ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 404 การเปลี่ยนแปลงในปีนั้น

บทที่ 404 การเปลี่ยนแปลงในปีนั้น

เย่เฮยคิดไปครู่หนึ่ง พูดอย่างจริงจัง “ท่านประมุข ปีนั้นก่อนหยังถังจู่จะจากไป ยังสั่งเสียงพวกเราเป็นพิเศษ อาจารย์กู้ต้าเจ้าสำนักเทียนเหมินทรยศ ภายในแก๊งมังกรเกิดความวุ่นวายอย่างหนัก ให้พวกเราซ่อนตัวอยู่ในเมืองก่าง รอท่านประมุขออกจากภูเขา”

“พวกเราพี่น้องทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไป เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลใช้ชีวิตในเมือง ไม่กล้าล้ำเส้นแม้แต่น้อย”

“จากนั้น ก็ได้รับข่าวการตายของหยังถังจู่ เดิมแล้วองครักษ์มังกรดำที่ซ่อนตัวในเมืองก่างถูกการชำระบัญชี แตกกระจายกันหมด เปลี่ยนถังจู่แห่งมังกรดำคนใหม่ แต่ว่าเป็นใครนั้นผมก็ไม่รู้”

“เคยมีคนลึกลับค้นหาตัวองครักษ์มังกรดำที่หลงเหลืออยู่ แต่หลายปีมานี้ ผมรักษาคำสั่งสอนมาตลอด ไม่กล้าใช้วิชาการต่อสู้แม้แต่นิดเดียว ไม่ก้าวก่ายเรื่องภายนอก แบบนี้ถึงมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ได้”

พูดจบ สีหน้าเย่เฮยก็หดหู่ลง แววตาซับซ้อน

องครักษ์มังกรดำในอดีต ที่เป็นราชาแห่งราตรีควบคุมเมืองก่าง ทุกวันนี้ หลงเหลือนักรบที่พ่ายแพ้เพียงไม่กี่คน ฝืนลมหายใจเฮือกสุดท้าย……

วันนี้ท่านประมุขลงจากเขาเข้าสู่โลกแล้ว ต่อหน้าท่านประมุข เขารู้สึกละอายใจ

“องครักษ์มังกรดำถูกแตกแยก……” หลินอิ่งพูดเองเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

“การเปลี่ยนแปลงในปีนั้น มีองครักษ์มังกรเปิดเผยตัวสู่โลกไหม?” หลินอิ่งถามสีหน้าจริงจัง

เย่เฮยแววตาเป็นสั่นไหว คิดไปครู่หนึ่ง พูดอย่างเคร่งเครียด “ท่านประมุข ผมก็ไม่กล้าแน่ใจเหมือนกัน ปีนั้นก่อนที่ผมได้รับคำสั่งให้ซ่อนตัว เคยมีคนที่คล้ายคนขององค์รักษ์ชีริวเผยตัวที่เมืองก่าง หลังจากที่ผมหลบซ่อนตัว ก็ปิดความสัมพันธ์เรื่องข่าวกรองทั้งหมด ก็ไม่รู้ข่าวอะไรอีกเลย”

ได้ยินแล้ว หลินอิ่งครุ่นคิด

เย่เฮยตอนที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของแก๊งมังกร ก็ขาดการติดต่อกับศูนย์กลางของแก๊งมังกรแล้ว เชือกที่ถูกตัดขาด ถือเป็นคนนอก

เรื่องภายในแก๊งมังกร ไม่รู้อะไรเลย

เป็นเพียงคำพูดเล็กน้อยที่ได้มาจากคนนอก ไม่สามารถรู้ถึงสถานการณ์จริงภายในแก๊งมังกร อำนาจของอาจารย์กู้ต้า ยากที่จะคาดเดาได้

หลินอิ่งใช้คิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ นิ่งไปครู่หนึ่ง ถามว่า “เย่เฮย คุณยังมีความคิดที่จะรบอีกไหม?”

เย่เฮยรีบพยักหน้า มองไปที่หลินอิ่ง สีหน้าเคร่งขรึม

เขาเข้าใจความหมายในคำพูดของหลินอิ่ง

กำลังถามเขาว่า ยังกล้าที่จะกลับสู่ยุทธภพอีกหรือไม่

“ท่านประมุข หากมีคำสั่ง พร้อมที่จะสู้ตาย” เย่เฮยแววตาตื่นเต้น พูดอย่างเคารพ

“หลายปีนี้มา ทรมานทุกคืนวัน ถ้าหากไม่สามารถแก้แค้นให้ถังจู่ได้ ลมหายใจเฮือกสุดท้ายนี้ รอเพียงมีสักวันหนึ่ง จะกลับไปจับดาบอีกครั้ง”

“หยังถังจู่ดีกับผมเหมือนพี่ชาย สั่งสอนวิชาการต่อสู้ สอนการเป็นคน แค้นนี้หากไม่ชำระ ก็เสียชาติเกิดของผมเย่เฮยแล้ว”

“ดีมาก” หลินอิ่งพยักหน้า

เย่เฮยจงรักภักดีต่อแก๊งมังกรทั้งชีวิต วันนี้แก๊งมังกรเกิดการเปลี่ยนแปลง หากเย่เฮยไม่มีใจที่จะกลับสู่โลก อยากใช้ชีวิตทั่วไปในเมือง ใช้ชีวิตอย่างสงบ เขาก็จะไม่ให้เย่เฮยออกมาทำงานอีก

“เย่เฮย ผมมีเรื่องสามเรื่องจะสั่งคุณ”

หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เรื่องที่หนึ่ง หาคนในรูปให้เจอที่เมืองก่าง”

“เรื่องที่สอง สืบหาว่าองครักษ์มังกรดำทุกวันนี้ในเมืองก่างคือใคร องครักษ์มังกรดำกระจายอยู่ไหนบ้าง”

“เรื่องที่สาม ล็อกตำแหน่งของจี้ฉงซานในเมืองก่าง”

พูดจบ หลินอิ่งหยิบรูปถ่ายออกมาจากกระเป๋าเสื้อ วางไว้บนโต๊ะ

ในรูปคือหยูจื๋อเฉิง

สิ่งสำคัญอันดับแรก คือต้องรู้ว่าหยูจื๋อเฉิงปลอดภัยไหม

เพราะว่า คำว่าธรรมต้องมาก่อน

ถ้าหากหยูจื๋อเฉิงถูกจี้ฉงซานฆ่าแล้ว แบบนี้ เขา จะให้เลือดอาบตระกูลจี้เมืองก่าง เลือดต้องชำระด้วยเลือด

รองลงมา ก็คือผู้คุมอำนาจขององครักษ์มังกรดำ ตัวตนที่แท้จริงคืออะไรกันแน่

ในสายตาหลินอิ่ง ผู้ควบคุมอำนาจขององครักษ์มังกรดำ ในเมืองก่างนี้อันตรายกว่าจี้ฉงซาน

ครั้นนั้นที่ตี้จิงเหวินเทียนเฟิ่งถอยตัวกะทันหัน เป็นเหตุการณ์น่าสงสัย

หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงในแก๊งมังกร องครักษ์มังกรดำแตกแยก เปลี่ยนถังจู่คนใหม่

จี้ฉงซาน เหวินเทียนเฟิ่ง องครักษ์มังกรดำ ระหว่างทั้งสามนี้ ต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นอน

เย่เฮยรับรูปถ่ายมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ยืนขึ้น ก้มหน้าเล็กน้อย พูดว่า “ท่านประมุข ผมจะพยายามสุดความสามารถ”

“เดี๋ยวผมจะเปิดใช้เครือข่ายข่าวกรองที่หยังถังจู่เก็บไว้ให้ในปีนั้น เครือข่ายนี้จนทุกวันนี้ก็ยังมีอำนาจในเมืองก่างพอสมควร ภายในเจ็ดวัน ผมจะรายงานข่าวให้ท่านประมุขทราบ”

หลินอิ่งพยักหน้า พูดว่า “ตั้งใจไปทำ ความแค้นของหยังสวนเจิง ในอนาคตผมจะช่วยเขาแก้แค้นเอง”

พูดจบ หลินอิ่งลุกขึ้น เดินจากไป

“เคารพท่านประมุข” เย่เฮยพูดด้วยความรู้สึกตื่นเต้น

เขารอมานานหลายปี ยอมใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา ก็เพื่อรอโอกาสนี้

หลังจากออกจากคอนโดแล้ว หลินอิ่งขึ้นรถ สั่งให้ฮาเดสออกเดินทาง มุ่งหน้าไปบริษัทเภสัชกรรมตระกูลฉู่ที่เขตเชียงเจียง

เขาจะไปหาฉู่สงซานเพื่อคุยธุระ

ทางด้านเย่เฮยเรื่องที่ต้องสั่งก็สั่งเรียบร้อยแล้ว เย่เฮยจงรักภักดีแน่นอน ต้องตั้งใจไปจัดการเรื่องพวกนี้แน่นอน

ส่วนเครือข่ายข่าวกรองเมืองก่างที่หยังสวนเจิงให้ไว้ เพียงพอที่จะสืบหาเรื่องราวได้มากพอสมควร

เพราะว่า เย่เฮยเป็นหัวหน้าองครักษ์มังกรดำ ความสามารถในวิชาการต่อสู้ไม่ใช่คนธรรมดาจะสู้ได้ ประสบการณ์ในการปฏิบัติการด้านมืดก็เชี่ยวชาญมาก

ขอแค่รออีกไม่กี่วัน รอสิ่งที่เย่เฮยสืบหาได้ เขาค่อยวางแผนการใหญ่ก็พอ

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป

ฮาเดสขับรถไปสู่ถนนเส้นหนึ่งที่เจริญรุ่งเรือง ละแวกนี้ล้วนเป็นอาคารพาณิชย์สูง เป็นบริษัทพลาซ่าแห่งหนึ่ง

อาคารฉู่ซื่อ อาคารสูงเจ็ดสิบกว่าชั้น

ที่นี่เป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทฉู่ซื่อ

หลินอิ่งรู้ดี นี่เป็นกิจการของตระกูลราชาแห่งยาแห่งเตียนหนาน โครงสร้างกิจการใหญ่โต ขอให้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับยา ล้วนมีส่วนร่วมทั้งนั้น

มาถึงหน้าอาคารฉู่ซื่อ หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย

เขาพบว่า ลานกว้างหน้าอาคาร มีเด็กวัยรุ่นท่าทางโหดเหี้ยมหลายคนเดินอยู่ละแวกนั้น เดินไปมาท่าทางนักเลง

ส่วนในห้องโถงแผนกต้อนรับในอาคารฉู่ซื่อ เงียบเหงา มีเพียงผู้จัดการแผนกต้อนรับเพียงคนเดียว

“อ้าก อย่าตีอีกเลย พวกเราสองผัวเมียแค่เดินผ่านเท่านั้น ไม่ได้จะไปบริษัทฉู่ซื่อ”

สองสามีภรรยาวัยชรา ถูกชายหนุ่มคนหนึ่งกดไว้ที่พื้น ตบหน้าและใช้เท้าถีบอย่างบ้าคลั่ง

“พวกแกสองแก่จะตายอยู่แล้ว เดินไม่มีตาหรือไง?”

“อย่าคิดถึงอายุปูนนี้แล้ว กูจะไม่กล้าต่อยพวกแก ไม่รู้จักไปสืบฟังข่าวดู พวกเราสมาคมรวมใหญ่ในเมืองก่าง มีใครบ้างที่ไม่ตี? อย่าว่าพวกแกอายุเจ็ดแปดสิบเลย ถึงแกจะเป็นแค่เด็กอายุเจ็ดแปดขวบก็ทำเหมือนกัน รู้ไหมว่าอะไรคือสมาคมรวมใหญ่?”

วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งตีไปด่าไป สีหน้าได้ใจ ตีจนคนแก่ทั้งสองคนร้องโหยหวน น้ำตาไหลพราก

หลินอิ่งเห็นภาพนี้แล้ว ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา

เวลานี้เอง กลุ่มวัยรุ่นที่ทำร้ายคนแก่หลายคน พุ่งเข้ามาพร้อมกัน

“มาจากไหน? จะไปอาคารฉู่ซื่อ?”

คนนำกลุ่มนี้ชี้ไปที่หลินอิ่ง พูดอย่างอวดดี

หลินอิ่งไม่ได้สนใจ สายตามองไปรอบด้าน

สถานการณ์ไม่ค่อยปกติ หน้าอาคารฉู่ซื่อมีคนนับร้อยเดินไปเดินมา

ขอแค่มีคนให้ความสนใจหรือมองอาคาร พวกเขาก็จะเดินเข้าไปด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร

“ไอ้บ้าเอ้ยแกหูหนวกหรือไง? ไอ้สัตว์ ไม่ได้ยินที่กูพูดหรือไง?” เด็กหนุ่มถือบุหรี่ชี้หน้าหลินอิ่ง ท่าทางรำคาญ

“แกนี่มันไอ้สัตว์หรือไง? หา? มาแกล้งทำตัวที่นี่? บอกให้ไสหัวไปไม่ได้ยินหรือไง?”

เด็กหนุ่มรอยสักเต็มแขนชี้หน้าด่าหลินอิ่ง หยิบกระบองเหล็กออกมาจากเสื้อทันที จะฟาดไปที่หัวของหลินอิ่ง

หลินอิ่งมองไปด้วยสีหน้านิ่งเฉย แววตาเย็นชา

“จัดการหูของพวกเขา”

เขาเคยได้ยินชื่ออันเน่าเหม็นของสมาคมรวมใหญ่เมืองก่างแล้ว สำหรับพวกนักเลงหน้าโง่แบบนี้ เขาไม่ปล่อยไว้แน่นอน

ปัง

ฮาเดสลงมือทันที มือข้างเดียวหักเหล็กเป็นสองท่อน ตบหน้าเด็กวัยรุ่นทั้งสองคน จนพวกเขากระอักเลือด กระเด็นตีลังกาหัวทิ่มพื้น

“ไอ้เด็กเวรไม่มีตา ด่าประธานหลินว่าหูหนวก?” ฮาเดสฉีกปากยิ้มอย่างโหดเหี้ยม

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท