ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 386 ไม่ใช่ผมดูถูกคุณ

บทที่ 386 ไม่ใช่ผมดูถูกคุณ

ที่ไม่ไกล หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย พาคริสกับฮาเดสเดินเข้ามา

“เหอะ พูดถึงพระ พระก็มา” หวางเฟิงเที๋ยนพูดด้วยเสียงหัวเราะ “คริส ได้ยินว่าคุณจะหาความสัมพันธ์ในด้านกฎหมายการเมืองที่เมืองก่าง เพื่อจะมาจัดการผม? ยังจะหาผมเพื่อเรียกร้องค่าละเมิดสัญญา?”

“ตลกแล้ว คุณรู้ไหมว่าผมมีอำนาจในด้านกฎหมายการเมืองในเมืองก่างใหญ่โตขนาดไหน? ฝ่ายกฎหมายเป็นเพื่อนผมทั้งนั้น คุณยังอยากฟ้องผมละเมิดสัญญา? ระวังผมฟ้องคุณฉ้อโกงสัญญา” หวางเฟิงเที๋ยนมองหลินอิ่งกับคริสด้วยสีหน้าดูถูก อยากเป็นใหญ่ ท่าทางไม่เกรงกลัวใคร

หลินอิ่งสีหน้าเฉยชา มองไปที่หวางเฟิงเที๋ยน

ดูแล้ว คนนี้น่าจะเป็นประธานหวางของบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจิน ครั้งที่แล้วฉีกสัญญา หันหลังก็เข้าหาโม่เก๋อติง ตอนนี้ยังมาช่วยโม่เก๋อติงตะโกนอีก?

“หวางเฟิงเที๋ยน นายฉีกสัญญาทิ้ง ไม่ชดใช้ค่าละเมิดสัญญา ตอนนี้ยังมาอวดดีว่าตัวเองความสัมพันธ์ในด้านกฎหมายกับการเมืองกว้างขวาง? กลับมาฟ้องร้องฉัน?” คริสทำเสียงเย็นชา มองหวางเฟิงเที๋ยนอย่างเย็นชา

“สุนัขรับใช้โม่เก๋อติง ที่นี่ยังไม่ใช่สิทธิ์ที่นายจะพูด”

ก็หวางเฟิงเที๋ยนล้มสองด้าน เซ็นสัญญาเสร็จก็เปลี่ยนข้าง ทำให้เขาเสียหน้าต่อหน้าประธานหลิน ทำให้มีภาพลักษณ์การทำงานได้ไม่ดี

ดังนั้นพอเห็นหวางเฟิงเที๋ยน คริสก็รู้สึกโมโห

“โอ้โห? น่ายกย่องจริงๆ?” หวางเฟงติงพูดด้วยสีหน้าดูถูก “ฉันกับคนของประธานโม่เก๋อติง แกจะทำอะไรฉันได้?”

“เหอะเหอะ” โม่เก๋อติงหัวเราะได้ใจ สำรวจหลินอิ่งกับคริสด้วยท่าทางหยอกล้อ “คริส ยังไงคุณก็เป็นนายของฉันในนาม? ทะเลาะกับลูกน้องฉัน นายไม่รู้สึกขายหน้าเหรอ?”

คริสสีหน้าเคร่งเครียด พูดอย่างมั่นใจ “โม่เก๋อติง วันนี้นายให้ฉันมาร่วมงานเลี้ยง มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ฉันขอบอกนาย บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจินกล้าหลอกฉัน ฉันทำบริษัทพวกเขาล้มแน่”

มีประธานหลินคอยหนุนหลัง เขาตัดสินใจจะแข็งแกร่ง แบบนี้ถึงจะได้รับความชื่นชอบของประธานหลิน

โม่เก๋อติงขมวดคิ้ว คิดไม่ถึงว่าคริสจะกล้าแข็งขนาดนี้ อีกอย่างแค่มาเมืองก่างก็จะรับซื้อสองบริษัทใหญ่

นี่ไม่เหมือนคริสที่รู้จัดเมื่อก่อน นี่เป็นจิ้งจอกพันปีที่ปกติทำอะไรก็ทำเงียบๆ

“คริส ไม่รู้ว่านายไปหาไอ้หน้าโง่ที่ร่ำรวยมาจากไหน นายคงไม่ได้รู้สึกว่ามีนายทุนใหญ่คอยสนับสนุนนายอยู่ข้างหลัง นายก็อวดดีได้แล้วเหรอ?” โม่เก๋อติงหัวเราะ ค่อยๆหยิบซิการ์ออกมาจุด

การต่อสู้เรื่องการเงิน สามารถมีบทบาทที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างแน่นอน

แต่ว่า บทบาทของเงินทองก็เป็นเหตุผลในการตัดสินใจไม่ได้

อำนาจและความสัมพันธ์ ถึงจะสำคัญ

บริหารงานที่เมืองก่างมานานหลายปี โม่เก๋อติงมีความมั่นใจมาก ในเมืองก่างนี้เหนือกว่าคริสแน่นอน

ไม่ว่าจะเป็นการแย่งชิงทางธุรกิจ หรือว่าการแข่งขันในทุกด้าน เขาไม่มีวันอยู่ใต้คนอื่น

“เหอะ งั้นก็รอดูละกัน” คริสพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา “โม่เก๋อติง ตอนแรกแผนการรับซื้อบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจินของฉัน นายแอบลงไม้ลงมือในที่ลับ นี่มันฝ่าฝืนระเบียบ นายรู้ไหม?”

“ฝ่าฝืนระเบียบ? เหอะเหอะ” โม่เก๋อติงหัวเราะอย่างดูถูก สูบซิการ์ไปคำหนึ่ง

“คริส นายไม่มีปัญญาทำให้เขายอมรับ แค่นี้ก็โมโหผิดหวังแล้ว? เอาแบบนี้ เถ้าแก่บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจินหวางเฟิงเที๋ยนอยู่นี่ นายไปถามเจ้าตัวเอง ว่าเขายินดีร่วมงานกับนายไหม”

“คนอื่นเขาดูถูกนาย เกี่ยวอะไรกับฉัน? มีความสามารถ นายให้นายทุนที่อยู่เบื้องหลังนาย เอาเงินออกมาให้พอซิ” โม่เก๋อติงพูดด้วยสายตาหลอกล้อ

“คริส นายอยากซื้อหุ้นส่วนบริษัทฉันห้าสิบเปอร์เซ็นต์ไม่ใช่เหรอ? ได้ ให้นายทุนที่อยู่เบื้องหลังนาย เพิ่มเงินเข้าไปซิ” หวางเฟิงเที๋ยนสีหน้าล้อเล่น ออกหน้าพูดแทนโม่เก๋อติง “อย่าบอกว่าฉันไม่ให้โอกาสพวกนาย หนึ่งแสนล้าน เอาออกมา ฉันโอนบริษัทให้นายเดี๋ยวนี้”

“หนึ่งแสนล้าน? บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์เน่าๆของนายเหรอ คู่ควรกับราคานี้เหรอ?” คริสพูดด้วยเสียงเย็นชา

ยังจะเอาหนึ่งแสนล้าน? ใช้เงินจำนวนนี้ไปซื้อถึงจะสมองมีปัญหา

“อะไร? ไม่มีปัญญา? ไม่มีเงินมากขนาดนี้ ยังมาเอะอะโวยวายอะไร?” หวางเฟิงเที๋ยนก็จุดซิการ์ พูดอย่างเสียดสี

หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา พูดอย่างใจเย็น “หวางเฟิงเที๋ยน อย่าลืมนะ ครั้งที่แล้วในสัญญาคุณเป็นคนเซ็นชื่อประทับตราเอง ไม่มีปัญญาชดใช้ค่าเสียหาย ต้องแบกรับคดีความใหญ่โตแบบนี้ คุณจะได้ใจเร็วเกินไปไหม?”

“แกขู่ฉันเหรอ? กับพวกแกเหรอ ทำไมฉันต้องชดใช้ค่าละเมิดสัญญา? รู้ไหมว่าฉันกับประธานโม่ในวงการกฎหมาย มีความสัมพันธ์รู้จักคนมากแค่ไหน?” หวางเฟิงเที๋ยนพูดด้วยสีหน้าได้ใจ “ฉันได้ใจแล้วยังไง? มีประธานโม่คุ้มหัวฉันอยู่ พวกแกจะทำอะไรฉันได้?”

โม่เก๋อติงก็หัวเราะอย่างได้ใจ สังเกตดูหลินอิ่งอย่างละเอียด

“ก่อนหน้านี้ฉันได้ยินว่า ข้างกายคริสมีคนประเทศหลุงลึกลับอยู่คนหนึ่ง ไอ้หนุ่ง แกใช่ไหม?”

โม่เก๋อติงต้องหน้าหลินอิ่งสายตาอาฆาต “แกใช่ไหมที่ทำให้ลูกน้องฉันข่าเอ๋อร์ขาหัก ยังทำจนบอดี้การ์ดฉันเฟยบี่พิการ?”

หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ “ใช่ ผมเอง”

ปัง

โม่เก๋อติงตบโต๊ะ จ้องหน้าหลินอิ่งเย็นชา พูดด้วยท่าทางโอหัง “แกมันช่างกล้ามากนะ ทำร้ายคนของฉัน ยังกล้าเดินมาถึงหน้าฉัน? แกคิดว่าคริสคุ้มกะลาหัวแกได้เหรอ? ไอ้ลิงผิวเหลือง”

สายตาของหลินอิ่งค่อยๆเย็นชา จ้องตาโม่เก๋อติงกลับไป

วินาทีที่สบตากัน โม่เก๋อติงถึงกับตาหด เหมือนกับถูกปีศาจซาตานจ้องหน้า ถึงกับตัวสั่น ในใจก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างควบคุมไม่ได้

“ประธานโม่ ก็คือคนนี้ เขาชนรถฉันจนพัง ยังอวดดีต่อหน้าฉัน ยังรังแกฉัน…..” หนีซิงเอียงตัวไปพิงที่ไหล่ของโม่เก๋อติง พูดจาออดอ้อน

หลินอิ่งกวาดตามองไป ถึงเห็นว่า ดาราสาวสวยเมืองก่างอะไรนั่นเอง กำลังออดอ้อนอยู่ข้างโม่เก๋อติง

“อู๊ว ประธานโม่ ท่านอยู่นี่ มันยังกล้าจ้องหน้าฉันอีก” หนีซิงพูดอ้อน “ท่านต้องช่วยฉันเพื่อระบายความโกรธนี้นะคะ”

โม่เก๋อติงสูบซิการ์ด้วยท่าทางยโส พูดว่า “ไอ้หนุ่ม ดูท่าทางนายอวดดีมากนี่? เอาอย่างนี้ คริสใช้เงินเท่าไหร่จ้างนายมาเป็นบอดี้การ์ด? ฉันให้เงินสิบเท่า”

“อยู่กับฉัน ต้องมีอนาคตมากกว่าอยู่กับคริสแน่นอน คนประเทศหลุงของพวกแกรักเงินไม่ใช่เหรอ? พูดเลย ต้องการเท่าไหร่ บอกราคามาเลย” โม่เก๋อติงพูดอย่างได้ใจ

เท่าที่เขาดูแล้ว เหมือนอย่างหลินอิ่ง

“เหอะเหอะ ไม่ใช่ฉันดูถูกแก ไอ้บ้านนอกอย่างแก สักวันก็ต้องขายชีวิตให้ประธานโม่เพื่อเงิน” หนีซิงมองหลินอิ่งสายตาโหด ตั้งใจพูดจาเสียดสี “ประธานโม่ให้แกเป็นบอดี้การ์ด นั่นคือบุญของแก รับบอกราคามา ระวังเดี๋ยวถูกประธานโม่มองจนทะลุ ตายไร้ที่ผัง”

หลินอิ่งยิ้ม “ไม่จำเป็นที่จะให้คุณดูถูก”

ดาราสาวที่ถูกห่อหุ้มด้วยเงินทุน เป็นทาสคอยประจบคนต่างชาติ ยังดูถูกนี่ ดูถูกนั่น? ตลกสิ้นดี

พูดไป หลินอิ่งก็หันไปสองโม่เก๋อติง พูดว่า “เชิญผมไปเป็นบอดี้การ์ด? คุณหาเงินอีกกี่ชาติ ก็ไม่มีเงินจ้าง”

“Fuck ไอ้ลิงประเทศหลุง คิดว่าตัวเองต่อสู้เก่งนักใช่ไหม?” โม่เก๋อติงเหวี่ยงซิการ์ทิ้ง สีหน้ายิ่งเย็นชาโหดเหี้ยมต้องไปที่หลินอิ่ง

“คริส ดูแล้วนายมีความมั่นใจกับคนประเทศหลุงคนนี้จริงๆนะ? มีเขาติดตาม นายคิดว่าหนุนหมอนนอนได้อย่างสบายใจเหรอ? กล้าต่อสู้บนเวทีกับลูกน้องฉันไหม?” โม่เก๋อติงมองคริสพูด

“พอดี วันนี้ชั้นใต้ดินอาคารสุ่ยจินมีเวทีมวยเปิด” โม่เก๋อติงมองไปหลินอิ่ง พูดอย่างเย็นชา “ฉันจะทำให้ไอ้ลิงประเทศหลุงอย่างแกพิการไปเลย แกกล้ารับคำท้าไปสู้บนเวทีมวยไหม?”

“ใครแพ้ ก็ยอมรับว่าตัวเองเป็นหมา ไสหัวออกจากเมืองก่าง แกกล้าไหม?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท