ่งนั้นก็เปรียบดั่งเทพองค์หนึ่ง ต่อให้ต้องเจอกับปัญหาที่ใหญ่ทัดฟ้า หรือภูเขาสูงใหญ่มาขวางอยู่ตรงหน้า สีหน้าของเขาก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง จิตใจสงบไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

ท่านอิ่งนั้นเป็นเหมือนเทพองค์หนึ่งจริงๆ ไม่เรื่องทางโลกใดๆ ก็ไม่อาจสร้างผลกระทบกับเขาได้ เหมือนผ่านโลกมามากเห็นสิ่งสวยงามมากมายมานับครั้งไม่ถ้วน

นอกจากตอนอยู่กับคุณนายหลินที่ท่านอิ่งจะแสดงออกถึงความสุขแบบคนธรรมดาทั่วไปแล้ว นอกเหนือจากนั้นคุณจะสามารถรับรู้ได้เลยว่าคนคนนี้คือเทพเจ้าอย่างแท้จริง คุณจะไม่มีทางได้เห็นการแสดงออกทางอารมณ์จากเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

จนวันนี้ ถังฮุยถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้วท่านอิ่งเองก็เป็นคนที่มีเลือดมีเนื้อ มีเรื่องที่ทำให้เขาหนักใจ มีเวลาที่เขารู้สึกโกรธและแสดงความรู้สึกออกมาเหมือนกับคนทั่วไปเหมือนกัน

ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง

จางฉีโม่เดินเข้ามา เธอมองหลินอิ่งด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

“หลินอิ่ง คุณทำธุระกลับมาแล้วเหรอคะ? วันนี้ทางสาขาย่อยของตี้จิงนั้นจัดการเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้ได้เริ่มดำเนินการไปเป็นที่เรียบร้อย เราไปกินอะไรด้วยกันหน่อยมั้ยคะ?”

จางฉีโม่สีหน้ายินดี ดูมีความสุขเป็นอย่างมาก

มุมปากของหลินอิ่งแย้มขึ้น เผยรอยยิ้มออกมา เขาดับบุหรี่ จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้น “ไปครับ”

“ถังฮุย เขตหัวหยางมอบหมายให้คุณไปจัดการแล้วกัน สิทธิ์ในการจัดการทั้งหมดของที่ดินผืนนั้นเป็นของคุณ” หลินอิ่งพูดขึ้น

“ครับ!” ถังฮุยพยักหน้าด้วยความเคารพ

ไม่นาน หลินอิ่งกับจางฉีโม่ก็มาถึงร้านอาหารธีมราศี ที่อยู่ในอาคารดวงดาว

ทั้งคู่นั่งลงตรงโต๊ะคริสทัล และสั่งอาหารเรียบร้อยไปแล้ว

เมื่อมองผ่านบานกระจกที่กั้นระหว่างภัตตาคารกับโลกภายนอกลงไป ก็สามารถมองเห็นผู้คนภายในอาคารมากมายที่เดินผ่านไปผ่านมา ทำงานตรงโน้นทีตรงนี้ที

ที่นี่คืออาคารสำนักงานของบริษัทเครื่องประดับฉีซื่อ หลังจากครั้งก่อนที่จงเทียนซิงเฉิง ถูกโครงการสตาร์ไลท์โฆษณาไปครั้งใหญ่ บริษัทเครื่องประดับฉีซื่อก็มีชื่อเสียงขึ้นมาในตี้จิงเลย

ทั้งกระบวนการผลิตและกระบวนการจัดจำหน่ายต่างก็เป็นไปด้วยดี ไม่มีปัญหาอะไร

ดังนั้น วันนี้จางฉีโม่จึงรู้สึกอารมณ์ดีมาก

นี่เป็นความใฝ่ฝันที่เธอตามหามานาน การได้มองดูตึกที่ตัวเองใฝ่ฝันถูกสร้างขึ้น ข้างกายยังมีคนรักที่รักกัน จะไม่ให้มีความสุขได้ยังไงล่ะ

จางฉีโม่มองหลินอิ่งไปแวบหนึ่งแล้วพูดไปว่า “หลินอิ่ง วันนี้คุณมีเรื่องอะไรให้หนักใจรึเปล่าคะ? ฉันเห็นตอนอยู่ในห้องทำงานคุณดูเคร่งขรึมมากเลย”

หลินอิ่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วตอบไปว่า “ไม่มีอะไรครับ”

หือ? จริงเหรอคะ? แล้วคุณกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่เหรอคะ?” จางฉีโม่ถามไปด้วยความสงสัย

ตั้งแต่พบกับจ้าวหลินเอ๋อร์ที่ตี้จิงเป็นต้อนมา เธอก็มักจะเป็นห่วงทุกอย่างที่เกี่ยวกับหลินอิ่งอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกเหมือนเด็กน้อยที่หวงของเล่นของตัวเอง กลัวว่าจะถูกคนอื่นแย่งไปแบบนั้นเลย

“ผมกำลังคิดถึงคุณไงครับ”

“ชิ” จางฉีโม่มองบน หันไปทางอื่น ใบหน้าแดงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

“พอแล้ว แต่งงานกันมาตั้งนานแล้ว คุณช่วยจริงจังหน่อย ฉันกำลังคุยสำคัญกับคุณอยู่นะคะ” จางฉีโม่คีบปลาขึ้นมาชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

“ธุระทุกอย่างของสาขาในตี้จิงถูกจัดการหมดแล้ว ตอนนี้สามารถดำเนินงานได้ตามปกติ ฉันต้องกลับไปที่เมืองตุงไห่รอบหนึ่ง เพื่อไปจัดการธุระของสาขาทางนั้นให้เสร็จ การบริหารกิจการเครื่องประดับของทั้งสองแห่งต้องได้การตรวจสอบเหมือนกัน” จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“คุณกลับไปที่เมืองตุงไห่รอบหนึ่งก็ดีเหมือนกัน การดำเนินงานของบริษัทคุณสามารถไปจัดการได้อย่างเต็มที่เลยนะครับ เรื่องแบบนี้คุณเก่งอยู่แล้ว” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรมาหาผมได้เลยนะครับ”

“ค่ะ” จางฉีโม่พยักหน้า “สรุป คุณจะกลับเมืองตุงไห่ไปพร้อมกับฉันรึเปล่าคะ?”

หลินอิ่งตอบด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ผมยังมีเรื่องที่ต้องทำในเมืองตี้จิงอีก ยังกลับไปไม่ได้สักระยะ ตอนอยู่ที่เมืองตุงไห่ถ้ามีเรื่องอะไรก็ใช้งานเสิ่นซานกับเจียงฉีได้เลยนะครับ”

เหมือนจางฉีโม่อยากพูดอะไรแต่ก็หยุดไป ตอนแรกเธอตั้งใจจะถามหลินอิ่งว่ายังมีธุระอะไรที่ตี้จิงอีก แต่พอคิดๆ ดูแล้วสุดท้ายก็ไม่ได้ถามไป

ยังไงซะกิจการของหลินอิ่งในตี้จิงก็ใหญ่โตขนาดนี้ มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมากมายต้องให้จัดการ เห็นที่คงจัดการให้เสร็จภายในเวลาสั้นๆ ไม่ได้หรอก

“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” จางฉีโม่พยักหน้าตอบ

ด้วยเหตุนี้ หลินอิ่งกับจางฉีโม่ก็พูดคุยกันเรื่องทั่วไปในครอบครัว เรื่องของบริษัทกันอย่างเรื่อยเปื่อย ไม่นานเวลาของอาหารก็ได้ล่วงเลยผ่านไป

หลังกินข้าวเสร็จจางฉีโม่ก็กลับไปพักผ่อนที่ห้อง

หลินอิ่งกลับมาที่ห้องทำงานของประธาน สองมือวางอยู่บนราว มองดูอาคารสูงใหญ่ที่อยู่ในตี้จิง จุดบุหรี่มวนหนึ่งนึกถึงสถานการณ์ในตอนนี้

การเปลี่ยนแปลงของแก๊งมังกร ทำให้หัวใจของเขาถูกความมืดปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง

เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของอาจารย์มาก ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างคาดไม่ถึงของแก๊งมังกรในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าอาจารย์จะได้รับอันตราย……

ตอนนั้นอาจารย์ไปผ่านด่านความเป็นความตาย จึงตัดสินใจตัดขาดจากทางโลก เพื่อจะได้เข้าถึงศิลปะการต่อสู้ที่สูงขึ้นไปอีกระดับ

ไม่ได้บอกว่าสถานที่ที่ไปทดสอบด่านความเป็นความตายอยู่ที่ไหน มันจึงเป็นเรื่องที่ยากมากในการตามหา

กริ้งๆ

ทันใดนั้น มือถือของเขาก็ดังขึ้น

“ท่านอิ่งครับ ทางลูกพี่หยูเกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ!” ทางต้นสาย เสียงที่ร้อนรนของถังฮุยดังขึ้น

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย “เกิดเรื่องขึ้นกับหยูจื๋อเฉิงอย่างนั้นเหรอ?”

“จู่ๆ การติดต่อของลูกพี่หยูก็ขาดหายไป ลูกน้องของเขาบอกว่า ห้องที่ลูกพี่หยูพักอยู่ถูกคนโจมตีครับ แถมยังทิ้งปลอกกระสุนไว้อีก” ถังฮุยพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

“ผมเข้าใจแล้ว”

“ยังมีอีกเรื่องครับ……” ถังฮุยพูดออกมาอย่างระมัดระวัง “มีคนส่งโลงศพโรงหนึ่งมาที่จงเทียนซิงเฉิงครับ มันตั้งอยู่ที่หน้าประตูอาคารสำนักงานของถูซานครับ ……มีข้อความแปะไว้ว่า เป็นของที่คุณท่านจี้มอบให้กับท่านอ้างครับ……”

ตอนที่ถังฮุยพูดออกมานั้น หัวใจของเขากำลังเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง ถึงกับมีคนกล้าส่งโลงศพมาถึงหน้าบ้านของท่านอิ่ง แถมยังเปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจน นะ นี่มันเป็นการแสดงออกถึงความดูถูกและประกาศสงครามอย่างโจ่งแจ้งเลยนี่นา! นี่มันต้องการท้าทายอำนาจของตี้จิงชัดๆ!

“คุณ ไปกับผม”

หลังวางสาย ลำแสงเย็นเยือกก็ได้ปรากฏขึ้นที่แววตาของหลินอิ่ง จิตสังหารได้ระเบิดออกมา

หยูจื๋อเฉิงเกิดเรื่องแล้วอย่างนั้นเหรอ?

คุณท่านจี้เหรอ? จี้ฉงซานเป็นคนส่งโลงศพนั่นมาเหรอ?

เขาสั่งให้หยูจื๋อเฉิงพาคนไปแอบจับตาดูจี้ฉงซานมาพักใหญ่แล้ว ดูเหมือนจะถูกจับได้แล้วแน่ๆ

พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่จี้ฉงซานจะกลับเมืองก่างพอดี ทั้งที่วางแผนว่าจะลงมือกับจี้ฉงซานในวันพรุ่งนี้แล้วแท้ๆ

แต่แล้ว ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ หยูจื๋อเฉิงกลับหายตัวไปซะได้

มันจึงทำให้หลินอิ่งได้กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์นัก

เช้าวันนี้ เขาเพิ่งไปองครักษ์มังกรที่อยู่ในอำเภอหลงซิงตรงชานเมือง ก็เพื่อต้องการสืบสาวข้อมูลของตระกูลเหวินและผู้อยู่เบื้องหลังจากจี้ฉงซานนี่แหละ

อีกอย่างก็คือให้องครักษ์มังกรไปตรวจสอบบริษัทยามาโตะหยิงหวาดู ไปตรวจสอบกงจิ่วผู้น่าสงสัยที่คอยควบคุมตระกูลนิ่งเอาไว้

สุดท้าย ก็ได้รู้ว่าแก๊งมังกรได้เปลี่ยนผู้นำไปนานแล้ว……

หรือว่า? นี่อาจเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นก็ได้?

หลินอิ่งเริ่มใช้ความคิด

ตอนนั้น จู่ๆ ตระกูลเหวินก็ถอยไปซ่อนตัวจากตี้จิง แถมยังมียอดฝีมือผู้ลึกลับที่อยู่กับเหวินเทียนเฟิ่งนั่นอีก คนคนนั้นสามารถประมือกับเขาได้เป็นสิบครั้งเลยนะ

ตอนนั้น หลินอิ่งก็สงสัยแล้วว่า ตระกูลเหวินน่าจะรู้ถึงฐานะของเขาในแก๊งมังกร

พอมาตอนนี้ เรื่องทุกอย่างมันจะดูซับซ้อนมากกว่าที่คิดแล้ว!

บางที อาจจะมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาที่เขาจากที่มืดในตี้จิงก็เป็นได้

หลินอิ่งทำหน้าเรียบเฉย จุดบุหรี่ แล้วเดินลงชั้นล่างไป

ไม่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใครก็ตาม เขาก็ต้องสืบสาวจนทุกอย่างกระจ่างให้ได้

กล้าส่งโลงศพมาถึงหน้าบ้านแบบนี้ ถ้าใครกล้าเข้ามาขวางก็ต้องฆ่าให้หมด แม้แต่เทพมาขวางก็ไม่มีเว้น!

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท