ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 425 คุณไม่มีสิทธิ์ให้ผมลงมื

บทที่ 425 คุณไม่มีสิทธิ์ให้ผมลงมื

“อือ? คุณท่านตระกูลเผย?”

เผยหวูหมิงสีหน้าตกใจ มองหลินอิ่งด้วยแววตาสงสัย

“คุณรู้จักกับคุณท่านตระกูลเผยของเรา?”

เผยหวูหมิงเกิดที่จี้โจวคนของตระกูลเผย คุณท่านตระกูลเผยไม่ยุ่งเกี่ยวทางโลกมานานหลายปีแล้ว มีคนรู้จักน้อยมาก

แม้กระทั่งตระกูลเผย ก็เป็นคนค่อนข้างถ่อมตัว ไม่ค่อยออกมาให้เจอกับผู้คน

“เผยเส่ยีไม่เคยสอนคุณเหรอ ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า?” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ สายตาเย็นชามองไปที่เผยหวูหมิง

ทันใดนั้น เผยหวูหมิงเหมือนโดนฟ้าผ่า อึ้งอยู่กับที่ สายตาที่มองหลินอิ่งก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

คำว่าเผยเส่ยีออกมา แม้แต่ตระกูลเผยในจี้โจวก็มีคนรู้เพียงไม่กี่คน ชื่อที่เป็นข้อห้าม

นี่เป็นชื่อของนายท่านสมัยที่มีชื่อเสียงในวงการลึกลับ เรื่องเกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างตระกูลในอดีต

แวดวงลึกลับ คนนี้รู้ข่าวลับนี้ก็มีเพียงไม่กี่คน

หลินอิ่งรู้ได้ยังไง?

“คุณอย่ามาพูดจาอวดดีเกินจริงเลย” เผยหวูหมิงพูดเสียงเรียบเฉย สีหน้าโมโห “คุณแค่พูดชื่อหนึ่งออกมา ก็จะทำให้ผมกลัวจนถอยเหรอ?”

“จะสู้ก็สู้ ถ้าไม่กล้า ก็ยอมแพ้เลย”

หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา แล้วส่ายหัว

“คุณไม่มีสิทธิ์ให้ผมลงมือ”

ได้ยินแล้ว เผยหวูหมิงโมโหทันที แววตาประกายไฟ

“รนหาที่ตาย”

เผยหวูหมิงโมโหตะโกนออกมา กระทืบเท้า คนทั้งคนก็หมุนขึ้นเหมือนพายุ

วินาทีนั้นเอง เผยหวูหมิงร่างกายมีแรงบางอย่างระเบิดออกมากลางอากาศ พุ่งเข้าหาหลินอิ่ง

หลินอิ่งไขว้มือยืนนิ่งกับที่ไม่ขยับ

ปัง

เผยหวูหมิงยื่นฝ่ามือไปที่กลางอกหลินอิ่ง จากนั้น เขาก็สีหน้าตะลึง ร่างทั้งร่างก็เหมือนโดนฟ้าผ่า กระเด็นไปไกลสิบกว่าเมตรในทันที ล้มลงกับพื้นกระอักเลือด

ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยกำลังภายใน วินาทีที่เตะต้องตัวหลินอิ่ง แต่กลับถูกแรงสะเทือนอย่างรุนแรง สะเทือนจนร่างของเผยหวูหมิงเจ็บปวด ร่างกายกระตุก อวัยวะภายในแตกกระจาย

“เค้กเค้ก”

เผยหวูหมิงไอเป็นเลือด มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าตกใจ

วินาทีนี้เขาถึงรู้

เขาไม่มีสิทธิ์ให้หลินอิ่งออกมือจริงๆ

หลินอิ่งเพียงแค่ยืนไขว้มืออยู่กับที่ ให้เขาเผยหวูหมิงยื่นฝ่ามือไป คนที่เจ็บกลับเป็นเขาเอง

“นี่มัน……”

ภาพนี้ ทำให้จ้าวเฉิงเฉียนและหัวหน้าหม่าที่อยู่ข้างกายเขาต้องตะลึง สายตาที่มองหลินอิ่ง เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

พวกเขาสองคนรู้ความสามารถของเผยหวูหมิงดี ตระกูลวิชาการต่อสู้แห่งจี้โจว คนอัจฉริยะรุ่นหลังแห่งตระกูลเผย ลำดับชื่อในยอดฝีมืออยู่เหนือหรงหยัง

ฝ่ามือเมื่อกี้ของเผยหวูหมิง ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เต็มไปด้วยกำลังภายใน ถ้าลงไปในตัวคนอื่น ต้องกลายเป็นเนื้อบดแน่นอน

ส่วนหลินอิ่ง กลับยืนอยู่กับที่ ให้เผยหวูหมิงตบฝ่ามือลงไป ไม่เพียงแค่ไม่เป็นอะไรเลย กลับสะเทือนจนเผยหวูหมิงกระอักเลือด?

นี่มันความสามารถลึกซึ้งจนไม่อาจคาดการณ์ขนาดไหน?

กำลังภายในของคนคนนี้ มันยอดเยี่ยมถึงระดับไหนกันเนี่ย?

“คำพูด ผมพูดแล้ว”

“คนขวางผม ตาย”

หลินอิ่งทิ้งคำพูดอันเย็นชาไว้ ก็ไขว้มือเดินจากไป

หรงหยังเดินติดตามอยู่ข้างหลัง

จ้าวเฉิงเฉียนหรี่ตา จ้องร่างหลินอิ่งที่เดินจากไป

จับแหวนหยกบนนิ้วของตัวเองไว้แน่น จนเกือบจะห้ามตัวเองไม่อยู่ที่จะลงมือ สุดท้าย กะพริบตาแล้วก็อั้นไปไว้

“เหล่าหม่า เมื่อครู่ คุณดูฝีมือการต่อสู้ของหลินอิ่งออกไหม” จ้าวเฉิงเฉียนถามเสียงเรียบ

“อันนี้…….หลินอิ่งไม่ได้ลงมือ มันพูดยาก……” หัวหน้าหม่าขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เผยหวูหมิง นายว่ายังไง?” จ้าวเฉิงเฉียนถามต่อ

เผยหวูหมิงสีหน้าละอายใจ เช็ดเลือดที่มุมปาก พูดว่า “นายน้อย ขอโทษด้วย ผมไม่สามารถดูพื้นฐานของหลินอิ่งออกเลย”

“กำลังภายในของหลินอิ่งลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ได้ ตอนที่ฝ่ามือผมโดนตัวเขา เรี่ยวแรงมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย”

“ผมสงสัย ว่าวิชากำลังภายในที่หลินอิ่งฝึกนั้นประเภทหนึ่งของเสวียนเหมิน”

เผยหวูหมิงคาดเดาด้วยสายตาลังเล

“วิชากำลังภายในของเสวียนเหมิน” จ้าวเฉิงเฉียนหรี่ตาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

ความสามารถในวิชาการต่อสู้ของหลินอิ่ง ทำให้รู้สึกตะลึงจริงๆ

แม้แต่เจ้าสำนักแก๊งหยางเหมินอย่างเขา ก็จำเป็นต้องระวัง

“นายน้อยจ้าว ความจริงเท่าที่ผมดูแล้ว ความจริงหลินอิ่งอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่เขาแสดงออกมาก็ได้” หัวหน้าหม่าพูดด้วยแววตาเป็นประกาย “นัดที่หลินหยิ่งสู้กับหรงหยัง พวกเราไม่ได้เห็น สำหรับนัดของหลินอิ่งกับเผยหวูหมิง เห็นได้ชัดว่ามีอะไรแปลกๆ”

“ฝ่ามือของเผยหวูหมิงในกลุ่มคนรุ่นหลังในมณฑลจี้โจว จัดอยู่ในอันดับสาม เขาก็เป็นยอดฝีมือติดรายการแห่งคนด้วย ถึงแม้ทักษะพลังแข็งแกร่งภายนอกแค่ไหน เอ็นเหล็กกระดูกเหล็กแค่ไหน ก็ไม่อาจต่อต้านพลังอันแข็งแกร่งขนาดนี้ได้” หัวหน้าหม่าพูดเสียงเคร่งขรึม “แต่หลินอิ่งสามารถใช้เนื้อตัวรับได้? ยังสะเทือนกลับ? นี่มันไม่ค่อยถูกหลักความจริง”

“พูดไปแล้วก็มีเหตุผล” จ้าวเฉิงเฉียนพยักหน้าเล็กน้อย “ถ้าหลินอิ่งเก่งขนาดนั้น ทำไมถึงไม่มีชื่อเสียงในแวดวงลึกลับเลยแม้แต่น้อย?”

“ใช่ นายน้อย โดยเฉพาะ หลังจากที่หลินเอาชนะเผยหวูหมิงแล้ว ก็ทิ้งคำพูดไว้ แล้วรีบจากไป” หัวหน้าหม่าพูดคาดเดาด้วยแววตาเป็นประกาย “เท่าที่ผมดูแล้ว หลินอิ่งรับฝ่ามือนี้ไปแล้ว และได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ไม่กล้าแสดงออกต่อหน้านายน้อย ทนความเจ็บภายในไว้แล้วรีบจากไป”

“หลินอิ่ง เป็นไปได้อย่างมาก ที่จงใจทำเกินจริง แกล้งทำเป็นลึกลับ”

ได้ยินแล้ว จ้าวเฉินเฉียนแววตาเป็นประกาย หัวเราะเย็นชา พูดว่า “ไม่เลวไม่เลว เหล่าหม่า คุณก็ยังคงตาดี หลินอิ่งจากไปอย่างเร่งรีบแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่มั่นใจ คนคนนี้อายุแค่ยี่สิบต้นๆ หรือจะมีความสามารถล้นฟ้าแค่ไหน?”

“คาดว่า เขาก็คงจะเก่งกว่าเผยหวูหมิงแค่นิดเดียว ใช้กำลังภายในรับฝ่ามือนี้ไว้ แกล้งทำเป็นท่าทางแข็งแกร่ง ความจริงภายในก็บาดเจ็บไม่น้อย” จ้าวเฉิงเฉียนพูดตัดสิน

เท่าที่เขาดูแล้ว อายุน้อยขนาดนี้อย่างหลินอิ่ง มีวิชาการต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลย

คนอัจฉริยะระดับนี้ในวงการลึกลับ เขาคุ้นเคยอย่างดี รู้จักทุกคนเป็นอย่างดี

ส่วนหลินอิ่งคนนี้ ในแวดวงลึกลับนั้นไร้ชื่อเสียง เป็นแค่คนที่ไม่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง

“สืบ ต้องสืบให้ชัดเจน” จ้าวเฉิงเฉียนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผมไม่สนว่าหลินอิ่งเขาแสร้งอะไรกันอยู่ พวกนายทุกคน ต้องช่วยฉันสืบให้รู้เรื่อง ว่าเขาฝึกวิชากำลังภายในอะไรกันแน่”

“เริ่มสืบตั้งแจ่ตระกูลฉี ตระกูลฉีหลายปีมานี้ ไปมาหาสู่กับอำนาจลึกลับไหนบ้าง”

“หลินอิ่งเป็นคนของตระกูลฉี วิชาการต่อสู้ที่ฝึกมา ก็ต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับตระกูลฉีแน่นอน”

“ครับ”

“นายน้อย ผมจะรีบไปจัดการครับ”

เผยหวูหมิงกับหัวหน้าหม่าพูดอย่างเคารพ

“ถ้าอย่างนั้น นายน้อย เรื่องหรงหยังกับสำนักเมืองก่าง จะจัดการยังไง?” หัวหน้าหม่าถามอย่างสงสัย

จ้าวเฉิงเฉียนหรี่ตา ค่อยๆพูด “ไม่เป็นไร ให้หลินอิ่งมันพาหรงหยังไปจัดการธุระ ผมจะรอดู ว่าเขาจะทำอะไร”

“พวกคุณสองคน จับตามองความเคลื่อนไหวของหลินอิ่งไว้”

“ยังมีเวลาอีกเยอะ ผมจะเล่นเป็นเพื่อนหลินอิ่งสักเกมที่เมืองก่างหน่อย

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท