บทที่ 432 ความเคียดแค้นของผู้คน!
ในค่ำวันนั้น สมาคมธุรกิจเมืองก่างมีการจดงานต้อนรับพวกนักข่าว เพื่อประกาศต่อสาธารณะ ว่าหลังจากผ่านการประชุมลงมติของสมาชิกทั้งหมดแห่งสมาคมธุรกิจแล้ว จี้ฉงซานไม่ได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสมาคมของสมาคมธุรกิจอีกต่อไป และยกเลิกกฎข้อบังคับทางการค้าทั้งหมดที่ออกมาในสมัยที่จี้ฉงซานยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าสมาคม
พอข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ทั่วเมืองก่างก็ตอบสนองกลับมาอย่างล้นหลามทันที!ส่งผลกระทบมากมายมหาศาล
ทุกตรอกซอกซอย ทุกเครือข่ายในเมืองก่างล้วนแต่พูดคุยถึงเรื่องที่จี้ฉงซานถูกถอนออกจากตำแหน่งหัวหน้าสมาคมธุรกิจ
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเมืองก่าง ทำลายความเข้าใจของบรรดาผู้คนทั้งหมดในเมืองก่าง
ถึงยังไง จี้ฉงซานก็ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสมาคมธุรกิจในเมืองก่างมานานกว่าหลายสิบปี เป็นเหมือนกับหัวหน้าผู้นำของวงการธุรกิจเมืองก่าง จู่ๆก็ถูกคนร่วมกันเฉดออกจากตำแหน่งหัวหน้าสมาคม?
หรือถูกคนบีบบังคับให้ออกจากตำแหน่ง?
ทำให้เหล่าบรรดาผู้คนต่างคาดเดากันไปต่างๆนานา ว่าจี้ฉงซานดันไปก้าวก่ายทำให้ใครไม่พอใจเข้า
ใครกันที่มีกำลังความสามารถมากมายขนาดนี้? ถึงขนาดที่ทำให้มหาเศรษฐีแถวหน้าของเมืองก่างที่มีอำนาจเด็ดขาดในแวดวงธุรกิจสั่นคลอนได้?
โดยเฉพาะ จี้ฉงซานถูกรื้อถอนออกจากตำแหน่งหัวหน้าสมาคมธุรกิจ กฎข้อบังคับทั้งหมดของสมาคมธุรกิจที่ออกมาก่อนหน้านี้ ถูกยกเลิกไปทั้งหมด
ผลกระทบที่ตามมา ถือว่าสะเทือนไปทั้งแวดวงธุรกิจของเมืองก่างเลยก็ว่าได้ ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อผู้คนนับไม่ถ้วน
มันบ่งบอกว่าจี้ฉงซานสูญเสียอำนาจเด็ดขาดในการปกครองตลาดของแวดวงธุรกิจไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีอำนาจผูกขาดแล้ว
มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ
คนที่ยืนอยู่ฝ่ายจี้ฉงซาน ก็รู้สึกหดหู่ใจไม่น้อย สูญเสียตลาดไปมากมาย สูญเสียทรัพย์สินไปนับไม่ถ้วน
บริษัทเล็กๆอุตสาหกรรมต่างๆที่ถูกจี้ฉงซานกดขี่ข่มเหงในสมัยก่อน ก็พากันดีอกดีใจ ภูเขาที่กดทับอยู่ในใจของพวกเขา ในที่สุดก็ถูกยกออกไปสักที
ทุกตรอกซอกซอยในเมืองก่าง
“เห้อ จี้ฉงซานไม่ได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสมาคมธุรกิจแล้ว ได้ยินว่ากฎข้อบังคับมากมายของสมาคมธุรกิจถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงด้วย ข่าวนี้มันบ้าชัดๆ จี้ฉงซานเคยทำเรื่องอะไรไม่ดีให้กับเมืองก่างตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
“เห้อ แปลกจริงๆ คุณจี้ไม่มีการแสดงความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย? พวกทีมธุรกิจของเขาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีท่าทีอะไรเลยด้วย”
“นี่มันไม่ได้แล้วจริงๆนะ ถ้ากฎข้อบังคับของสมาคมธุรกิจถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงไป บริษัทมากมายก็จะได้รับผลกระทบแน่ๆ ได้ยินมาว่าตอนนี้ราคาของพวกผลไม้พวกเนื้อหมูก็เพิ่มขึ้นสูงแล้ว ขนาดเนื้อหมูก็แทบจะไม่มีปัญญาซื้อกินแล้วนะ!”
“ใช่ ตอนนี้คนในแต่ละสายงานอาชีพ กำลังรอดูสถานการณ์อยู่ ช่วงนี้จึงไม่มีใครกล้าลงทุนสุ่มสี่สุ่มห้า ตลาดหุ้นก็เลยโกลาหลวุ่นวาย!”
พลเมืองกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ในร้านอาหาร กำลังดูการรายงานข่าวล่าสุดพลางพูดคุยถกเถียงกัน
ถึงยังไง ผู้ถือหุ้นของเมืองก่างเยอะมาก การที่เป็นมหานครด้านเศรษฐกิจ ประชาชนพลเมืองก็ล้วนแต่ให้ความสนใจกับทิศทางของแวดวงธุรกิจตลอดเวลา
ภาพแบบนี้ สามารถพบเห็นได้บ่อยไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารร้านไหนก็ตามในเมืองก่าง
แทบจะทุกคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
แน่นอนว่า นอกจากเรื่องที่จี้ฉงซานถูกรื้อถอนออกจากตำแหน่งของหัวสมาคมแล้ว
ก็ยังมีอีกหนึ่งข่าวใหญ่ ที่ทำให้ทั้งเมืองก่างสั่นสะเทือน!
แค่ในเวลาคืนเดียว
เกิดการโต้เถียงเรื่องข่าวลือกันทั่วทุกเครือข่าย ประชาชนแสดงความคิดเห็นกันอย่างล้นหลาม
“ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณจี้กำลังสู้อยู่กับบุคคลนั้นอยู่หรือเปล่า? คนคนนี้ช่างกล้าหาญจริงๆ แผนการก็ชาญฉลาดมากๆด้วย เรื่องราวที่ไม่ดีในอดีตของจี้ฉงซานก็ถูกคนออกมาแฉจนหมด แถมมีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันด้วย!”พลเมืองคนหนึ่งในมือถือข้าว อีกมือถือหนังสือพิมพ์รายวันพูดขึ้น
“พูดตรงๆ หลังจากที่ผมเห็นแล้ว ก็รู้สึกตกใจไม่น้อย มันเปลี่ยนมุมมองที่ผมมีต่อจี้ฉงซานไปเลย ที่แท้เขาก็ใช้แผนการสกปรกเหมือนกัน!”
“เอารัดเอาเปรียบบีบบังคับคนงานอย่างบ้าคลั่ง เปิดโรงงานนรกจำนวนมาก ทำให้ผู้คนมากมายเหนื่อยล้าจนตาย ไม่ก็เป็นมะเร็ง แถมยังใช้สมาคมการกุศลในการฟอกเงินอีก ทำให้ภาพลักษณ์ของตัวเองดูดี ไม่คิดว่ายังจะฆ่าปิดปากทั้งครอบครัวของพวกนักข่าวที่คิดจะเปิดโปงเรื่องนี้อีกด้วย”วัยรุ่นคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ พร้อมกับดูข่าวในโทรศัพท์มือถือ
“นี่ยังไม่เท่าไรนะ ให้ตายสิ จี้ฉงซานยังควบคุมวงการอสังหาริมทรัพย์ของตลาดหุ้น ทำให้ในตอนนั้นผู้คนจำนวนมากพากันกระโดดตึกฆ่าตัวตาย สองปีก่อนญาติของผมเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น ถูกแผนการของบริษัทอะไรสักอย่างของจี้ฉงซานดึงดูดเข้า ก่อนหน้านั้นยังบอกกับผมอยู่เลยว่าจะลงทุนเงินไปสักก้อน แต่ผลลัพธ์ จู่ๆก็กระโดดตึกฆ่าตัวตาย ก่อนตายก็เอาแต่พูดด่าว่าไอ้สารเลวจี้อยู่ตลอดเวลา ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจว่าคืออะไร ที่แท้ ก็เป็นเรื่องเลวๆที่ไอ้จี้ฉงซานมันทำขึ้นมา!”ชายวัยกลางสวมชุดสูทคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยความเคียดแค้น
“เหี้ยมโหดจริงๆ พวกคุณดูพวกคนงานในสารคดีพวกนั้นสิน่าสงสารขนาดไหน? เป็นโรคร้ายแต่กลับไม่มีเงินรักษา ครอบครัวของพวกคนที่กระโดดตึกฆ่าตัวตายพวกนั้นก็บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ไหนจะศพของคนในครอบครัวของนักข่าวอีก นี่มันโศกนาฏกรรมชัดๆ!ทำไมถึงเหี้ยมโหดได้ขนาดนี้กันนะ?”
วันนี้ สื่อข่าวทั่วทั้งเมืองก่าง ต่างก็รายงานความจริงพร้อมกับหลักฐาน
มีวิดีโอสารคดีหนึ่งที่เรียกได้ว่าช็อกโลกเลยก็ว่าได้
ในนั้น มีผู้จัดการแวดวงธุรกิจของจี้ฉงซานคนหนึ่ง พูดอธิบายไว้อย่างชัดเจนถึงกระบวนการอย่างละเอียดในแต่ละขั้นตอนของโรงงานนรกของจี้ฉงซานว่าปฏิบัติการกันยังไง เพื่อที่จะรักษาต้นทุนเอาไว้ เขาขูดรีดบีบเค้นคนงานยังไงเพื่อให้คุ้มมากที่สุด ใช้คนเยี่ยงสัตว์ แล้วสุดท้ายก็ทำการล้างความผิดทิ้งไป
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของหลักฐานที่ฆ่าพวกนักข่าวด้วย เคยมีนักข่าวคิดที่จะเปิดโปงความชั่วที่อยู่เบื้องหลังของจี้ฉงซาน ก็ถูกฆ่ายกครัว แม้แต่เด็กอายุเจ็ดขวบก็จับโยนลงไปในทะเลได้ลงคอ
แล้วก็ จี้ฉงซานบงการควบคุมตลาดหุ้นของเมืองก่างอย่างบ้าคลั่ง หลอกลวงผู้ถือหุ้น เพื่อให้ได้เงินจำนวนมากมาย
แน่นอนว่า ยังมีเรื่องที่จี้ฉงซานพลิกจากซ้ายไปขวาอีกด้วย เขาเพิ่มราคาที่ดินให้สูงสุด ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องมีปัญหาเรื่องการพักอาศัยไปตลอดชีวิต!แล้วก็ทำยังไงถึงฉาบผิวหน้าของเศรษฐกิจฟองสบู่ให้ดูดี แล้วเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง
ประวัตินองเลือดทั้งหมดของจี้ฉงซาน กระบวนการขั้นตอนเหี้ยมโหดที่เขาทำมาตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนแต่มีหลักฐานที่ชัดเจนทั้งสิ้น
ในส่วนของโรงงาน ในส่วนของตลาดหุ้น ในส่วนของอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นคำสารภาพของผู้เสียหาย หรือผู้กระทำก็มีหมด!แค่ดู ก็สามารถเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบได้ทันที
สารคดีความยาวประมาณหนึ่งชั่วโมง มีคนคลิ๊กเข้าชมทะลุร้อยล้านในเวลาชั่วข้ามคืน คนส่วนใหญ่ในเมืองก่างล้วนแต่ดูกันอย่างจริงจังจนจบกันหมดแล้ว
ถึงขนาดที่ สารคดีนี้ยังถ่ายทอดไปยังต่างประเทศอีกด้วย แล้วก็เมืองในจังหวัดอื่นๆอีกมากมาย กลายเป็นประเด็นร้อนที่สุดในอินเทอร์เน็ตไปแล้ว
สารคดีเรื่องนี้ ได้ทำการฉีกกระชากผิวหน้าที่สวยงามของจี้ฉงซานออกไปเรียบร้อยแล้ว แล้วเปิดเผยร่างกายที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดออกสู่สายตาของผู้คนบนโลก
สรุปสั้นๆก็คือ จี้ฉงซานเป็นผีดูดเลือด เป็นเจ้าถิ่นที่ใหญ่ที่สุดของเมืองก่าง!
ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างรู้สึกตื่นตกใจและทอดถอนใจ
เมืองก่างที่ผิวหน้าดูสวยหรูดูดี!แต่ความจริงแล้ว สังคมกลับไม่ต่างอะไรจากระบบทาสในช่วงไม่กี่ศตวรรษก่อนหน้านี้เลย!
สิ่งที่จี้ฉงซานทำ ไม่ได้ส่งผลดีต่อสังคมเลยแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่ส่งผลดีอะไรต่อเมืองก่างเลยด้วย
มีผลเพียงอย่างเดียว ก็คือเป็นการช่วยสนับสนุนญี่ปุ่นไปอย่างช้าๆเท่านั้น
เงินทุนมหาศาลที่จี้ฉงซานปล้นเก็บมาจากพลเมืองของเมืองก่าง ก็ส่งไปให้กับรัฐบาลของญี่ปุ่นไปเรียบร้อยแล้ว ตัวเขาเองก็เป็นคนสัญชาติญี่ปุ่น ได้รับการโปรดปรานอย่างมากจากรัฐบาลญี่ปุ่น!
สิ่งที่เขาทิ้งไว้ให้กับเมืองก่าง มีเพียงแค่ตึกลอยฟ้าตึกเดียวเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นอีก เดี๋ยวก็ต้องพังทลายไป ตกต่ำลงสู่ระดับที่ไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ไปตามกาลเวลา
ในเวลาชั่วข้ามคืน ภายในเมืองก่าง นอกจากคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับจี้ฉงซานแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ก็เป็นพวกคนต่างก็มีความโกรธแค้นต่อจี้ฉงซานกันหมด!
เพราะว่า การกระทำของจี้ฉงซาน สร้างปัญหาอย่างใหญ่หลวงให้กับการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนพลเมืองเป็นอย่างมาก
เพราะว่าความเห็นแก่ตัวของคนแค่คนเดียว ได้ทำให้ทุกคนต่างก็เดือดร้อนกันไปหมด!
นี่ ก็คือคำอธิบายที่ดีที่สุดของจี้ฉงซาน!
จี้ฉงซาน “คนใจบุญ”ที่แสนยิ่งใหญ่คนนี้ ได้ทำให้เหล่าผู้คนต่างพากันโกรธเกลียดเคียดแค้นไปเรียบร้อยแล้ว!
ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 432 ความเคียดแค้นของผู้คน!
ซุปเปอร์เจ้าสำราญ
บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย
“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’
“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”
“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”
“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”
ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ
ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่
โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่
“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”
“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”
“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”
หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”
หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans
ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา
“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”
เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว
ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้
แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!
หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย
ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี
และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย
สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว
หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง
วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย
ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต
ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง
หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย
สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่
เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง
ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ
อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่
แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!
ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..
เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ
ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย
นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก
ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง
หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก
“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”
“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย
เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง
นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย
“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”
มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน
จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร
พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี
ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย
“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”
การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!
“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น
“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น
พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ
“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”
หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร
จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป
แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย
จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”
หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์
“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย
ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย
แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว
จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”
จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก
เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”
“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น
“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น
จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น
เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย
ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..
พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย
ส่วนเธอ….
จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….
เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…