ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 449 แผนการตัดหัว

บทที่ 449 แผนการตัดหัว

สำหรับเรื่องของจี้ฉงซาน หลินอิ่งสืบอย่างชัดเจนหมดแล้ว

ความสัมพันธ์ระหว่างจี้ฉงซานกับตระกูลพอร์ตเล็ต เป็นเรื่องที่รู้กันทั่ว

จี้ฉงซานก็คือสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ตัวหนึ่งของตระกูลอันดับหนึ่งในโลกมืดเวสต์แลนส์ ที่อยู่ในเมืองก่าง

เพราะฉะนั้น จี้ฉงซานสามารถเชิญคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ตลงมือได้ ก็อยู่ในการคาดเดา

“คุณหลิน ฉันบอกแล้ว ว่าฉันมาเพื่อจะให้ของขวัญชิ้นใหญ่กับคุณ” แอนนาพูดอย่างเชื่องช้า

“คุณรอจนได้ของขวัญชิ้นใหญ่จากฉันไปก่อน ค่อยพิจารณาว่าจะร่วมงานกับฉันไหม”

“นี่เป็นของขวัญการพบหน้าของฉัน ความจริงใจเล็กน้อย”

หลินอิ่งใช้นิ้วเคาะโต๊ะ ถามว่า “ตระกูลโครเมียร์ของพวกคุณ อยากยุ่งเกี่ยวในเมืองก่างด้วย?”

แอนนา คือตัวแทนที่แท้จริงของลาตินกรุ๊ปในเอเชียแปซิฟิก มีฐานะเป็นตัวแทนของตระกูลโครเมียร์

พฤติกรรมทุกอย่างของเขา ล้วนมีความหมายลึกซึ้ง

“คุณหลิน คุณฉลาดมาก บอกนิดเดียวคุณก็เข้าใจหมดแล้ว” แอนนาพูดด้วยรอยยิ้ม

“ฉันรู้ว่าคุณกำลังสู้รบกับจี้ฉงซาน” แอนนาพูดเรียบเฉย “ตระกูลโครเมียร์ของเรายินดีจะยืนข้างคุณ ช่วยคุณล้มจี้ฉงซาน ขอแค่หลังจากเสร็จงานแล้ว จะได้ส่วนแบ่งในมรดกทางธุรกิจของจี้ฉงซาน”

“คุณหลิน คุณก็เข้าใจ หลังจากที่คุณกลืนบริษัทสาขาเมืองก่างของเราไปแล้ว ตระกูลของเราก็ไม่มีผลกระทบในแวดวงธุรกิจเมืองก่างเลยแม้แต่น้อย”

หลนอิ่งพูด “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องดูว่าของที่คุณเอามานั้น มีมูลค่าเท่าไหร่”

ตระกูลโครเมียร์ถือว่ารู้ความพอดี เรื่องสาขาที่เมืองก่างไม่ได้มาติดตามหาเรื่องอีก เขาเองก็ไม่ถือสาที่จะให้ส่วนแบ่งในเมืองก่างกับพวกเขา

แน่นอน นี่ก็ต้องดูว่าตระกูลโครเมียร์จริงใจแน่ไหน

“คุณหลิน นี่คือแผนการของคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ตในเมืองก่าง เอกสารลับของตระกูลพอร์ตเล็ต” แอนนาพูดอย่างจริงจัง หยิบซองเอกสารออกมาจากกระเป๋า

“คณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ตในเมืองก่างมียอดฝีมือเหนือชั้นมากกว่ายี่สิบคน ทุกคนมีเครือข่ายข่าวกรองในมือตัวเอง มีทีมปฏิบัติการพิเศษพร้อมอาวุธอยู่สามทีม”

“ผู้นำสูงสุดของคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ตในเมืองก่าง ชื่อChloe เป็นผู้ติดต่อระหว่างจี้ฉงซานกับผู้นำชั้นสูงของตระกูลพอร์ตเล็ต”

“ยอดฝีมือที่เก่งที่สุดในเมืองก่างของคณะกรรมการเถ่เสว่ เป็นยอดฝีมือที่มีฝีมือการต่อสู้สูงกว่าระดับA แต่ตัวฐานะไม่ทราบ แค่มีนามเรียกว่าจูบมรณะ”

แอนนาพูดแนะนำอย่างใจเย็น

หลินอิ่งค่อยๆเปิดดูเอกสาร กวาดตามอง

เอกสารฉบับนี้ สำคัญมาก เป็นเอกสารลับภายในของคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ต บันทึกไว้อย่างละเอียด

ไม่รู้ว่าตระกูลโครเมียร์ ใช้วิธีอะไร ถึงได้เอกสารนี้มา

หากมองจากมุมหนึ่ง แอนนาเอาชีวิตทั้งหมดของคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ต ส่งมาที่มือของเขา

ของขวัญชิ้นใหญ่นี้ จะบอกว่าไม่ใหญ่ก็ไม่ได้

“คุณหลิน เป็นยังไง ฉันไม่ได้โกหกคุณใช่ไหม?” แอนนาพูด “ฉันว่า ตอนนี้ พวกเราน่าจะเป็นเพื่อนกันได้แล้ว เรียกว่าเป็นเพื่อนกันได้หรือยัง?”

“ตระกูลโครเมียร์ของเราสำหรับเพื่อน ซื่อสัตย์และเชื่อใจได้แน่นอน”

หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “หลังจากทุกอย่างเสร็จแล้ว เมืองก่าง จะมีจุดยืนสำหรับตระกูลพวกคุณ”

“ฉันเชื่อในความสามารถของคุณ” แอนนาพูดอย่างยิ้มแย้ม

“คุณหลิน ฉันไม่รบกวนเวลาทำงานของคุณแล้ว” แอนนาค่อยๆลุกขึ้น “วันมะรืน ตระกูลโครเมียร์จะเปิดบริษัทสาขาเมืองก่าง จะจัดพิธีเปิดงาน ฉันขอเรียนเชิญคุณหลิน ให้ความกรุณามาร่วมงานกัน”

พูดไป แอนนายืนขึ้นแล้วยื่นมือออกไป ใบหน้ายิ้มแย้ม “หวังว่าพวกเราจะร่วมงานกันอย่างมีความสุข”

หลินอิ่งค่อยๆลุกขึ้น ยื่นมือไปจับมือกับแอนนาด้วยมารยาท

“คุณหลิน ฉันรอข่าวดีจากคุณ”

แอนนาตาพราวเสน่ห์ มือนุ่มดุจน้ำนม จับหลังมือหลินอิ่งอย่างเสียดายไม่อยากปล่อย

จากนั้น มุมปากเธอก็ยิ้มขึ้น แล้วเดินออกจากออฟฟิศประธาน

หลินอิ่งส่ายหน้า

แอนนาคนนี้ หน้าตาอันสวยงามแล้วก็หุ่นอันเซ็กซี่นั้น ยังมีบุคลิกและผิวพรรณ ล้วนเป็นความสวยงามที่บรรดาผู้ชายทั้งหลายวาดฝันกัน เป็นผู้หญิงเจ้าปัญหาคนหนึ่งแน่นอน

ถ้าหากไม่ใช่หลินอิ่งเป็นคนใจหนักแน่น

ต้องทนรับการโจมตีแบบนี้ไม่ไหวแน่นอน

แต่ว่า แอนนาก็ถือว่าช่วยเหลือเขา

ถ้าหากไม่ใช่เขาที่นำข่าวมาบอกถึงที่ แผนการตัดหัวอะไรของคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ต คงต้องนำปัญหามาให้เขาไม่น้อยทีเดียว

“เย่เฮย”

หลินอิ่งมือเปิดเอกสารอยู่ แล้วพูดอย่างเรียบเฉย

“ครับผม”

เย่เฮยปรากฏตัวในออฟฟิศอย่างไร้วี่แวว

“นายดูเอกสารฉบับนี้อย่างละเอียด ตามฉัน ไปจัดการเรื่องนี้”

หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

……

เมืองก่าง เขตเมืองสากลไห่วัน

โรงแรมสากลไห่วันชั้นสิบสอง

ภายในห้องสูทหรูทั้งชั้น ชายหนุ่มต่างชาติในชุดดำแต่ละนายเรียงกันเป็นแถว บนใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยแรงสังหาร

Chloeนั่งอยู่บนโซฟา ในปากมีบุหรี่มวนหนึ่ง

“รูปถ่ายในมือพวกเธอที่ฉันให้ไป ก็คือเป้าหมายการสังหารในปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นหนุ่มคนหนึ่งของประเทศหลุง ชื่อหลินอิ่ง เกิดในตระกูลมหาเศรษฐีแห่งตี้จิง”

Chloeดูดบุหรี่ไปคำหนึ่ง พูดอย่างเชื่องช้า

“จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ผ่านมา ตัวหลินอิ่งหรือบอดี้การ์ดข้างกายเขา มีฝีมือการต่อสู้ระดับAขึ้นไป”

“วิธีการต่อสู้ของหลินอิ่ง ยังไม่ทราบ ได้ยินว่าเขาชอบต่อสู้มือเปล่า”

“เพราะฉะนั้น เวลาพวกเธอลงมือต้องแม่นยำ อย่าให้เขาได้ถืออาวุธเด็ดขาด หรือมีโอกาสเข้าใกล้อาวุธเด็ดขาด”

ชายหนุ่มผิวขาวใส่แว่นตาขอบทอง ยืนออกมาจากแถว

เขาก้มหน้าเคารพด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“รายงานผู้บัญชาการ ข้อมูลที่ท่านให้พวกเรา พวกเราศึกษากันอย่างละเอียดแล้ว ผมจะจัดแผนการสามชุดเพื่อจัดการล่าหัวหลินอิ่ง”

Chloeสูบบุหรี่ พยักหน้าส่งสายตา

ชายหนุ่มตบมือ ก็มียอดฝีมือคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ตหลายคนเดินออกมา

“หัวหน้า แผนAคือแอบติดตั้งอุปกรณ์จับเวลา ระเบิดเขาตายในครั้งเดียว”

“แผนB จัดทีมแม่นปืน จับเวลาสถานที่ ลอบยิงจากที่ไกล”

“แผนC อาวุธพร้อมบุกฆ่า”

ชายหนุ่มพูดไปแล้วโบกมือ

ไม่นาน คณะกรรมการเถ่เสว่หลายคนก็ยกหีบโลหะวางไว้บนพื้น เปิดหีบโลหะออก ด้านในล้วนเป็นอาวุธปืนที่ทันสมัยที่สุดปืนไรเฟิล

นอกจากนี้ ยังมีระเบิดจับเวลาแบบพกพา เครื่องดักฟังต่างๆ เครื่องตัดสัญญาณ อุปกรณ์เทคโนโลยีระดับสูง

“ผู้บัญชาการ สำหรับแผนการทั้งสามชุดขอผมท่านมีความเห็นยังไงครับ? ต้องการปรับยังไงหรือวางแผนใหม่ยังไง?” ชายหนุ่มถามอย่างจริงจัง

Chloeส่ายหน้า พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แผนการพวกนี้ของพวกเธอใช้ไม่ได้ จัดการกับหลินอิ่งไม่ได้”

“แผนการเปลี่ยน ห้ามฆ่าหลินอิ่งโดยตรง ตัดมือตัดขาไม่เป็นไร แต่ต้องเหลือลมหายใจไว้ ต้องไว้ชีวิต”

Chloeสั่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“พวกเธอ จัดทำแผนการใหม่ จำไว้ ต้องเป็นแผนการสำหรับต่อสู้กับยอดฝีมือระดับAขึ้นไป”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท