ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 452 ลบล้างคณะกรรมการเถ่เสว่

บทที่ 452 ลบล้างคณะกรรมการเถ่เสว่

“เหอะเหอะ ฉันเข้าใจความหมายประโยชน์นี้ของประเทศหลุง” เจสันพูดด้วยสีหน้าหยอกล้อ “นายคิดว่าพวกเราดูถูกนายแล้ว?”

“โอ้ พูดตามตรง ไม่ใช่ฉันดูถูกประเทศหลุงของพวกคุณ ประเทศหลุงของพวกนายก็ให้กำเนิดแค่พวกขยะน้อยเท่านั้น” เจสันพูดด้วยสีหน้าดูถูก

“นายก็ไม่มีข้อยกเว้น ฉันดูถูกไอ้ขยะน้อยอย่างนาย”

เจสันตะโกนพูดอย่างไม่ใส่ใจ ในมีจับมีดผีเสื้อเล่นไปมา สะบัดไปมาชิ๊วชิ๊วจนแปร่งประกายแสง ดูแล้วฝีมือเทคนิคสูงมาก

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย มองไปที่เจสันด้วยแววตาเฉยชา

เจสันร่างกายบึกบึน ผมทองเต็มหัวปิดดวงตาอันโหดเหี้ยมดุจหมาป่าอันดุร้าย แปร่งประกายแรงสังหารทั้งตัว ร่างกายมีบุคลิกพิเศษ

หลินอิ่งแค่ดูก็รู้ ว่าเจสันไม่ใช่คนธรรมดา

ในโลกมืดเวสต์แลนส์ มีเทคโนโลยีต่างๆนานาในการเปลี่ยนแปลงร่างกายมนุษย์ และวิธีการฝึกฝนบางชนิดในวิชาโบราณประเทศหลุง สามารถปรับเปลี่ยนร่างกายได้ถึงระดับที่ไม่อาจคาดคิดได้

แน่นอน เจสันคนนี้มีความมั่นใจอย่างอวดดีเช่นนี้ มาจากร่างกายอันแข็งแกร่งและฝีมือความสามารถของตัวเขา

“หลินอิ่ง ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ความสามารถในการสืบข่าวของนายจะเก่งขนาดนี้ แม้แต่ข่าวของคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ตของเราก็หาได้” Chloeพูดเสียงขรึม “บอกฉันมา ว่าใครเป็นคนให้ข่าวนาย? ฉันจะให้นายตายอย่างสบายหน่อย”

หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ “รวบรวมข้อมูลของพวกคุณยากมากเหรอ?”

“ดูแล้ว นายมีความมั่นใจมาก กล้ามาหาถึงที่ นี่หมายความว่า นายไม่มีคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ตของเราอยู่ในสายตาเลย” Chloeพูด “แต่ว่า พฤติกรรมของนายก็ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย นายดูถูกคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ตของเรามากเกินไปแล้ว”

“ในเมื่อนายไม่ยอมพูด ถ้าอย่างนั้น ฉันก็จะขุดความลับออกมาจากปากนายเอง” Chloeพูดเสียงเย็นชา “เจสัน ไอ้เด็กนี่ก็ให้เป็นหน้าที่นายละกัน”

ในใจChloeรู้สึกโมโหมาก หรือบอกได้ว่าโกรธอย่างหาคำเปรียบไม่ได้ พฤติกรรมของหลินอิ่งก็คือการดูถูกคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ต เป็นการเหยียดหยามถึงที่สุด

เป็นถึงตระกูลอันดับหนึ่งในโลกมืดเวสต์แลนส์อย่างคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ต องค์กรพิเศษที่ให้บริการตระกูลพอร์ตเล็ตมานานนับร้อยปี ผลงานการสู้รบถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์สงครามโลกนับครั้ง แต่กลับถูกเด็กหนุ่มประเทศหลุงคนหนึ่งทำเป็นเรื่องล้อเล่น รู้ข้อมูลข่าวกรองล่วงหน้า และยังพาคนบุกมาหาเรื่องถึงที่?

นี่เป็นความอับอายแห่งประวัติศาสตร์ของคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ต ทำลายชื่อเสียงคณะกรรมการเถ่เสว่อย่างสิ้นเชิง

“อืม ผมขอคิดดูก่อน จะจัดการไอ้ขยะประเทศหลุงตัวน้อยนี่ยังไง? จะใช้มีดผีเสื้อนี่ค่อยๆแล่เนื้อตัดเอ็นทีละเส้น หรือจะใช้ค้อนทุบหัว ทุบกระดูกหัวแตกอย่างละเอียด?”

เจสันยิ้มอย่างคิดสนุก เลียริมฝีปาก สายตาดูบ้าคลั่ง จ้องหน้าหลินอิ่งท่าทางเหมือนโรคจิต

คนที่คุ้นเคยกับเจสัน ล้วนรู้ว่าเขาเป็นคนบ้าคลั่งโรคจิต ชอบทรมานคู่ต่อสู้จนตาย

ไม่ว่าคนที่จิตใจแข็งแกร่งแค่ไหน ภายใต้การทรมานบีบเคล้น ล้วนทนไม่ไหวทั้งนั้น

ชิ้ว

วินาทีนั้น เจสันเก็บมีดทันที พุ่งเข้าหาหลินอิ่งเหมือนดั่งลมกระโชก

ร่างกายของเขาเหมือนดั่งวิญญาณเคลื่อนไหวไม่คงที่ ดูไม่เข้าใจในท่าทางการเคลื่อนไหวของเขา

ในหนึ่งวินาที ถึงไม่ถึง มีดถึงก่อน

มีดผีเสื้อด้ามหนึ่งที่เคลือบยาพิษไว้ ประกายแสงเย็นชา ฉายแสงทั่วห้อง ใบมีดทิ่มไปทางคอของหลินอิ่ง

สิ่งที่ตามมา ก็คือร่างของเจสันลงมา ยื่นมือไปจับไหล่หลินอิ่ง

มุมที่เจสันลงมือ เวลาในการลงมือ มีเล่ห์เหลี่ยมมาก และแม่นยำมาก

ความเร็ว พลัง เทคนิค ล้วนไม่มีที่ติ จนถึงขั้นขีดจำกัดของมนุษย์

มุมปากหลินอิ่มโค้งขึ้นได้รูป มือไขว้หลังยืนอยู่กับที่ ไม่สะทกสะท้าน

ใบหน้าเจสันยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ สายตาประกายแววได้ใจ

ฝีมือนี้ หลินอิ่งตอบสนองไม่ทัน? นั่นก็คือไอ้ขยะไร้ประโยชน์คนหนึ่งจัดการได้เพียงท่าเดียวเหรอ?

ติ๊ง

เสียงโลหะแตกอย่างคมชัดดังขึ้นมา

ทุกคนในนี้ดูภาพนี้ด้วยความตะลึงอ้าปากตาค้าง เกิดขึ้นแล้ว

ปลายคมของมีดผีเสื้อ ตาเห็นเหลืออีกเพียงหนึ่งนิ้วก็จะทิ่มเข้าคอของหลินอิ่งแล้ว แต่กลับถูกเขาใช้สองนิ้วหนีบไว้อย่างเหลือเชื่อ เข้าใกล้ไม่ได้อีกแม้แต่นิดเดียว

มีดผีเสื้อถูกหลินอิ่งหักทิ้งด้วยสองนิ้ว

สีหน้ายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ของเจสัน ก็ค่อยๆเปลี่ยนสี กล้ามเนื้อใบหน้าแข็งทื่อ

ปัง

หลินอิ่งฟาดเท้าขึ้น ถีบเจสันกระเด็นออกไกลสิบเมตรเหมือนหมา ล้มลงที่ขอบผนังห้องอย่างแรง ร่างกายเหมือนดั่งลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม ซี่โครงถูกถีบจนหักไปหลายเส้น ดันตัวเองไว้กระอักเลือดอยู่ที่พื้น

“เคกเคกเคก”

เจสันกระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง ในตาก็มีเส้นเลือดออกมา แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตะลึง

“นี่”

“ผู้นำอันเดด”

คณะกรรมการเถ่เสว่ที่อยู่ในเหตุการณ์ ล้วนร้องออกมาด้วยเสียงแห่งความตกใจ มองภาพเหตุการณ์อย่างไม่อยากเชื่อ

นักฆ่าระดับประเทศ ยอดฝีมือชั้นสูงแห่งคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ต ผู้นำอันเดดในโลกมืด เจสัน ถูกชายหนุ่มประเทศหลุงคนหนึ่งถีบจนไม่รู้เป็นหรือตาย?

หลินอิ่งแห่งประเทศหลุงคนนี้ เป็นสัตว์ประหลาดอะไรกันเนี่ย?

Chloeดูสภาพอันทรหดของเจสันแล้ว สีหน้าตกตะลึง รีบตั้งตัวและโบกมือ

“ลงมือ”

ทันใดนั้น ชายหนุ่มยอดฝีมือคณะกรรมการเถ่เสว่ทั้งหลายที่เตรียมตัวพร้อม ท่าทางถนัดสะบัดมือก็หยิบปืนDesert Eagleออกมา

ขณะเดียวกันกับที่พวกเขาจะไล่ไกปืนนั้น

ปัง ปัง ปัง ปัง

พวกเย่เฮยหยิบปืนเร็วกว่ายอดฝีมือชั้นเยี่ยมอย่างพวกเขา

จากการกราดยิงลงมา กระสุนทุกนัดยิงไปที่แขนของกลุ่มยอดฝีมือต่างประเทศเหล่านั้นอย่างแม่นยำ จนปืนพวกเขาร่วงลงทุกคน

“เอื้อกอ๊าก”

“อ้ากอ้ากอ้าก”

ภายในห้อง เป็นเสียงร้องโหยหวนอย่างน่ากลัว

ทุกคนของคณะกรรมการเถ่เสว่ ล้วนถูกยิงจนเลือดสาด ล้มลงร่างกระตุกที่พื้น

เพียงแค่เสี้ยววินาที ก็ตัดสินแพ้ชนะ

“นี่ พวก พวกแก”

Chloeตกใจจนหน้าซีด นั่งเหงื่อไหลท่วมหน้าผากอยู่บนโซฟา ไม่กล้าเงยหน้าไปมองตาอันเลือดเย็นของหลินอิ่ง

น่ากลัวมาก

ยอดฝีมือชั้นเยี่ยมในมือตัวเองอย่างเจสัน ไม่เพียงแค่สู้หลินอิ่งไม่ได้

แม้แต่อาวุธปืนมืออาชีพ ก็ยังสู้ลูกน้องที่หลินอิ่งพามาไม่ได้

ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ

ยอดฝีมือในคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ตนั้นคัดสรรมาจากยอดเป็นมือเป็นหมื่น โดยเฉพาะความสามารถในการควบคุมอาวุธปืนนั้น ระดับอยู่เหนือโลกแน่นอน

ปรากฏว่า ขณะที่ลงมือพร้อมกัน จะแตกต่างกันได้ถึงเพียงนี้ ถูกลูกน้องของหลินอิ่งลั่นไกก่อน? ยิงจนล้มลงไปหมดแล้ว?

แล้วนี่จะไปสู้กับหลินอิ่งยังไง?

“นาย นายเป็นคนที่ไหนกันแน่? ทำไมถึงได้เก่งกาจถึงขั้นนี้?” Chloeกัดฟันแน่น พูดอย่างไม่พอใจ

ศักดิ์ศรีและความทะนงของChloeถูกกระทบอย่างแรง

“เอาตัวไอ้แก่นี่ลงไปสอบถาม”

หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

“ให้ชื่อของคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ต ลบล้างออกจากเมืองก่าง”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท