ที่ไม่ไกล หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย พาคริสกับฮาเดสเดินเข้ามา
“เหอะ พูดถึงพระ พระก็มา” หวางเฟิงเที๋ยนพูดด้วยเสียงหัวเราะ “คริส ได้ยินว่าคุณจะหาความสัมพันธ์ในด้านกฎหมายการเมืองที่เมืองก่าง เพื่อจะมาจัดการผม? ยังจะหาผมเพื่อเรียกร้องค่าละเมิดสัญญา?”
“ตลกแล้ว คุณรู้ไหมว่าผมมีอำนาจในด้านกฎหมายการเมืองในเมืองก่างใหญ่โตขนาดไหน? ฝ่ายกฎหมายเป็นเพื่อนผมทั้งนั้น คุณยังอยากฟ้องผมละเมิดสัญญา? ระวังผมฟ้องคุณฉ้อโกงสัญญา” หวางเฟิงเที๋ยนมองหลินอิ่งกับคริสด้วยสีหน้าดูถูก อยากเป็นใหญ่ ท่าทางไม่เกรงกลัวใคร
หลินอิ่งสีหน้าเฉยชา มองไปที่หวางเฟิงเที๋ยน
ดูแล้ว คนนี้น่าจะเป็นประธานหวางของบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจิน ครั้งที่แล้วฉีกสัญญา หันหลังก็เข้าหาโม่เก๋อติง ตอนนี้ยังมาช่วยโม่เก๋อติงตะโกนอีก?
“หวางเฟิงเที๋ยน นายฉีกสัญญาทิ้ง ไม่ชดใช้ค่าละเมิดสัญญา ตอนนี้ยังมาอวดดีว่าตัวเองความสัมพันธ์ในด้านกฎหมายกับการเมืองกว้างขวาง? กลับมาฟ้องร้องฉัน?” คริสทำเสียงเย็นชา มองหวางเฟิงเที๋ยนอย่างเย็นชา
“สุนัขรับใช้โม่เก๋อติง ที่นี่ยังไม่ใช่สิทธิ์ที่นายจะพูด”
ก็หวางเฟิงเที๋ยนล้มสองด้าน เซ็นสัญญาเสร็จก็เปลี่ยนข้าง ทำให้เขาเสียหน้าต่อหน้าประธานหลิน ทำให้มีภาพลักษณ์การทำงานได้ไม่ดี
ดังนั้นพอเห็นหวางเฟิงเที๋ยน คริสก็รู้สึกโมโห
“โอ้โห? น่ายกย่องจริงๆ?” หวางเฟงติงพูดด้วยสีหน้าดูถูก “ฉันกับคนของประธานโม่เก๋อติง แกจะทำอะไรฉันได้?”
“เหอะเหอะ” โม่เก๋อติงหัวเราะได้ใจ สำรวจหลินอิ่งกับคริสด้วยท่าทางหยอกล้อ “คริส ยังไงคุณก็เป็นนายของฉันในนาม? ทะเลาะกับลูกน้องฉัน นายไม่รู้สึกขายหน้าเหรอ?”
คริสสีหน้าเคร่งเครียด พูดอย่างมั่นใจ “โม่เก๋อติง วันนี้นายให้ฉันมาร่วมงานเลี้ยง มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ฉันขอบอกนาย บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจินกล้าหลอกฉัน ฉันทำบริษัทพวกเขาล้มแน่”
มีประธานหลินคอยหนุนหลัง เขาตัดสินใจจะแข็งแกร่ง แบบนี้ถึงจะได้รับความชื่นชอบของประธานหลิน
โม่เก๋อติงขมวดคิ้ว คิดไม่ถึงว่าคริสจะกล้าแข็งขนาดนี้ อีกอย่างแค่มาเมืองก่างก็จะรับซื้อสองบริษัทใหญ่
นี่ไม่เหมือนคริสที่รู้จัดเมื่อก่อน นี่เป็นจิ้งจอกพันปีที่ปกติทำอะไรก็ทำเงียบๆ
“คริส ไม่รู้ว่านายไปหาไอ้หน้าโง่ที่ร่ำรวยมาจากไหน นายคงไม่ได้รู้สึกว่ามีนายทุนใหญ่คอยสนับสนุนนายอยู่ข้างหลัง นายก็อวดดีได้แล้วเหรอ?” โม่เก๋อติงหัวเราะ ค่อยๆหยิบซิการ์ออกมาจุด
การต่อสู้เรื่องการเงิน สามารถมีบทบาทที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างแน่นอน
แต่ว่า บทบาทของเงินทองก็เป็นเหตุผลในการตัดสินใจไม่ได้
อำนาจและความสัมพันธ์ ถึงจะสำคัญ
บริหารงานที่เมืองก่างมานานหลายปี โม่เก๋อติงมีความมั่นใจมาก ในเมืองก่างนี้เหนือกว่าคริสแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นการแย่งชิงทางธุรกิจ หรือว่าการแข่งขันในทุกด้าน เขาไม่มีวันอยู่ใต้คนอื่น
“เหอะ งั้นก็รอดูละกัน” คริสพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา “โม่เก๋อติง ตอนแรกแผนการรับซื้อบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจินของฉัน นายแอบลงไม้ลงมือในที่ลับ นี่มันฝ่าฝืนระเบียบ นายรู้ไหม?”
“ฝ่าฝืนระเบียบ? เหอะเหอะ” โม่เก๋อติงหัวเราะอย่างดูถูก สูบซิการ์ไปคำหนึ่ง
“คริส นายไม่มีปัญญาทำให้เขายอมรับ แค่นี้ก็โมโหผิดหวังแล้ว? เอาแบบนี้ เถ้าแก่บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจินหวางเฟิงเที๋ยนอยู่นี่ นายไปถามเจ้าตัวเอง ว่าเขายินดีร่วมงานกับนายไหม”
“คนอื่นเขาดูถูกนาย เกี่ยวอะไรกับฉัน? มีความสามารถ นายให้นายทุนที่อยู่เบื้องหลังนาย เอาเงินออกมาให้พอซิ” โม่เก๋อติงพูดด้วยสายตาหลอกล้อ
“คริส นายอยากซื้อหุ้นส่วนบริษัทฉันห้าสิบเปอร์เซ็นต์ไม่ใช่เหรอ? ได้ ให้นายทุนที่อยู่เบื้องหลังนาย เพิ่มเงินเข้าไปซิ” หวางเฟิงเที๋ยนสีหน้าล้อเล่น ออกหน้าพูดแทนโม่เก๋อติง “อย่าบอกว่าฉันไม่ให้โอกาสพวกนาย หนึ่งแสนล้าน เอาออกมา ฉันโอนบริษัทให้นายเดี๋ยวนี้”
“หนึ่งแสนล้าน? บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์เน่าๆของนายเหรอ คู่ควรกับราคานี้เหรอ?” คริสพูดด้วยเสียงเย็นชา
ยังจะเอาหนึ่งแสนล้าน? ใช้เงินจำนวนนี้ไปซื้อถึงจะสมองมีปัญหา
“อะไร? ไม่มีปัญญา? ไม่มีเงินมากขนาดนี้ ยังมาเอะอะโวยวายอะไร?” หวางเฟิงเที๋ยนก็จุดซิการ์ พูดอย่างเสียดสี
หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา พูดอย่างใจเย็น “หวางเฟิงเที๋ยน อย่าลืมนะ ครั้งที่แล้วในสัญญาคุณเป็นคนเซ็นชื่อประทับตราเอง ไม่มีปัญญาชดใช้ค่าเสียหาย ต้องแบกรับคดีความใหญ่โตแบบนี้ คุณจะได้ใจเร็วเกินไปไหม?”
“แกขู่ฉันเหรอ? กับพวกแกเหรอ ทำไมฉันต้องชดใช้ค่าละเมิดสัญญา? รู้ไหมว่าฉันกับประธานโม่ในวงการกฎหมาย มีความสัมพันธ์รู้จักคนมากแค่ไหน?” หวางเฟิงเที๋ยนพูดด้วยสีหน้าได้ใจ “ฉันได้ใจแล้วยังไง? มีประธานโม่คุ้มหัวฉันอยู่ พวกแกจะทำอะไรฉันได้?”
โม่เก๋อติงก็หัวเราะอย่างได้ใจ สังเกตดูหลินอิ่งอย่างละเอียด
“ก่อนหน้านี้ฉันได้ยินว่า ข้างกายคริสมีคนประเทศหลุงลึกลับอยู่คนหนึ่ง ไอ้หนุ่ง แกใช่ไหม?”
โม่เก๋อติงต้องหน้าหลินอิ่งสายตาอาฆาต “แกใช่ไหมที่ทำให้ลูกน้องฉันข่าเอ๋อร์ขาหัก ยังทำจนบอดี้การ์ดฉันเฟยบี่พิการ?”
หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ “ใช่ ผมเอง”
ปัง
โม่เก๋อติงตบโต๊ะ จ้องหน้าหลินอิ่งเย็นชา พูดด้วยท่าทางโอหัง “แกมันช่างกล้ามากนะ ทำร้ายคนของฉัน ยังกล้าเดินมาถึงหน้าฉัน? แกคิดว่าคริสคุ้มกะลาหัวแกได้เหรอ? ไอ้ลิงผิวเหลือง”
สายตาของหลินอิ่งค่อยๆเย็นชา จ้องตาโม่เก๋อติงกลับไป
วินาทีที่สบตากัน โม่เก๋อติงถึงกับตาหด เหมือนกับถูกปีศาจซาตานจ้องหน้า ถึงกับตัวสั่น ในใจก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างควบคุมไม่ได้
“ประธานโม่ ก็คือคนนี้ เขาชนรถฉันจนพัง ยังอวดดีต่อหน้าฉัน ยังรังแกฉัน…..” หนีซิงเอียงตัวไปพิงที่ไหล่ของโม่เก๋อติง พูดจาออดอ้อน
หลินอิ่งกวาดตามองไป ถึงเห็นว่า ดาราสาวสวยเมืองก่างอะไรนั่นเอง กำลังออดอ้อนอยู่ข้างโม่เก๋อติง
“อู๊ว ประธานโม่ ท่านอยู่นี่ มันยังกล้าจ้องหน้าฉันอีก” หนีซิงพูดอ้อน “ท่านต้องช่วยฉันเพื่อระบายความโกรธนี้นะคะ”
โม่เก๋อติงสูบซิการ์ด้วยท่าทางยโส พูดว่า “ไอ้หนุ่ม ดูท่าทางนายอวดดีมากนี่? เอาอย่างนี้ คริสใช้เงินเท่าไหร่จ้างนายมาเป็นบอดี้การ์ด? ฉันให้เงินสิบเท่า”
“อยู่กับฉัน ต้องมีอนาคตมากกว่าอยู่กับคริสแน่นอน คนประเทศหลุงของพวกแกรักเงินไม่ใช่เหรอ? พูดเลย ต้องการเท่าไหร่ บอกราคามาเลย” โม่เก๋อติงพูดอย่างได้ใจ
เท่าที่เขาดูแล้ว เหมือนอย่างหลินอิ่ง
“เหอะเหอะ ไม่ใช่ฉันดูถูกแก ไอ้บ้านนอกอย่างแก สักวันก็ต้องขายชีวิตให้ประธานโม่เพื่อเงิน” หนีซิงมองหลินอิ่งสายตาโหด ตั้งใจพูดจาเสียดสี “ประธานโม่ให้แกเป็นบอดี้การ์ด นั่นคือบุญของแก รับบอกราคามา ระวังเดี๋ยวถูกประธานโม่มองจนทะลุ ตายไร้ที่ผัง”
หลินอิ่งยิ้ม “ไม่จำเป็นที่จะให้คุณดูถูก”
ดาราสาวที่ถูกห่อหุ้มด้วยเงินทุน เป็นทาสคอยประจบคนต่างชาติ ยังดูถูกนี่ ดูถูกนั่น? ตลกสิ้นดี
พูดไป หลินอิ่งก็หันไปสองโม่เก๋อติง พูดว่า “เชิญผมไปเป็นบอดี้การ์ด? คุณหาเงินอีกกี่ชาติ ก็ไม่มีเงินจ้าง”
“Fuck ไอ้ลิงประเทศหลุง คิดว่าตัวเองต่อสู้เก่งนักใช่ไหม?” โม่เก๋อติงเหวี่ยงซิการ์ทิ้ง สีหน้ายิ่งเย็นชาโหดเหี้ยมต้องไปที่หลินอิ่ง
“คริส ดูแล้วนายมีความมั่นใจกับคนประเทศหลุงคนนี้จริงๆนะ? มีเขาติดตาม นายคิดว่าหนุนหมอนนอนได้อย่างสบายใจเหรอ? กล้าต่อสู้บนเวทีกับลูกน้องฉันไหม?” โม่เก๋อติงมองคริสพูด
“พอดี วันนี้ชั้นใต้ดินอาคารสุ่ยจินมีเวทีมวยเปิด” โม่เก๋อติงมองไปหลินอิ่ง พูดอย่างเย็นชา “ฉันจะทำให้ไอ้ลิงประเทศหลุงอย่างแกพิการไปเลย แกกล้ารับคำท้าไปสู้บนเวทีมวยไหม?”
“ใครแพ้ ก็ยอมรับว่าตัวเองเป็นหมา ไสหัวออกจากเมืองก่าง แกกล้าไหม?”