ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 444 ชั่งน้ำหนักฐานะตัวคุณให้ดี

บทที่ 444 ชั่งน้ำหนักฐานะตัวคุณให้ดี

คำพูดนี้ของหลินอิ่งพูดจบ ก็มีเสียงดังเหมือนระเบิด

ทันใดนั้น ทุกคนเงียบ กลิ่นอายแห่งแรงสังหารปะทุขึ้นมา

หัวหน้ากองพิเศษเฉาและหัวหน้ากรมหลัว รู้สึกถึงแรงสังหารของหลินอิ่ง เหมือนดั่งตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง ขนลุกซู่เหงื่อท่วมตัว

ขณะที่หลินอิ่งเผยใบหน้าอันเย็นเยือกออกมา บรรยากาศแข็งแกร่งรุนแรงมาก

“หลินอิ่ง คุณอยากต่อต้านกองพิเศษหวู่อันเหรอ?” หัวหน้ากองพิเศษเฉากัดฟันพูดอย่างเย็นชา “ผมบอกว่ากับตรวจสอบคุณ คุณก็ต้องยอมรับการตรวจสอบ”

“คุณต้องทำความเข้าใจด้วย เมืองก่าง เป็นสถานที่ที่ยึดหลักกฎหมาย”

หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา

นายแซ่เฉานี่ให้หน้าไม่เอาหน้าจริงๆ

ให้หน้าเขาเรียกคนออกมาให้ตรวจสอบแล้ว มีคำพูดยืนยันจากสมาชิกสมาคมธุรกิจแล้ว ยังจะเล่นไม้นี้อีก? บังคับตรวจค้น?

“หัวหน้ากองพิเศษเฉา สิ่งที่ควรพูด สมาชิกสมาคมล้วนเล่าให้คุณฟังแล้ว คุณพูดแล้วว่า หากเป็นการเข้าใจผิด คุณจะขอโทษต่อหน้าประธานหลิน” ฉู่สงซานสีหน้าไม่พอใจ ยืนออกมาพูด “ตอนนี้ คุณไม่ยอมรับ ยังอยากพาคนกลับไปแยกตัวตรวจสอบ? คุณใช้สิทธิ์อะไร?”

“ประธานหลินให้หน้าคุณแล้วใช่ไหม?”

“กฎหมายเมืองก่าง คุณพูดคนเดียวได้เลยใช่ไหม?”

หัวหน้ากองพิเศษเฉาสีหน้าโมโห ยังอยากพูดอะไรอีก

หลินอิ่งเปิดปากพูดอย่างเย็นชา

“หัวหน้ากองพิเศษเฉา ทางที่ดีคุณโทรศัพท์ให้นายกเทศมนตรีถังของพวกคุณ ถามให้ชัดเจน”

“ว่าเขา กล้ามาใช้ไม้แข็งกับผมไหม?”

คำพูดก็พูดถึงขั้นนี้แล้ว หลินอิ่งไม่พูดอะไรมาก รับน้ำชามาจากมือของฉู่สงซาน ดื่มอย่างใจเย็น

หัวหน้ากองพิเศษเฉาและหัวหน้ากรมหลัวรู้สึกเหมือนขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก พฤติกรรมของหลินอิ่ง แข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้เยอะ

ท่าทางแบบนี้ ถ้าหากฝืนนำคนไป หลินอิ่งอาจทำให้พวกเขาที่นั่งลำบากมากกว่านี้แน่

เพราะว่า พวกเขาสองคนมาในนามส่วนตัว

ถ้าหากเรื่องรุนแรง ก็ใช่ว่าไม่ต้องรับผิดชอบ

“ได้ หลินอิ่ง คุณคอยดู” หัวหน้ากองพิเศษเฉาหยิบโทรศัพท์ออกมา พูดอย่างเย็นชา “ผมจะโทรหานายกเทศมนตรีถังเพื่อรายงานพฤติกรรมทุกอย่างของคุณ”

“ยังเทพบนสวรรค์ก็ทำอะไรคุณไม่ได้? รอคำสั่งเดียวของนายกเทศมนตรีถัง วันนี้ผมก็จะจัดการคดีคุณทันที”

พูดไป หัวหน้ากองพิเศษเฉาก็เดินไปโทรศัพท์ที่หน้าประตู

ในเวลาเดียวกัน อีกฝั่งหนึ่ง

ศาลากลางเมืองก่าง

ภายในออฟฟิศนายกเทศมนตรี

ถังคังเจิ้นยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน สีหน้าเคร่งเครียด

ตรงข้ามเขา เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่สีหน้าเคร่งขรึม แต่งกายสุภาพเรียบร้อย

ผู้ชายคนนี้ ก็คือหัวหน้าสำนักสืบสวนตี้จิงที่รายงานเรื่องงานให้กับหลินอิ่งที่ร้านอาหารผองเฟยครั้งก่อน

แต่ว่าวันนี้ เขาเปลี่ยนเป็นชุดทำงานสีดำ บนบ่าเป็นสัญลักษณ์พิเศษจากหน่วยงาน ซึ่งหมายถึงตำแหน่งฐานะที่ไม่เหมือนกัน

“สหายถังคังเจิ้น ผมเป็นตัวแทนท่านหลุยกงเพื่อมาคุยกับคุณ”

ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ถังคังเจิ้นเหงื่อท่วมหน้าผาก มองดูตราสัญลักษณ์บนบ่าของชายหนุ่ม พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เชิญพูด”

“ท่านหลุยกงพูดแล้ว สื่อข่าวในเมืองก่าง ต้องซื่อสัตย์ยุติธรรม”

“เศรษฐกิจเมืองก่าง ก็ต้องซื่อสัตย์ยุติธรรม ห้ามให้พวกนักเก็งกำไรบางส่วน ทำการผูกขาดตลาด”

“คุณ ใกล้จะล้ำเส้นแล้ว”

คำพูดสามประโยชน์พูดจบ ชายหนุ่มก็ปิดปากเงียบ ให้ถังคังเจิ้นไปคิดเอง

ถังคังเจิ้นสีหน้าเปลี่ยน แววตาตะลึง

ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคำพูดของท่านหลุยกง หมายความว่าอะไร

ท่านหลุยกงออกคำพูดเองแล้ว

ท่านหลุยกงแห่งตี้จิง ถึงแม้เขาจะไม่เคยได้เจอ แต่ว่านั่นอยู่ในอันดับอำนาจแห่งชาติ ลำดับหนึ่งแห่งตี้จิงภายใต้จักรพรรดิ

ตำแหน่งสูงหนึ่งระดับก็ทับคนตาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นั่นคือลำดับผู้นำประเทศ

ชายหนุ่มนั่งลงบนที่นั่งแล้วพูดว่า “สหายถังคังเจิ้น คุณควรดีใจ ที่คุณไม่ได้ถลำเกินไปในเรื่องของจี้ฉงซาน มิฉะนั้น ตอนนี้คนที่มาคุยกับคุณ ก็ไม่ใช่ผมแล้ว”

“แต่เป็น คนของกองทหาร”

ถังคังเจิ้นเหงื่อไหลท่วมตัว คำพูดทุกคำของชายหนุ่ม ล้วนเป็นข่าวที่ทำให้ตกตะลึง เหมือนกับถูกค้อนทุบอกอย่างแรง ทำให้เขาป้องกันไม่ทัน

กองทหาร? ท่านหลุยกง?

ไอ้เด็กหนุ่มหลินอิ่งคนนั้น มีความสามารถถึงขั้นนี้? ได้หน้าถึงขนาดนี้?

มีเรื่องกับเทพเทวดาตัวจริงแล้ว

“ผมยังบอกคุณได้อีก ครั้งที่แล้ว จี้ฉงซานอยู่ที่ตี้จิง ไม่ได้ไปทักทายท่านหลุยกง กลับไปหาเรื่องหลินอิ่ง สร้างเรื่องใหญ่ภายใต้สายตาท่านหลุยกง” ชายหนุ่มพูดอย่างจริงจัง “จี้ฉงซานหาเรื่องใส่ตัว ทำให้ท่านหลุยกงอึดอัดใจ เรื่องนี้ทำให้ท่านหลุยกงโกรธมาก”

“เพราะฉะนั้น คุณชั่งน้ำหนักตำแหน่งฐานะของตัวเองให้ดี ว่าควรทำงานยังไง”

พูดถึงตรงนี้ ชายหนุ่มหันไปมองถังคังเจิ้นเป็นพิเศษ

สายตานี้ มองจนถังคังเจิ้นตกใจหวาดกลัว

ท่านหลุยกงยังอึดอัดใจแล้ว?

ท่านหลุยกงมีความเห็นอย่างหนักต่อจี้ฉงซาน?

ข่าวนี้ ทำให้ถังคังเจิ้นตกใจจนยืนทื่ออยู่กับที่

“ผม ผมเข้าใจแล้ว​” ถังคังเจิ้นเช็ดเหงื่อตัวเอง แล้วพยักหน้าอย่างหนักแน่น

“รบกวนคุณกลับไปแจ้งให้ท่านหลุยกงทราบด้วย ผมรู้แล้วว่าควรทำยังไง” ถังคังเจิ้นพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“นายกเทศมนตรีถัง คุณเป็นคนฉลาด มากกว่านี้ผมก็ไม่พูดแล้ว”

ชายหนุ่มพยักหน้า ลุกขึ้นหันตัวเดินออกจากออฟฟิศนายกเทศมนตรี

เดินออกจากประตู เขาก็โทรศัพท์

“คุณหลิน จัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทางด้านท่านหลุยกง ให้ผมบอกคุณว่า กลับตี้จิงเมื่อไหร่ เชิญคุณไปทานข้าวที่ตำหนักหลุยกงด้วยกัน”

……

“อะไรนะ นายกเทศมนตรี ท่าน ท่านบอกให้ผม?”

นอกประตูแผนกรับรอง เป็นเสียงของหัวหน้ากองพิเศษเฉาที่พูดอย่างตกใจ

มือของเขาถือโทรศัพท์ กำลังคุยโทรศัพท์ แต่มือกำลังสั่น กล้ามเนื้อใบหน้าแข็งทื่อ แววตาหวาดกลัว เหมือนกับได้รับการข่มขู่อย่างรุนแรง

“ครับ ครับ ท่านนายกเทศมนตรีถัง ท่านวางใจ ผมจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรม”

“ให้หัวหน้ากรมหลัวรับโทรศัพท์? ได้ครับ ได้ครับ”

หัวหน้ากองพิเศษเฉาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าซีดขาว สายตาที่มองหลินอิ่ง เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ยืนโทรศัพท์ในมือให้หัวหน้ากรมหลัว

“นี่นี่นี่……”

หลังจากหัวหน้ากรมหลัวรับโทรศัพท์แล้ว ตะลึงตาค้าง สีหน้าซีดขาว

หลังจากคุยโทรศัพท์จบแล้ว หัวหน้ากรมหลัวทั้งสองคน ก็เหมือนกับร่างไร้วิญญาณ แววตาที่มองหลินอิ่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ขอ ขอโทษครับ คุณหลิน ผมขอโทษท่านด้วยความจริงใจ เรื่องในวันนี้ เป็นความผิดของพวกเรา” หัวหน้ากองพิเศษเฉารีบขอโทษ ก้มหน้าต่อหน้าหลินอิ่ง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง

“คุณหลิน เรื่องในวันนี้ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด หวังว่าคุณจะยกโทษให้ในความผิดพลาดของพวกเรา”

ภาพนี้ ทำให้ทุกคนในที่นี่ตะลึง ทุกคนมองหัวหน้ากองพิเศษทั้งสองด้วยแววตาตะลึง ก้มหน้าขอโทษต่อหน้าหลินอิ่งอย่างถ่อมตัว

นี่มันเรื่องอะไรกัน?

ทำไมแค่รับโทรศัพท์ไปสายเดียว ทั้งสองคนก็หมดไฟแห่งความยโสอวดดีไปอย่างสิ้นเชิง รีบขอโทษหลินอิ่งทันที?

หลินอิ่ง นี่ใช้วิธีอะไรกันแน่? ถึงทำให้ถังคังเจิ้นที่อยู่เบื้องหลังสองคนนี้ ต้องก้มหัวอย่างไม่มีทางเลือก?

“ไม่มีครั้งที่สอง พาคนของพวกคุณ ออกไป”

หลินอิ่งดื่มน้ำชา พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ครับ คุณหลิน ไม่มีครั้งต่อไปแล้วครับ”

หัวหน้ากรมหลัวทั้งสองคนเหมือนยกภูเขาออกจากอก เหงื่อท่วมหัว หมุนตัวกลับด้วยความหวาดกลัว รีบพาคนจากไป

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท