ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่378 คุณลุง คุณพ่อของฉันฝากของสิ่งนี้ไว้ให้คุณ

บทที่378 คุณลุง คุณพ่อของฉันฝากของสิ่งนี้ไว้ให้คุณ

บูม!

เสียงประตูคฤหาสน์ดังขึ้น

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย หยังสวนเจิงตายแล้ว?

ถึงแม้ว่าศิลปะการต่อสู้ของหยังสวนเจิงจะไม่ดีเท่ากับตัวเขาเอง ถึงจะยังไงก็คือลูกศิษย์ที่อาจารย์สอนออกมา บุคคลที่อยู่ในระดับหัวหน้าสำนักแก๊งมังกร ในโลกนี้เป็นเรื่องยากที่จะมีคนสามารถทำร้ายเขาได้

ถ้าอย่างนั้น ก็สามารถแน่ใจได้ว่า หยังสวนเจิงเสียชีวิตในระหว่างการเปลี่ยนหัวหน้าแก๊งมังกรครั้งที่แล้วที่เกิดวุ่นวายภายในเกิดขึ้น

หรือว่าหยังสวนเจิงตายแล้ว แต่ยังทิ้งลูกสาวไว้หนึ่งคน?

หลินอิ่งมองท่าทางการแสดงออกของหญิงสาวและเด็กหญิง รู้สึกว่าต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในเรื่องนี้ เกี่ยวกับข้อมูลภายในแก๊งมังกร ดังนั้นเขาต้องสืบเรื่องนี้ให้ได้

หลินอิ่งครุ่นคิดแล้วส่งสัญญาณทางสายตาให้ฮาเดส

ฮาเดสเดินเข้าไป ตบหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เฝ้าอยู่หน้าประตูจนหมดสติ แล้วหยิบกุญแจไปเปิดประตูใหญ่ของวิลล่า

ทั้งสองคนเดินเข้าไปยังวิลล่าอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ในสวนของวิลล่า ข้างกายของหญิงสาวเจ้าเสน่ห์มีชายวัยกลางที่สวมชุดลายๆหลายคนตามอยู่

หยังสู้สู้ทำท่าทางอย่างกับทำผิดอะไรมา ก้มหัวแล้วเอามือไขว้หลังไว้

“ไอ้เด็กบ้านี้ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆไอ้ไม่ได้เรื่อง! ยังเป็นเด็กเป็นเล็ก แค่เห็นก็รู้จักเข้าหาผู้ชาย โทรมาต้องเป็นผู้หญิงที่ไม่ดีแน่เลย!” ใบหน้าของสาวเจ้าเสน่ห์เต็มไปด้วยความโกรธ และพูดด้วยน้ำเสียงที่หยาบคาย

“ไม่ใช่! คุณแม่สวี เข้ามาหาพ่อของหนู หนูก็แค่ตอบรับไปคำหนึ่ง” หยังสู้สู้พูด

ป๊าบ!

ใบหน้าของแม่สวีเต็มไปด้วยความโกรธ และกก็ตบหน้าหยังสู้สู้ไปหนึ่งครั้ง “ อย่าเรียกฉันว่าแม่! ฉันไม่ใช่แม่ของแก! ไอ้เด็กบ้านนี่ ยังกล้ามาเถียงกับฉันใช่ไหม?”

“ มาหาพ่อที่ตายแล้วของแกแล้วจะยังไง? ก่อนจะที่พ่อของแกจะตายได้ให้สิ่งของมีค่าอะไรไว้ให้กับแกใช่ไหม?” แม่สวีมองหยังสู้สู้ด้วยใบหน้าที่มืดมน “ แกมีเจ้าเล่ห์จริงๆ ถามแกมาตั้งนาน ยังไม่เต็มใจที่จะเอาสิ่งนั้นออกมาอีกหรอ?”

หยังสู้สู้หลั่งน้ำตา กัดฟันแน่นไม่ให้ตัวเองร้องไห้เสียงดัง ก้มหน้าสะอื้นเบาๆ

“ไร้ยางอายจริงๆ! ไอ้เด็กเวร!” ชายวัยกลางคนหนึ่งพูดด้วยความโกรธ “ถ้าไม่เห็นแก่พ่อที่ตายไปแล้วของแก พวกเราคงทิ้งแกไว้ข้างถนนให้อดตายแล้วให้หมามันกิน! พวกเราเลี้ยงแกไว้ แกยังไม่รู้จักสำนึกบุญคุณอีกเหรอ?”

“เมื่อก่อนถามอะไรแกก็ไม่พูด แกล้งเป็นใบ้? พอคนนอกมาแกก็วิ่งเข้าหา? แกว่าแกมันไร้ยางอายใช่มั้ยห๊า!”

“รอเธอให้โตกว่านี้หน่อย เราค่อยเอาเธอไปขายที่เลาจน์ ก็ยังมีราคาหน่อย จะได้ค่าเลี้ยงดูคืนมาบ้าง” แม่สวีพูด

“ทั้งวันก็กอดแท่งเหล็กอันเน่าๆที่พ่อของเธอทิ้งไว้ราวกับเป็นของมีค่า มันสามารถทำอะไรได้?”

“ฮ่าๆ! ก็แค่ไอ้เด็กบ้าคนหนึ่ง ยังคิดว่าพ่อของเธอทิ้งของมีค่าอะไรให้ซะอีก?”

ชายหญิงหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนหัวเราะเยาะอย่างสะใจ

“พ่อ พ่อของหนูบอกว่า นี่คือคำพูดสุดท้ายของเขา จะต้องเก็บของนี้ไว้ให้กับผู้มีอำนาจคนหนึ่ง ผู้มีอำนาจคนนั้นจะมาหาด้วยตัวเอง” หยังสู้สู้พูด “ แค่รอผู้มีอำนาจคนนั้น เขาก็จะช่วยหนูบรรลุความปรารถนาหนึ่งอย่าง”

เธอบีบก้อนหินสีดำในมือของเธอแน่น ก็เหมือนคอยเฝ้าดูแลปกป้องของที่รักอะไรอย่างนั้น

“เป็นไอ้โง่จริงๆมองก้อนหินก้อนหนึ่งเป็นของมีค่า? พกติดตัวอยู่ตลอด โง่มากๆ!”

“นี่ ยังพูดถึงผู้มีอำนาจอะไร? สามารถช่วยบรรลุความปรารถนาได้? แกคิดว่าพ่อของแกรู้จักกับเทวดาหรือไง?”

“ยังบรรลุความปรารถนา? ไอ้เด็กบ้าคนนี้ อยากรอเพื่อนของพ่อแกมาใช่ไหม? แล้วไล่พวกเราออกไปหรอ? ให้แกอยู่บ้านหลังนี้?” แม่สวีพูดอย่างประชดประชัน “เอาลูกหินเน่าๆก้อนนั้นมา วันนี้ฉันจะต้องทิ้งมันให้ได้ ดูว่าแกยังจะแสดงอะไรอีก!”

“หนู หนู……นี่คือความหวังสุดท้ายที่พ่อของหนูขอไว้ หนูจะต้องทำให้สำเร็จแทนพ่อ” หยังสู้สู้รวบรวมความกล้าล้าพูดว่า “คุณแม่สวี แม่แย่งมันไปไม่ได้”

“หึๆ ใครจะอยากได้ก้อนหินของแก? ฉันถามแก ก่อนที่พ่อแกจะตายได้พูดอะไรกับแก? ได้ซ่อนสมบัติเอาไว้ที่ไหนสักแห่งใช่ไหม?” แม่สวีพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“ไม่มี พ่อของหนูทิ้งก้อนหินนี้ให้เท่านั้น” หยังสู้สู้ก้มหน้าแล้วพูด

“หยังสวนเจิงก็เป็นคนไม่ได้เรื่อง มาตายอย่างน่าแปลกใจ แม้แต่มรดกก็ไม่ทิ้งไว้ให้! ช่างเป็นคนที่ไร้ค่า สมควรตายจริงๆเลย!”แม่สวีสาปแช่ง

คุณสวียิ่งคิดก็ยิ่งไม่พอใจ ตอนที่หยังสวนเจิงยังมีชีวิตอยู่เขาเป็นคนที่เก่งมาก แม้กระทั่งกินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกันกับจี้ฉงซานมหาเศรษฐีแห่งเมืองก่าง จี้ฉงซานยังต้องมาชนแก้วแสดงเพื่อความเคารพ หลังจากที่ตายไป กลับทิ้งไว้แค่วิลล่าหลังนี้? และพื้นที่พังๆของวัด?

นี่สามารถมีราคามากแค่ไหน? ไม่สมกับที่เป็นคุณหนูของตระกูลสวี ในปีนั้นเธอพยายามทำทุกวิถีทางเพื่ออ่อยหยังสวนเจิง ขึ้นเตียงของเขายอมเป็นมือที่สาม เป็นแม่ม่ายมาตั้งหลายปี! เสียเวลาช่วยวัยรุ่นไปหลายปี! กลับได้มรดกแค่นี้?

หยังสวนเจิงยังพูดอะไรนะช่วยดูแลลูกสาวของเขาให้ดีๆ ถุย! ก็แค่ต้องการจะทรมานลูกสาวของเขา!

“คุณแม่สวี คุณพ่อไม่ใช่คนที่ไม่ได้เรื่อง หนูไม่อนุญาตให้คุณพูดเขาแบบนี้” หยังสู้สู้พูดอย่างดื้อรั้น

“ยังกล้าเถียง? มานี่ ตบปาก!” สีหน้าของแม่สวีเต็มไปด้วยความโกรธและดุอย่างเย็นชา

“หยุด!”

ทันใดนั้น มีเสียงหนึ่งดังเข้ามา ทำให้คุณแม่สวีตกใจและถอยหลังไปสองก้าว

หลินอิ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม สั่งฮาเดสอุ้มหยังสู้สู้ไปอยู่อีกข้างๆ

“นาย? นายเข้ามาได้ยังไง? นี่คือการบุกรุกเข้าบ้านผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต นายรู้หรือเปล่า?”แม่สวีทั้งตกใจทั้งโกรธ และด่าหลินอิ่ง

“ใครให้เธอลงมือกับลูกสาวของหยังสวนเจิง?” หลินอิ่งถามด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย

“นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของตระกูลสวี! นายมันก็แค่คนนอกเกี่ยวอะไรด้วย?” แม่สวีพูดอย่างเย็นชา “ไอ้เด็กบ้านี่เป็นลูกสาวของฉัน ฉันอย่างจะตียังไงก็ตีย่างนั้น!”

“ไม่! หนูไม่ใช่ลูกสาวของเธอ!” หยังสู้สู้ตอบกลับ” แม่แท้ๆของหนูคือหยังฉ่ายเซียคุณเป็นแม่เลี้ยงของหนู”

“โอ๊ย!แกมันกล้ามาก!” สีหน้าของแม่สวีเต็มไปด้วยความโกรธ เดินไปก็จะตีหยังสู้สู้

ฮาเดสยืนบังอยู่ข้างหน้าด้วยท่าทางที่เย็นชาและพูดเสียงเข้ม “ประธานหลินถาม พวกคุณไปยืนข้างๆให้หมด”

“นายเป็นใคร? มาถึงบ้านตระกูลสวีเพื่ออวดเก่ง?”

“ให้ตายสิ มาถึงบ้านของพวกเรายังขนาดนี้ รนหาที่ตายใช่ไหม?”

ชายวัยกลางกลุ่มนี้เดินล้อมเข้ามาและตะโกนลั่น

บูม!

ฮาเดสเหวี่ยงมือออกไป ตบชายที่ยืนอยู่ข้างๆคุณแม่สวีกระเด็นออกไปไม่ต่ำกว่าสิบเมตร นอนชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น ทันใดนั้นบรรยากาศก็เงียบสงบทันที

“ดูพวกเขาไว้ดีๆ ใครกล้าหนี ฆ่าทิ้งได้ทันที” หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก

หยังสวนเจิงทำงานอย่างซื่อสัตย์ให้กับแก๊งมังกร หลังจากที่ตายไป ลูกสาวกลับตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ถูกคนนอกเข้าครอบครองวิลล่าไม่พอ ลูกสาวยังถูกแม่เลี้ยงทรมานและทำร้ายอีก!

กลุ่มคนของแม่สวี ทำกับหยังสู้สู้แบบนี้ มันช่างโหดร้ายและทารุณเกินไปแล้ว

“หยังสู้สู้ ไม่ต้องกลัวนะ ฉันอยู่ที่นี่ จะไม่มีใครกล้ารังแกหนูอีก” หลินอิ่งมองไปยังหยังสู้สู้ ด้วยรอยยิ้ม “ฉันเป็นเพื่อนของพ่อหนู หนูสามารถบอกเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวกับพ่อของหนูให้ฉันได้มั้ย?”

“คุณ คุณเป็นเพื่อนของพ่อจริงๆใช่ไหม?” หยังสู้สู้ถามด้วยความสงสัย “คุณชื่ออะไรหรอ?”

ทั้งชีวิตนี้หยังสู้สู้ไม่มีวันลืม คุณพ่อเคยบอกกับเธออย่างจริงจัง จะต้องมอบหินสีดำที่อยู่ในมือนี้ ให้ไปอยู่ในมือของชายหนุ่มที่มีชื่ออิ่งอยู่ มีแต่ชายหนุ่มนี้เท่านั้นที่รู้ความลับของหินก้อนนี้ ยังพูดอีกว่า ในช่วงที่เหลือของชีวิต เขาคนนั้น จะมาที่หอบรรพบุรุษตระกูลหยังในไม่ช้า

“ฉันชื่อหลินอิ่ง คุณพ่อของหนูเคยเอ่ยชื่อของฉันกับหนูไหม?” หลินอิ่งพูดอย่างเคร่งขรึม

ทันใดนั้นหยังสู้สู้ก็ร้องไห้ออกมาและพูดว่า “คุณลุง คุณพ่อของหนูได้ฝากสิ่งนี้ให้กับคุณ”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท