ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 467 คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ผม

บทที่ 467 คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ผม

“หลินอิ่ง นาย นี่อะไรกัน?”

จ้าวเฉินเฉียนมองภาพในออฟฟิศ หลินอิ่งและแอนนา ชายหนึ่งหญิงหนึ่งอยู่ในห้องเดียวกัน

โดยเฉพาะ สีหน้าแอนนาแดงก่ำ

เขาแววตาตกใจ ในใจเขารู้สึกนับถือ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโมโห

“หลินอิ่ง นายนี่มันเจ้าชู้ไม่เลือกที่จริงๆ” จ้าวเฉิงเฉียนพูดเสียงเคร่งขรึม “น้องสาวฉันจ้าวหลินเอ๋อร์ หานายหาแทบเป็นแทบตาย แต่นายกลับสนุกขนาดนี้ ใช้เวลากับสาวสาย?”

หลินอิ่งมองจ้าวเฉิงเฉียน สายตาเย็นชา

“ฮาเดส ปล่อยเขาเข้ามาได้ยังไง?”

“นี่……” ฮาเดสสีหน้าหนักใจ ไม่รู้ควรตอบยังไง

เขาขวางแล้ว แต่ขวางยอดฝีมือข้างกายจ้าวเฉิงเฉียนสองคนนั้นไม่ได้

“ฉันจ้าวเฉิงเฉียนหานาย ลูกน้องนายจะขวางได้หรือ?” จ้าวเฉิงเฉียนหัวเราะเย็นชา พูดอย่างมั่นใจ

ได้ยินแล้ว หลินอิ่งแววตาเย็นชา

“ถ้าพูดแบบนี้ ก็แสดงว่านายบุกเข้ามา?”

“ถิ่นของฉันหลินอิ่ง นายก็กล้าบุกเข้ามา?”

มาโดยไม่ได้รับเชิญ ยังบุกเข้ามาถึงบริษัท

จ้าวเฉิงเฉียนคนนี้ คิดว่าตัวเองเป็นคุณชายอันดับหนึ่งแห่งตี้จิง ตัวหอยอย่างกับอะไร

“ใช่แล้วยังไง? ฉันมาหานาย หรือจะต้องทักทายกับนายก่อน?” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างยโส

“ฉันจะนายให้นะ หลินอิ่ง ฉันมาหานายครั้งนี้ มีอยู่สองเรื่อง”

จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างเปิดอก “เรื่องที่หนึ่ง เกี่ยวกับกลุ่มสาขาย่อยของแก๊งหยางเหมินในเมืองก่าง”

“เรื่องที่สอง เกี่ยวกับเรื่องของน้องสาวฉัน จ้าวหลินเอ๋อร์”

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย เรื่องของสำนักแก๊งหยางเหมินเมืองก่าง จ้าวเฉิงเฉียนเป็นเจ้าสำนักเมืองก่าง มาหาถึงที่ก็เป็นไปได้

ส่วนเรื่องของจ้าวหลินเอ๋อร์ ไร้สาระสิ้นดี

จ้าวหลินเอ๋อร์ใช้นิสัยคุณหนู จ้าวเฉิงเฉียนเป็นพี่ชาย กลับเล่นบ้าตามเธอ?

“คุณหลิน คุณคงยุ่งมาก ฉันขอตัวก่อนนะ”

แอนนานั่งดูอยู่ข้างๆ พูดอย่างรู้สึกสนุก

เธอไม่รู้จักจ้าวเฉิงเฉียน แต่ดูท่าทางแล้ว จ้าวเฉิงเฉียนก็มีที่มาไม่ธรรมดา มีเรื่องสำคัญต้องคุยกับหลินอิ่ง

หลินอิ่งพยักหน้า “นายกลับไปได้”

“ได้ คุณหลิน พวกเราเจอกันครั้งหน้า” แอนนาพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง โบกมือไปมา เดินออกไปจากออฟฟิศอย่างสง่า

จ้าวเฉิงเฉียนหรี่ตาเล็กน้อย มีความโมโหในแววตา

หลินอิ่งพูดจายิ้มแย้มกับโครเมียร์ แอนนา ต่อหน้าเขา

ไม่ได้มีเขาจ้าวเฉิงเฉียน ตระกูลจ้าวตี้จิง อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

เป็นผู้ชายที่มีสัญญาหมั้นหมายกับตระกูลจ้าว กลับทำเรื่องแบบนี้ ยังมีประเพณีอยู่ไหม

ถ้าไม่เห็นแก่ฐานะเบื้องหลังของโครเมียร์ แอนนา ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น จ้าวเฉิงเฉียนลงมือจับตัวไว้ทันทีแน่ เอากลับไปให้น้องสาวของตัวเองจ้าวหลินเอ๋อจัดการผู้หญิงสำส่อนคนนี้

“หลินอิ่ง ดูแล้วนายไม่เห็นฉันอยู่ในสายตาเลยนะ” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างเย็นชา “ต่อหน้าฉัน ยังพูดจายิ้มแย้มกับโครเมียร์ แอนนาอีก? แกเอาสัญญาหมั้นหมายกับตระกูลจ้าวไปไว้ไหน?”

หลินอิ่งแววตาเรียบเฉย นั่งลงไปที่เก้าอี้ทำงาน ยกน้ำชาขึ้น จีบไปคำหนึ่ง

“เรื่องสัญญาหมั้นหมายของตระกูลจ้าว ฉันเคยบอกแล้ว นั่นเป็นเรื่องที่ตระกูลฉีหมั้นหมายเอง นายจะหา ก็ไม่หาคนของตระกูลฉี” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “อีกอย่าง ฉันก็พูดกับน้องสาวนายอย่างชัดเจนแล้ว พวกนายจะมาเอาเรื่องให้ได้ ฉันจะได้เขียนหนังสือถอนหมั้นให้นายท่านตระกูลจ้าว”

“อวดดี สามหาว”

จ้าวเฉิงเฉียนโมโห ถูกคำพูดของหลินอิ่งทำให้โมโห

“แกเห็นตระกูลจ้าวของเราเป็นตระกูลอะไร? เห็นน้องสาวฉันเป็นผู้หญิงอะไร?” จ้าวเฉิงเฉีนพูดอย่างเคร่งขรึม “ยังหนังสือถอนหมั้น? แกอยากเหยียดหยามน้องสาวจ้าวหลินเอ๋อร์ของฉันเหรอ? อยากเหยียบหน้าตระกูลจ้าวของเราให้จมดินใช่ไหม?”

หลินอิ่งดื่มชาไปคำหนึ่ง แล้วส่ายหน้า “ไม่อย่างนั้นละ? นายต้องการอะไร? ฉันเคยได้ยินบังคับแต่ง ยังไม่เคยได้ยินบังคับสู่ขอ”

“เหอะ” จ้าวเฉิงเฉียนทำเสียงเย็นชา “แกจะหลงตัวเองเกินไปแล้ว ถ้าจะยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย ต้องก็เป็นตระกูลจ้าวของเราที่เขียนหนังสือถอนหมั้น ถอนหมั้นแกหลินอิ่ง ตระกูลจ้าวของเราเป็นฝ่ายถอนหมั้น ไม่ใช่แกถอนหมั้น แกมีสิทธิ์อะไรทำแบบนี้?”

หลินอิ่งส่ายหน้า คุณชายจ้าวคนนี้ แม้แต่สถานการณ์ยังแยกแยะไม่ออก ก็คิดอยากรักษาหน้าตระกูลจ้าวของพวกเขา

“ถ้าเป็นเพราะเรื่องไร้สาระแบบนี้ ก็ไม่ต้องมาหาฉันอีก ทัศนคติของผม ชัดเจนมากแล้ว” หลินอิ่งพูดอย่างเฉยชา

“เหอะเหอะ ทัศนคตินายทำอะไรได้?” จ้าวเฉิงเฉียนพูดเสียงเย็นชา

“อีกอย่าง หลินอิ่ง เรื่องสาขาแก๊งหยางเหมินเมืองก่าง แกคิดจะปล่อยมือเมื่อไหร่?” จ้าวเฉิงเฉียนเปลี่ยนเรื่อง ถามต่อ

“ก่อนหน้านี้นายบอกให้หรงหยังช่วยนายทำงาน ฉันเห็นแก่หน้านายท่านตระกูลจี้ ไม่ได้ไปยึดสาขาแก๊งหยางหหมินที่หรงหยังดูแลอยู่” จ้าวเฉิงเฉียนพูดเรียบเฉย “วันนี้ จี้ฉงซานล้มแล้ว ธุระก็ทำเสร็จแล้ว นายควรเอาอำนาจแก๊งหยางเหมินคืนมาให้ฉันได้แล้ว”

หลินอิ่งมองจ้าวเฉิงเฉียนอยู่นาน

“นั่นไม่ใช่สาขาย่อยของแก๊งหยางเหมินเมืองก่างแล้ว หรงหยังหันมาทำงานให้ฉันแล้ว เปลี่ยนเจ้าเปลี่ยนสำนักแล้ว”

“อะไร? เปลี่ยนสำนัก? หรงหยังมันกล้าดียังไง” จ้าวเฉิงเฉียนแววตาเย็นชา สีหน้าโมโห “หลินอิ่ง เรื่องของหรงหยังเกี่ยวข้องกับแก๊งหยางเหมิน ไม่มีช่องว่างในการเจรจาทั้งนั้น ฉันเตือนนายอย่ายื่นมือยาวเกินไป”

“สาขาย่อยแก๊งหยางเหมิน แก๊งหยางเหมินของเราต้องเอากลับมาแน่นอน” จ้าวเฉิงเฉียนพูดเสียงเรียบ “นายอย่าคิดว่านายล้มจี้ฉงซานได้แล้ว ก็ทำอะไรได้ตามใจชอบในเมืองก่าง กฎระเบียบในแวดวงผู้ลึกลับ นายต้องทำความเข้าใจด้วย”

“กฎระเบียบในแวดวงผู้ลึกลับ?” หลินอิ่งหัวเราะออกมา

จ้าวเฉิงเฉียนมาคุยเรื่องกฎระเบียบแวดวงผู้ลึกลับ?

หัวหน้าแห่งแวดวงผู้ลึกลับเมืองก่าง ท่านมังกรดำขององครักษ์มังกรดำ จนวันนี้ยังไม่กล้าเผยโฉมหน้ามาให้เห็นเลย

แก๊งหยางเหมิน ยังกล้าพูดเรื่องกฎระเบียบต่อหน้าตัวเอง

“หลินอิ่ง หรงหยัง นายเอาไปได้ ฉันไม่ไปชำระบัญชีกับมัน แต่ว่า อำนาจและกิจการของสาขาย่อยแก๊งหยางเหมินเมืองก่าง นายต้องส่งมาที่มือฉัน” จ้าวเฉิงเฉียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

หรงหยังหันไปพึ่งหลินอิ่ง ไม่เป็นไร

เพราะว่าหรงหยังไม่ได้จงรักภักดีกับเขา เขาในฐานะเจ้าสำนักแก๊งหยางเหมิน ก็ไม่ได้ขาดยอดฝีมือรายการคนอย่างหรงหยังคนเดียว สู้ช่วยหลินอิ่งให้เขาติดหนี้บุญคุณดีกว่า

ไม่ว่ายังไง น้องสาวของเขายังตั้งความหวังไว้ในตัวหลินอิ่ง ไอ้เด็กนี่รู้จักบุญคุณ

จ้าวเฉิงเฉียนคิดในใจ มองหน้าหลินอิ่งอย่างจริงจัง

“เป็นไปไม่ได้”

หลินอิ่งปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

“ตอนนี้หรงหยังเป็นคนของฉันช่วยฉันทำงาน นายบอกให้เขาส่งอำนาจธุรกิจในมือให้นาย ก็ต้องส่งเหรอ?” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง “ให้นายทำแบบนี้ จากนี้ไป ฉันจะนำคนยังไง?”

“นาย หลินอิ่ง นายจะเกินไปแล้วนะ” จ้าวเฉิงเฉียนแววตาเฉียบคม จ้องหน้าหลินอิ่งตาไม่กะพริบ

“ถ้าไม่เห็นแก่หน้าน้องสาวฉัน ท่าทางอวดดีของนาย โดนฉันตบหน้าแบนไปแล้ว” จ้าวเฉิงเฉียนพูดเสียงเคร่งเครียด

หลินอิ่งส่ายหน้า มุมปากยิ้มอย่างเย็นชา

จ้าวเฉิงเฉียนจับแหวนหยกตัวเอง แววตาเย็นชา เริ่มมีแววความโหดเหี้ยมในตัว

“นายนี่มันให้ลูกอมไม่เอาจะเอาหมัดใช่ไหม ให้โอกาสแล้วนายไม่เอา”

“วันนี้ ฉันจะเอาตัวนายไปขอโทษต่อหน้าน้องสาวฉันจ้าวหลินเอ๋อร์ ตามด้วยจัดการเรื่องของหรงหยันไปพร้อมกัน”

จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างหนักแน่น คิดจะใช้ไม้แข็งลงมือแล้ว

เขาเป็นเจ้าสำนักแก๊งหยางเหมิน ยังเป็นคนโหดที่ฆ่าเจ้าสำนักอีกสองคนถึงได้ขึ้นมาอยู่ตำแหน่งนี้ได้ ต้องมีฝีมือกังฟูที่ไม่ธรรมดาแน่

จ้าวเฉิงเฉียนยังคงไม่เกรงกลัว

หลินอิ่งมองจ้าวเฉิงเฉียนอย่างสนใจ พูดว่า “นายไม่ใช่คู่ต่อสู้

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท