บทที่ 435 นายกเทศมนตรีของเมืองก่าง ถังคังเจิ้น
“คนของตระกูลฉีแห่งตี้จิง?”ถังคังเจิ้นน้ำเสียงสงสัย“คนที่คุณพูดให้ผมฟังเมื่อครั้งที่แล้ว คุณชายตระกูลฉีที่มีชื่อเสียงโด่งดังในตี้จิงคนนั้นน่ะเหรอ?”
ถังคังเจิ้นเคยฟังเรื่องที่จี้ฉงซานพูดถึงหลินอิ่ง จากนั้นก็ให้คนไปสืบข้อมูลมา
จึงรู้ว่าหลินอิ่งที่จี้ฉงซานพูดถึง เป็นคนเหี้ยมโหดคนหนึ่งของตี้จิง
อย่างน้อย ก็สามารถต่อสู้วัดกำลังกับคนระดับเขาได้
“ไม่ผิด หลินอิ่งคนนั้นนั่นแหละ เขาถึงเมืองก่างแล้ว เรื่องสมาคมธุรกิจเมืองก่าง คำวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน ความวุ่นวายของการเงินที่เกิดขึ้น ล้วนแต่เป็นฝีมือของหมอนี่ทั้งนั้น”จี้ฉงซานพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“เหล่าจี้?คุณยอมให้เขากำเริบเสิบสานที่เมืองก่างได้ยังไง? แม้ว่าในตี้จิงหลินอิ่งจะสุดยอดมาก แต่พอมาถึงเมืองก่างแล้ว ก็ต้องเคารพกฎของเมืองก่างสิ”ถังคังเจิ้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม
“ถ้าอย่างนั้น ผมส่งคนจากกรงการเมืองและกองพิเศษหวู่อันไปจัดการแล้วกัน หาข้ออ้างทำให้เขายอมถอยออกจากเมืองก่างเองดีไหม?”ถังคังเจิ้นถามขึ้นด้วยท่าทีจริงจัง
“ไม่ต้อง เหล่าถัง เรื่องนี้ผมมีแผนแล้ว แค่รบกวนคุณช่วยไปจัดการไกล่เกลี่ยพวกที่ไม่ยอมอยู่ในลู่ในทางในสังคมพวกนั้นก็พอ”จี้ฉงซานพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“อื้อ”ถังคังเจิ้นพยักหน้า“จากมิตรภาพของพวกเรา คุณไม่ต้องพูดอะไรเยอะผมก็เข้าใจได้”
“เหล่าถัง ถ้าได้ข่าวดีจากคุณ ผมจะจัดงานเลี้ยงฉลองอย่างดีให้เลย”จี้ฉงซานพูดขึ้น
เสียงตู๊ดๆดังขึ้นมาสองครั้ง สายถูกวางไปแล้ว
พอวางสายลง จี้ฉงซานก็จิบชาอย่างไม่รีบไม่ร้อน ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน“ไอ้เด็กหลินอิ่งนั่น พยายามที่จะใช้วิธีแบบนี้เพื่อเอาชนะฉันอย่างนั้นเหรอ? เหอะๆ กระจอกสิ้นดี”
“พ่อ ผมคงกังวลมากเกินไป คุณให้ลุงถังออกหน้าแทนแบบนี้ เรื่องนี้น่าจะจัดการไม่ยากแล้วล่ะครับ”จี้ชวนพูดขึ้นด้วยสีหน้าดีใจ
เขารู้เรื่องความสัมพันธ์ของพ่อจี้ฉงซานกับนายกเทศมนตรีถัง แต่ไม่คิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะลึกซึ้งถึงขนาดนี้!
“มีคนใหญ่คนโตแบบนายกเทศมนตรีถังคอยคุ้มกันเป็นที่พึ่งพิงแบบนี้ ในเมืองก่างนี้จะไม่มีใครหน้าไหนกล้ามาทำอะไรพวกเราตระกูลจี้อีก”จี้ฉงซานพูดขึ้นด้วยความมั่นใจ
……
ณ ศาลากลาง เมืองก่าง
ภายในห้องทำงานของนสยกเทศมนตรี มีชายชราผมขาวสวมแว่นตาสายคล้องสีทองคนหนึ่ง นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม
ด้านหน้าของชราคนนี้ มีชายวัยกลางคนสามคนกำลังโค้งคำนับอยู่
หนึ่งในนั้น สวมเครื่องแบบกองพิเศษหวู่อัน มีเข็มกลัดอยู่ที่ไหล่ แสดงถึงอำนาจสูงสุดของตุลาการของเมืองก่าง
ทั้งสามคน แบ่งเป็นหัวหน้ากองพิเศษหวู่อัน หัวหน้ากรงการเมือง ผู้อำนวยการกรมการรักษาความลับ
ส่วนชายชราคนนี้ ก็คือคนที่ทรงพลังที่สุดของเมืองก่าง ถังคังเจิ้น
“ช่วงนี้ สื่อต่างๆของเมืองก่าง มีคนจงใจปั่นป่วนสถานการณ์ ทำให้ประชาชนเกิดความโกลาหลวุ่นวาย” ถังคังเจิ้นสีหน้าน่าเกรงขามมีอำนาจ พูดขึ้นอย่างไม่รีบไม่เร่ง“ไปสั่งให้สื่อพวกนั้นปิดปากเงียบเดี๋ยวนี้”
“แล้วก็ไปตามหาตัวคนที่ชื่อว่าหลินอิ่งที่มาจากตี้จิงมาด้วย ฉันต้องการโทรศัพท์คุยกับเขาสักครั้ง”
……
วันต่อมา
ในเวลาชั่วข้ามคืน สื่อข่าวต่างๆในเมืองก่างต่างก็เงียบสนิทไม่มีข่าวคราวอะไรเลยแม้แต่น้อย
ประเด็นหัวข้อเกี่ยวกับการวิพากษ์วิจารณ์จี้ฉงซานที่ได้รับความสนใจในอินเทอร์เน็ตก่อนหน้านี้ ทั้งหมดก็สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ข้อมูลข่าวสารในทางด้านลบเกี่ยวชื่อจี้ฉงซานชื่อนี้ ก็ค้นหาไม่เจออีกแล้วในอินเทอร์เน็ต
ข่าวที่สะเทือนไปทั่วเมืองก่อนหน้านี้ ก็นิ่งเงียบไป
มันหายไปรวดเร็วท่ามกลางความเงียบสนิท!
แม้ว่าผิวหน้าจะเงียบสงบ แต่ว่าทุกคนในเมืองก่างรู้กันดี ว่านี่จะต้องเป็นฝีมือของจี้ฉงซานแน่นอน!
ความสามารถของคนคนนี้ แข็งแกร่งถึงขนาดที่ปิดปากสื่อทุกสำนักในเมืองก่างได้!
คนที่พูดถกประเด็นร้อนออนไลน์ในอินเทอร์เน็ตก่อนหน้านี้ ในตอนนี้ ก็เงียบกริบ ต่างปิดปากเงียบเรื่องของจี้ฉงซาน
“ประธานหลิน ข่าววิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนถูกปิดไปจนหมด ภายในเวลาชั่วข้ามคืน ข่าวทุกอย่างถูกปิดกั้นเอาทั้งหมดเลยครับ”
ในห้องทำงานของอาคารสุ่ยจิน
ฉู่สงซานเดินเข้ามาด้วยสีหน้าหนักอึ้ง พูดขึ้นอย่างจริงจัง“จี้ฉงซาน ให้ถังคังเจิ้นออกหน้ามาช่วยแล้ว”
“เมื่อคืน ผู้รับผิดชอบของบริษัทสื่อหลายสำนักของผม ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดจากกรงการเมืองของเมืองก่าง แม้ว่าจะไม่ได้พาตัวคนไป แต่ก็เป็นการบอกเตือนเอาไว้”
พอได้ฟังแบบนั้น หลินอิ่งก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย นั่งอยู่บนเก้าอี้ ดื่มชาไปหนึ่งคำ
วางแก้วชาในมือลง ก่อนจะพูดขึ้น“ถังคังเจิ้นโผล่หน้าออกมาเองเลยเหรอ?”
เขารู้จักถังคังเจิ้นดี คนใหญ่คนโตของเมืองก่าง มีความสามารถมากขนาดไหน ไม่บอกก็รู้
แม้ว่าถังคังเจิ้นจะไม่ได้ลงมาสู้รบแทนจี้ฉงซานเอง แต่พูดสั่งออกมาแค่ประโยคเดียว ก็ทำให้สั่นสะเทือนไปทั้งเมืองก่างแล้ว
“ประธานหลิน จริงๆผมเดาแล้วว่ามันจะต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ไพ่ในมือของจี้ฉงซาน แต่ละใบล้วนแต่มีพลังอำนาจที่น่าเกรงขามทั้งนั้น”ฉู่สงซานพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง“สถานการณ์ต่อไป ควรจะรับมือยังไงดี?”
หลินอิ่งใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ กำลังคิดวิเคราะห์
จู่ๆ ข้างนอกก็มีชายหนุ่มแต่งกายชุดสูททางการคนหนึ่งเดินเข้ามา พาผู้ชายใส่ชุดธรรมดาทั่วไปสีหน้าเข้มงวดสองคนมาด้วย
ดูออกได้อย่างไม่ยากเลยว่า คนที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาสองคนนี้มีสถานภาพเป็นอะไร
“คุณหลิน สวัสดีครับ ผมชื่อติงยี่ เป็นเลขาของนายกเทศมนตรีถัง”ชายหนุ่มมองมายังหลินอิ่ง พร้อมกับพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“ที่ผมมาในวันนี้ ก็เพื่อจะมาพูดเจรจากับคุณหลินแทนนายกเทศมนตรีถังครับ”
ติงยี่ พูดเปิดประเด็น
หลินอิ่งมองไปด้วยสีหน้านิ่งเฉย มุมปากยกโค้ง
ตัวเองยังไม่ทันไปได้หาเลย แต่เขากลับส่งคนมาคุยถึงที่แล้วอย่างนั้นเหรอ?
“ว่ามาสิ นายกเทศมนตรีถังของพวกคุณมีเรื่องอะไรที่ฝากมาบอก?”หลินอิ่งถามขึ้นอย่างนิ่งๆ
ติงยี่พูดตอบ“คุณหลิน นายกเทศมนตรีถังให้ผมมาบอกกับคุณว่า เมืองก่าง เป็นที่ไม่ใช่จะมาทำอะไรตามอำเภอใจได้ พฤติกรรมของคุณหลังจากที่คุณมาที่เมืองก่าง มันทำลายความสงบเรียบร้อยของประชาชน”
“แวดวงธุรกิจ แวดวงการเงิน สื่อต่างๆ ของเมืองก่างล้วนแต่เกิดความโกลาหลวุ่นวายไปหมดเพราะว่าคุณ”
“แล้ว?”หลินอิ่งถามขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
“นายกเทศมนตรีถังบอกว่า เห็นแก่หน้าของตระกูลฉี เมืองก่างจะไม่ใช้มาตรการเข้มงวดใดๆกับคุณหลิน แต่หวังว่าคุณจะสำนึกได้ด้วยตัวเอง”ติงยี่พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“ตอนนี้ยังทัน รีบพาคนของคุณ ร่วมถึงทรัพย์สินที่คุณเอามาลงทุนในเมืองก่าง ถอนออกไปให้หมดซะ แล้วออกจากเมืองก่างไป เรื่องมันยังเจรจายืดหยุ่นกันได้อยู่”
ติงยี่พูดจบอย่างนิ่งสงบใจเย็น มองหลินอิ่งอย่างนิ่งเฉย
เขาท่าทางมั่นใจ ท่าทางวางมาดสุดๆ
ในฐานะที่เป็นเลขาของผู้นำสูงสุดของเมืองก่าง การได้เป็นตัวแทนไปเจรจาแทนผู้นำสูงสุด เขาถือว่ามีอำนาจเด็ดขาด
ต่อให้รู้ว่าเบื้องหลังของหลินอิ่งจะไม่ธรรมดา เป็นคนที่มีความสามารถเก่งกาจราวกับมังกรของตี้จิงก็ตาม
แต่พอมาอยู่ต่อหน้าของคุณท่านถังแห่งเมืองก่าง ถึงเป็นมังกร เก่งกาจขนาดไหนก็ต้องยอมจำนนอยู่ดี
“นายกเทศมนตรีถังของพวกคุณ กำลังเตือนผมอยู่?”หลินอิ่งยิ้มนิ่งๆ“คำพูดของเขา ผมน้อมรับไว้แล้ว”
“ตอนนี้คุณกลับไปเถอะ พอกลับไปแล้ว ก็ไปบอกกับนายกเทศมนตรีถัง ว่าสอดมือเข้ามายุ่งในครั้งแรก ผมจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วกัน เรื่องระหว่างผมกับจี้ฉงซาน ถ้าเขากล้าเข้ามายุ่งอีก ผมรับประกันเลยว่าเขาจะนั่งอยู่ในตำแหน่งนายกเทศมนตรีของเมืองก่างนี้ได้ไม่เกินสามวันแน่นอน”
พอคำพูดนี้พูดจบ ก็สร้างความประหลาดใจไม่น้อยให้กับติงยี่ทันที ติงยี่ช็อกตกใจสีหน้าเปลี่ยนไป มองหลินอิ่งด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 435 นายกเทศมนตรีของเมืองก่าง ถังคังเจิ้น
ซุปเปอร์เจ้าสำราญ
บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย
“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’
“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”
“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”
“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”
ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ
ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่
โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่
“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”
“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”
“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”
หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”
หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans
ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา
“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”
เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว
ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้
แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!
หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย
ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี
และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย
สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว
หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง
วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย
ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต
ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง
หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย
สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่
เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง
ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ
อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่
แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!
ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..
เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ
ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย
นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก
ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง
หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก
“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”
“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย
เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง
นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย
“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”
มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน
จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร
พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี
ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย
“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”
การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!
“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น
“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น
พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ
“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”
หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร
จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป
แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย
จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”
หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์
“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย
ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย
แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว
จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”
จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก
เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”
“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น
“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น
จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น
เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย
ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..
พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย
ส่วนเธอ….
จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….
เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…