ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่368บินสู่เมืองก่าง

บทที่368บินสู่เมืองก่าง

หลังออกจากร้านอาหารหลุยกง หลินอิ่งแววตาลึกซึ้ง ในหัวกำลังวิเคราะห์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น

เหตุการณ์ในครั้งนี้ เป็นจี้ฉงซานที่ชิงลงมือก่อน เขาจับตัวหยูจื๋อเฉิงและหนีไปได้

แต่ว่า หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้นวันยังค่ำ!

กิจการใหญ่โตของจี้ฉงซานต่างก็อยู่ที่เชียงเจียงเมืองก่าง!

ต่อให้หนีไปถึงสุดขอบฟ้า หลินอิ่งก็คิดว่าต้องลากคอมันออกมาให้ได้!

จี้ฉงซานไม่เพียงแค่รู้เรื่องเส้นสายของตระกูลเหวินเท่านั้น เขายังจับตัวหยูจื๋อเฉิงไป จึงจำเป็นต้องหาคนคนนี้ให้เจอ

เขามีแผนไว้แล้ว ว่าจะเดินทางไปที่เมืองก่างด้วยตนเองรอบหนึ่

เมืองก่างเมืองรังเก่าของจี้ฉงซาน นักลงทุนใหญ่ที่รักเงินทองยิ่งกว่าชีวิตอย่างจี้ฉงซานน่ะ ไม่มีทางทิ้งกิจการที่ใหญ่โตในเมืองก่างได้ลงหรอก

“หัวหน้าหลินครับ เมื่อกี้ผู้อำนวยการโทรมา เขามีเรื่องฝากให้ผมมาขอร้องครับ” หัวหน้าพูดจริงจังอยู่ข้างๆ

หลินอิ่งพูดไปด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย “ถ้าเรื่องที่ให้ผมไปรับตำแหน่งละก็ ไม่ต้องมาพูด”

หัวหน้าทำหน้าลังเลแปบหนึ่งก่อนจะพูดไปว่า “หัวหน้าหลินครับ ผู้อำนวยการบอกว่า เขาได้คุยกับหลุยกงแล้วครับ หลุยกงเป็นคนที่รู้ว่าควรทำอะไร เขาจะไม่เข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ผู้อำนวยการอยากขอให้คุณเห็นแก่ความสัมพันธ์ของคุณทั้งสอง ช่วยอย่าไปถือโทษหลุยกงเลยครับ”

“ถ้าหลุยกงไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรกับเรื่องของตระกูลเหวิน ผมก็ไม่มีทางไปยุ่งกับเขาหรอก” หลินอิ่งตอบมาอย่างเรียบเฉย

หัวหน้ารู้สึกตะลึงจนใจสั่น คำพูดของหลินอิ่งนั้นยังแฝงด้วยความนัย ซึ่งก็คือ ถ้าหลุยกงไปข้องเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลเหวินเข้า เกรงว่าเขาก็คงจะโดนคิดบัญชีไปด้วยเหมือนกัน!

“หัวหน้าหลินครับ ผู้อำนวยการอยากเชิญคุณกลับไปดูแลกองกำลังที่สูงที่สุด ฝึกสอนพวกสมาชิกใหม่ และมันก็คือคำเชิญชวนจากผู้บัญชาการสูงสุดด้วยนะครับ” หัวหน้าพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

หลินอิ่งส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ผมมีเรื่องสำคัญต้องให้ทำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก”

พูดจบ หลินอิ่งก็หมุนตัว ฮาเดสได้เปิดประตูรถไว้นานแล้ว เขาก้าวขึ้นรถไป

หัวหน้ามองดูหลินอิ่งที่จากไป อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

การที่ไม่สามารถเชิญหัวหน้าหลินกลับไปได้ ถือเป็นการสูญเสียที่ใหญ่หลวงสำหรับกองทัพเลย

หัวหน้าหลินไม่ได้อยู่ในกองทัพของประเทศหลุง แต่ก็ยังทิ้งตำนานอันน่าเหลือเชื่อไว้ที่กองทัพ ตอนที่เขาอายุสิบหกได้ถูกผู้บัญชาการสูงสุดเชิญมาใช้ช่วย สร้างชื่อจากการสงครามนอกประเทศในครั้งเดียว สร้างความฮึกเหิมมากมายให้กับกองทัพ ได้รับการตกรางวัลจากท่านผู้นำสูงสุด ได้รับอำนาจและเกียรติยศระดับผู้บัญชาการไปตลอดชีวิต

แต่ตอนอยู่ในช่วงพีคที่สุด เขากลับปฏิเสธคำเชิญของผู้บัญชาการสูงสุด แล้วเดินจากไป เหลือไว้เพียงแค่ตำนานเท่านั้น

การกลับไปเก็บตัวของหัวหน้าหลินนั้นทำให้ผู้บัญชาการสูงสุดรู้สึกเสียดายมาก ไม่เคยลืมเลือน มักจะพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง เขาบอกว่า ถ้าดึงตัวหัวหน้าหลินเข้ากองทัพได้ละก็ จะสามารถยกระดับประเทศหลุงได้อีกมากโขเลย!

……

จงเทียนซิงเฉิง อาคารดวงดาว

ภายในห้องทำงานของประธาน หลินอิ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองดู ตี้จิงที่คึกคัก จัดบุหรี่ม้วนหนึ่ง

เขาได้จองตั๋วที่จะบินไปเมืองก่างในวันพรุ่งนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว

ทางเมืองก่างนั้นหลินอิ่งไม่เคยส่งคนไปเลย

เดิมทีแก๊งมังกรได้มีการส่งองครักษ์มังกรไปแผงตัวอยู่ในฮ่องกง แต่สถานการณ์ในตอนนี้ แก๊งมังกรได้เปลี่ยนจากมิตรเป็นศัตรู องครักษ์มังกรพวกนี้ไม่เพียงไม่เกิดประโยชน์กับตน แต่ยังอาจจะกลายเป็นภัยสำหรับเขาไปแล้ว

หลินอิ่งได้เตรียมแผนการใหญ่ไว้แล้ว เขาจะส่งคนไปแฝงตัวอยู่ในเมืองก่าง เพื่อสวนกลับจี้ฉงซานกับตระกูลเหวิน

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงโทรหานายคริสที่อยู่ในเมืองตุงไห่ สั่งให้นายคริสดำเนินการทันที ให้ไปรอเขาอยู่ที่เมืองก่าง

นายคริสเป็นตัวแทนเอเชียแปซิฟิกของลาตินกรุ๊ป อยู่ที่เมืองก่างเขามีอำนาจสั่งการอยู่พอสมควรเลย

ที่สำคัญ คู่แข่งเพียงหนึ่งเดียวของนายคริสในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก็คือเมืองก่างนั่นเอง

ในตอนนี้ การใช้งานเบี้ยอย่างลาตินกรุ๊ป

ให้เดินตามน้ำไป เป็นการทางให้นายคริสอย่างดี กำจัดคู่แข่ง กลายเป็นคนสั่งการอย่างแท้จริงของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เดินเกมใส่เมืองก่างอย่างเด็ดขาด!

ในตลาดมืดทั่วโลก เมืองก่างนั้นถือเป็นแหล่งข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลย

เมื่อมีเบี้ยอยู่ในเมืองก่างแล้ว ก็เท่ากับมีตาเพิ่มขึ้นมาอีกคู่หนึ่ง ช่วยตนเองสอดส่องแก๊งมังกรและตระกูลเหวินหลังจากที่เปลี่ยนผู้นำแล้ว

อีกอย่าง หลังจากที่ไปถึงเมืองก่าง หลินอิ่งก็ตั้งใจจะลองติดต่อกับองครักษ์มังกรในเมืองก่างดู เพื่อสืบหาความเป็นไปของแก๊งมังกร

พอคิดได้ หลินอิ่งก็หยิบมือถือออกมา ต่อสายออกไป

“ฮัลโห หลินอิ่ง มีธุระอะไรรึเปล่าคะ?” อีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์ ได้มีเสียงที่ไพเราะของจางฉีโม่ดังขึ้น

“ฉีโม่ ผมมีธุระต้องไปทำที่เมืองก่าง” หลินอิ่งพูดด้วยใบหน้าที่จริงจัง “ส่วนเรื่องของบริษัททางตี้จิงนั้นผมได้มอบหมายให้ถูซานกับถังฮุยดูแลแล้ว ถ้ามีปัญหาอะไรก็หาพวกเขาได้เลยนะครับ”

“อืมอืม เข้าใจแล้วค่ะ คุณจะไปที่เมืองก่างเหรอคะ? แล้วจะไปนานแค่ไหน?” จางฉีโม่เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ “อีกวันสองวันฉันก็จะกลับเมืองชิงหยูนแล้วเหมือนกัน”

“ตอนนี้ยังไม่รู้วันที่แน่ชัด แต่อย่างน้อยน่าจะสักเดือนสองเดือนครับ” หลินอิ่งตอบไป “ช่วงที่ผมไม่อยู่นี้ คุณต้องดูแลตัวเองดีๆ นะครับ” ”ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว” จางฉีโม่ตอบ “คุณเองก็เหมือนกัน อยู่ที่เมืองก่างก็ดูแลตัวเองด้วยนะคะ”

“บาย”

พูดจบ หลินอิ่งก็วางสายไป

ก๊อกๆ

ทันใดนั้น ถังฮุยก็เคาะประตูเข้ามา โดยมีเอกสารติดมือมาด้วยฉบับหนึ่งพร้อมกับสีหน้าที่เคร่งขรึม

ท่านอิ่ง ข้อมูลที่คุณให้ผมไปรวบรวมของชีซิงกรุ๊ปกับของบริษัทยามาโตะหยิงหวา ผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับ”

ถังฮุยพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

หลินอิ่งพยักหน้า แล้วพูดไปว่า “พรุ่งนี้ผมจะเดินทางออกจากตี้จิง ช่วงที่ผมไม่อยู่ คุณกับถูซานต้องระวังให้ดี”

“จำไว้ ตระกูลสวียังไม่ยอมรามือ พอผมไม่อยู่ ถ้ามีโอกาสให้แก้แค้น พวกเขาก็จะแว้งกลับมากัดอย่างไม่ลังเลเลยล่ะ”

หลินอิ่งค่อยๆ พูดออกมา “ส่วนชีซิงกรุ๊ปนั้น จะต้องมาก่อเรื่องที่ตี้จิงแน่ พวกคุณต้องต้านเอาไว้ให้ได้ แล้วบริษัทยามาโตะหยิงหวานั้นอค่จับตาด็การเครื่อนไหวของบริษัทต้าเหอก็พอ”

ถังฮุยสีหน้าเคร่งขรึม เขารับฟังอย่างตั้งใจ จากนั้นก็พูดไปว่า “ท่านอิ่งครับ เรื่องที่ได้รับมอบหมายจากคุณ ผมจะไม่ให้พลาดเลยแม้แต่เรื่องเดียวครับ คุณไปทำธุระอย่างสบายใจเถอะครับ ผมจะช่วยคุณดูแลกิจการในตี้จิงเองครับ”

หลินอิ่งพยักหน้า

การที่เขาเดินทางไปเมืองก่างในครั้งนี้ ในช่วงที่เขาไม่ได้อยู่บัญชาตี้จิงด้วยตนเอง ตระกูลสวีที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมนั้นจะต้องหาโอกาสมาลอบกัดแน่นอน

ส่วนชีซิงกรุ๊ป เนื่องจากมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับตระกูลสวี จึงมีความเป็นไปได้มากที่พวกเขาจะปรากฏตัวด้วย

ถึงกลุ่มธของชีซิงจะอยู่ที่ประเทศเกาหลี แต่อิทธิพลของธุรกิจนั้นกระจายไปทั่วโลก ถ้าเผียวจินฮุนต้องการสร้างชื่อให้ลูกชายละก็ เขาก็สามารถสร้างผลกระทบอันยิ่งใหญ่ให้กับธุรกิจของตัวเองได้เลย

ที่เหลือก็คือบริษัทยามาโตะหยิงหวา สืบเนื่องจากกงจิ่วผู้ลึกลับที่ควบคุมตระกูลนิ่งอยู่เบื้องหลังนั้น จึงจำเป็นต้องป้องกันไว้ก่อน

หลังจากที่กงจิ่วถูกตัวเองทำลายแผนที่ตระกูลนิ่งแล้ว เขาก็เงียบไปเลย ไม่มีวี่แววว่าจะมีการสวนกลับใดๆ แต่มันก็เป็นอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดอันหนึ่งที่ยังแอบซ่อนอยู่ในตี้จิง

ความสนใจที่หลินอิ่งมีต่อกงจิ่วนั่น สูงกว่าชีซิงกรุ๊ปและตระกูลสวีเสียอีก

ก่อนหน้านี้ก็เป็นอันรู้กันอยู่แล้วว่า ในที่ลับของประเทศหลุงกงจิ่วนั้นได้มีการปลุกระดมและเป็นสายลับอยู่แล้ว เขาได้สร้างกลุ่มสายลับญี่ปุ่นขึ้นมา นี่มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาล้อเล่นกันได้เลย เมื่อเทียบกันแล้วเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความลับทางการทหารของสองประเทศ มันร้ายแรงยิ่งกว่ากลุ่มธุรกิจกับวงศ์ตระกูลไปมากเลย

“โอเค คุณไปได้แล้ว ถ้ามีอะไรที่จัดการไม่ได้ก็ฝากข้อความไว้ให้ผม” หลินอิ่งยกชาขึ้นมาดื่ม แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“ครับ!” ถังฮุยพยักหน้าอย่างแน่วแน่ หันหลังแล้วเดินจากไป

เขารู้อยู่แก่ใจดี ว่าครั้งนี้ท่านอิ่งจะเข้าไปในเมืองก่างถิ่นเก่าของจี้ฉงซาน เพื่อช่วยลูกพี่หยูกลับมา มันอันตรายเหมือนเป็นการเดินเข้าถ้ำเสือเลย

ส่วนกิจการในตี้จิง ท่านอิ่งก็ได้มอบหมายให้เขา ถังฮุยจัดการแทนทั้งหมด มันถือเป็นโอกาส และยังเป็นประสบการณ์ครั้งใหญ่อีกด้วย

เมื่อมอบหมายทุกอย่างเสร็จ หลินอิ่งก็หลับตาลงเพื่อพักสายตา

นักสู้ทั้งสี่รองลงจากหยูจื๋อเฉิง คนที่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาด้านธุรกิจที่สุดก็คือถังฮุย คนคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องบริหาร การดูแลกิจการนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับเขาเลย

ที่สำคัญ ตนเองยังได้แอบเก็บมือดีเอาไว้ที่ตี้จิงอีกคน

ถ้าหากว่าถังฮุยถูซานกับพวกดูแลกิจการไม่ไหว เขาก็ยังมีนิ่งซวนอยู่ เขาสามารถใช้งานอำนาจของตระกูลนิ่งได้ทุกเมื่อ คิดว่าน่าจะสามารถคุมสถานการณ์ได้อยู่

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท