ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 439 ถ้าคุณเอาชนะเขาได้ ผมจะยกบริษัทให้คุณ

บทที่ 439 ถ้าคุณเอาชนะเขาได้ ผมจะยกบริษัทให้คุณ

หลินอิ่งยิ้มๆ จู่ๆเขาก็รู้สึกว่า สาวต่างชาติผมทองคนนี้ดูไร้เดียงสาอยู่ไม่น้อย

“คุณก็ลองดูสิ ว่าจะฆ่าผมได้หรือเปล่า”

“แกกำเริบเสิบสานจริงๆนะ!คุณแอนนา ผมชักจะทนไม่ไหวกับไอ้คนประเทศหลุงบ้าคลั่งนี่แล้วนะครับ!”

“มันกำลังดูถูกศักดิ์ศรีของตระกูลโครเมียร์อยู่นะครับ!”

แอนนายังไม่ได้แสดงท่าทีอะไร บอดี้การ์ดสองคนข้างหลังของเธอก็ระเบิดโมโหออกมาเรียบร้อยแล้ว ต่างถลึงตาโตใส่หลินอิ่ง

เกียรติยศศักดิ์ศรีของตระกูลโครเมียร์ เป็นสิ่งที่สูงส่งที่สุดของพวกข้าใช้ผู้ติดตามแบบพวกเขา ก็เหมือนกับผู้ศรัทธาที่มีความศรัทธาเลื่อมใส ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำให้มีมลทิน

แอนนาสีหน้าเริ่มโมโห พูดขึ้น“คุณหลิน ก่อนที่คุณจะยโสโอหัง ควรจะทำความเข้าใจหน่อยนะ ว่าตระกูลโครเมียร์เป็นตระกูลแบบไหน?”

“คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังเยาะเย้ยอยู่กับตระกูลที่แข็งแกร่งมากขนาดไหนอยู่?”

แอนนาเริ่มมีท่าทีที่ไม่พอใจต่อหลินอิ่งแล้ว

กล้ามาดูถูกแม้กระทั่งตระกูลโครเมียร์ของเธอ

ที่ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศญี่ปุ่นหรือว่าจะเป็นประเทศที่มีพลังอำนาจมากที่สุดในโลกอย่างประเทศM ไม่ว่าจะประเทศอะไรทางฝั่งตะวันตก ก็ไม่มีใครกล้ามาดูถูกตระกูลโครเมียร์ทั้งนั้น!

ยิ่งไม่ต้องพูดถูก การดูถูกเหยียดหยามกันซึ่งๆหน้าแบบที่หลินอิ่งทำอยู่ในตอนนี้

หลินอิ่งมุมมากยกโค้งขึ้น พูดขึ้นอย่างนิ่งเฉย“ตระกูลโครเมียร์ ที่คนตะวันตกเรียกว่าตระกูลกุหลาบศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม?”

“ถ้าผมจำไม่ผิดล่ะก็ ตระกูลโครเมียร์มีสองสาขา”หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างช้าๆไม่รีบไม่ร้อน“สาขาหนึ่งอยู่ที่ยุโรปเหนือ อีกสาขาอยู่ที่ทวีปอเมริกา”

“คุณมาจากลาตินกรุ๊ป ดังนั้น คุณมาจากสาขาอเมริกาสินะ? เรียกว่าตระกูลกุหลาบเลือด?”

“หัวหน้าครอบครัวของพวกคุณ คือโครเมียร์ เฟลิกซ์? มีชื่อที่ไว้เรียกในโลกมืดว่า ท่านเอิร์ล?”หลินอิ่งค่อยๆพูดขึ้น อย่างคุ้นเคยกับประวัติครอบครัวของแอนนาเป็นอย่างดี

จริงๆแล้วหลินอิ่งก็คิดไม่ถึงว่า เรื่องของสำนักงานใหญ่ของลาตินกรุ๊ป จะมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลโครเมียร์

ตำแหน่งของตระกูลโครเมียร์ในโลกมืดแห่งตะวันตก แทบจะเท่ากับตำแหน่งของกลุ่มบริษัทชีซิงของประเทศเกาหลีได้เลย มีอำนาจในการปกครองที่เด็ดขาด ทรงพลังสุดๆ

พลังอำนาจของตระกูลนี้ อย่างน้อยก็สามารถกดสามตระกูลจากในห้าตระกูลยักษ์ใหญ่ของตี้จิงได้เลย

เพราะว่า นี่เป็นตระกูลในโลกมืดที่มาจากทางตะวันตก

ก็เหมือนกับแวดวงลึกลับของประเทศหลุง ในต่างประเทศก็เหมือนกัน มีโลกมืดที่คนทั่วไปยากที่จะเข้าถึง

โลกมืดของต่างประเทศ มีบุคคลที่สุดยอดมากมายอยู่ ในขณะเดียวกันก็ถือครองเทคโนโลยีที่เหนือชั้นมากมายเช่นกัน ลึกลับมากๆ

แต่ครั้งแรกที่หลินอิ่งได้สัมผัสกับตระกูลโครเมียร์ ก็คือตอนอายุสิบหกปี ตอนที่ช่วยผู้บัญชาการสูงสุดของกองทหารของประเทศหลุง ไปสู้รบที่ต่างประเทศในนามของกองทหารประเทศหลุง

“อะไรกัน!คุณ รู้ความลับของตระกูลโครเมียร์?”แอนนาพูดขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ มองหลินอิ่งด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ

แม้ว่าตระกูลโครเมียร์จะมีชื่อเสียงมากที่ต่างประเทศ แต่กลับมีไม่กี่คนที่รู้ว่าภายในของตระกูลโครเมียร์มีสองสาขา

แถม ชื่อตระกูลดอกกุหลาบโลหิตนี้ ก็ต้องเป็นคนที่เคยติดต่อคลุกคลีกับโลกมืดของตะวันตกเท่านั้น ถึงจะรู้ชื่อนี้ได้

หรือว่าหลินอิ่ง คนประเทศหลุงคนนี้ เคยติดต่อกับคนของตระกูลตนเองอย่างนั้นเหรอ?

“คุณรู้ชื่อตระกูลกุหลาบเลือดได้ยังไง? คุณเคยไปดินแดนนอกประเทศ? เคยติดต่อคลุกคลีกับคนของตระกูลตระกูลโครเมียร์อย่างนั้นเหรอ?”แอนนาถามขึ้นด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

หลินอิ่งพูดถึงเบื้องลึกเบื้องหลังตระกูลของเธอ จู่ๆก็ทำให้เธอรู้สึกหวั่นกลัวขึ้นมาในใจ

ทั้งที่หลินอิ่งรู้ดีว่าตระกูลโครเมียร์แข็งแกร่งขนาดนี้ แล้วทำไมถึงยังกล้าดูถูกศักดิ์ศรีของตระกูลเธออยู่อีก?

หลินอิ่งเอาความมั่นใจมาจากไหน? ถึงยังยืนหยัดอยู่ต่อหน้าคุณหนูแห่งตระกูลโครเมียร์แบบเธอโดยที่ไม่สั่นคลอนเลยสักนิด?

หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ“ผมจะทำให้คุณเข้าใจ ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของตระกูลคุณ สำหรับผมแล้ว แทบจะไม่มีผลอะไรเลย”

แอนนากัดริมฝีปากอย่างแรง สีหน้าโมโห

เธอก็เริ่มอยู่ไม่สุขแล้วเหมือนกัน ท่าทีของชายหนุ่มประเทศหลุงคนนี้ ช่างยโสโอหังเกินไปแล้ว แทบไม่เห็นเธออยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ

เธออุตส่าห์อ้างชื่อของตระกูลโครเมียร์มาขู่ ตอนแรกนึกว่าจะทำให้เขาเคารพและเกรงกลัวได้ แต่ผลที่ได้กลับได้สายตาดูถูกดูแคลนของหลินอิ่งกลับมาแทน

ความรู้สึกแบบนี้ ก็เหมือนกับของที่จงใจจะโอ้อวด แต่กลับเป็นขยะไร้ค่าในสายตาของเขา

แต่ว่า หลินอิ่งมีกำลังมากพอที่จะดูถูกตระกูลโครเมียร์เหรอ?

หลินอิ่ง คุณจะต้องชดใช้ให้กับความบ้าคลั่งของคุณเอง”แอนนาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เหอะ!พวกแกสองคน จัดการสั่งสอนเขาซะ!”

พูดจบ บอดี้การ์ดต่างชาติที่อยู่ข้างหลังของแอนนาก็เดินออกมาพร้อมจะลงมือทันที จ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาเยือกเย็น

พวกเขาสองคนทนไม่ไหวกับท่าทียโสโอหังของหลินอิ่งตั้งนานแล้ว แทบอยากจะเข้าไปซัดเขาลงที่พื้นเต็มทน

“แกไอ้คนประเทศหลุงที่สมควรตาย กล้ามาทำตัวยโสโอหังต่อหน้าคุณแอนนา ไม่รู้ว่าแกไปรู้เรื่องของตระกูลโครเมียร์มาจากที่ไหน ถึงมาทำท่าทำทางวางมาดแบบนี้ได้”บอดี้การ์ดต่างชาติที่ใบหน้ามีแผลเเป็นคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณแอนนาบอกให้พวกเราใจเย็นล่ะก็ ฉันก็จัดการฆ่าพวกชั้นต่ำแบบพวกแกไปตั้งนานแล้ว!”

ชายแผลเป็นพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น สีหน้าเหี้ยมโหด

หลังจากที่ได้รับอนุญาตจากแอนนาแล้ว เขาก็เหมือนกับสัตว์ดุร้ายกระหายเลือดที่ถูกปล่อยออกมาจากกรง ท่าทางดุร้ายน่ากลัว

แน่นอน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าแอนนาบอกว่าการมาประเทศหลุงในครั้งนี้จะต้องทำตามกฎของประเทศหลุง ทำอะไรต้องระมัดระวังหน่อย เขาก็ฆ่าคริสกับไอ้คนที่ชื่อว่าหลินอิ่งอะไรนี่ตายไปก่อนแล้วแน่นอน!

ชายแผลเป็นคนนี้ เป็นราชานักฆ่าที่ได้สมญานามว่าคมดาบโลหิตในแวดวงนักฆ่าที่ต่างประเทศ ชื่อเสียงเลื่องลือมาก!บุคคลระดับสูงที่เคยถูกเขาลอบสังหารหรือฆ่า อย่างน้อยก็เกินกว่าร้อยคน!

“ไอ้เด็กสกุลหลิน ถ้าแกเอาชนะฮาเดสได้ นี่แสดงว่า แกพอมีฝีมืออยู่บ้าง”ชายแผลเป็นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ในเมื่อแกกล้ายโสโอหังขนาดนี้ กล้ามาตัวต่อตัวไหมล่ะ?”

“ตัวต่อตัว?”หลินอิ่งส่ายหัว มุมปากยิ้มเย้ยหยัน

“แกไม่มีกำลังมากพอที่จะให้ฉันลงมือเอง”หลินอิ่งพูดตอบกลับไปอย่าง่ายๆ“ฮาเดสนายมาสู้กับมัน”

พูดจบ ฮาเดสที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตูของห้องทำงาน ก็เดินเข้ามาอย่างสุขุมเยือกเย็น มองชายแผลเป็นอย่างเย็นชา

“ฮาเดส? แกก็ทรยศเหมือนกันเหรอ? มาเป็นบอดี้การ์ดให้กับไอ้คนประเทศหลุงเนี่ยนะ? การกระทำของแกนำความอัปยศอดสูมาให้กับองค์กรของพวกเราจริงๆ!”

ชายแผลเป็นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา มองฮาเดสด้วยสีหน้าดูถูกดูแคลนสุดๆ

เขากับฮาเดสมาจากองค์กรนักฆ่าองค์กรเดียวกัน ครั้งหนึ่ง เขาเคยเป็นหัวหน้าของฮาเดส

“เฟเดอเรอร์ ถ้าแกยังจะทำตัวกำเริบเสิบสานใส่ประธานหลินอีกล่ะก็ แกจะเสียใจภายหลัง”ฮาเดสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม

“เหอะๆ”เฟเดอเรอร์สีหน้าดูถูก มองหลินอิ่งด้วยท่าทางขี้เล่น“แกให้ฮาเดสมาสู้กับฉันเนี่ยนะ? แกรนหาที่ตายชัดๆ แกไม่รู้เหรอว่า ฮาเดสเคยพ่ายแพ้ให้กับฉันมาก่อน”

“เหอะ คุณหลิน ลูกน้องของคุณพละกำลังน้อยขนาดนี้ คุณยังกล้ามาเสียมารยาทกับฉันอีกนะ”แอนนาสบถหึออกมาอย่างเย้ยหยัน

หลินอิ่งสีหน้าปกติ มองไปยังแอนนาพร้อมกับพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ“คุณมีความมั่นใจในตัวลูกน้องของคุณขนาดนี้เชียวเหรอ? ถ้าเขาเอาชนะฮาเดสได้ ผมจะยกบริษัทให้กับคุณ”

“ถ้าเขาทำไม่ได้ คุณก็ต้องรีบไสหัวออกไปจากประเทศหลุงซะ กล้ารับไหมล่ะ?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท