ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 477 รู้ว่ากำลังพูดกับใครอยู่ไหม?

บทที่ 477 รู้ว่ากำลังพูดกับใครอยู่ไหม?

พูดไป จ้าวซานก็เดินวิ่งไปที่หน้าประตูด้วยความโมโห หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร

เขาสีหน้าไม่พอใจ จ้องหน้าหลินอิ่งกับฉินฝู้กุ้ยอย่างโหดเหี้ยม

เพราะว่า ในสายตาเขา คนอย่างหลินอิ่งกับฉินฝู้กุ้ย ก็เป็นเหมือนดั่งคนรับใช้เท่านั้น

คนต่ำต้อยแบบนี้ ยังกล้ามาอวดดีกับคุณชายแห่งตี้จิงอีก?

ติ๊ดติ๊ดติ๊ด

หลังจากโทรไปหลายสาย จ้าวซานรับโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยสีหน้าเคารพ พูดอย่างระมัดระวัง “คุณหนูใหญ่ ผมอยู่ในบริษัทของฉินฝุ้ยกุ้ย ฉินฝู้กุ้ยไม่ยอมให้ความร่วมมือในการทำงาน ปฏิเสธคำสั่งของท่าน ไม่ยอมเซ็นชื่อโอนหุ้นบริษัทเครื่องประดับฉีซื่อ”

“คุณหนูใหญ่ ฉินฝู้กุ้ยมันพูดแบบนี้จริง วันนี้ฉินฝู้กุ้ยมันคุยเรื่องงานกับเพื่อนมันคนหนึ่ง เพื่อนมันคนนี้ปากดีมาก ปีกกล้าขาแข็ง ไม่ได้มีตระกูลจ้าวตี้จิงของเราอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย”

“ใช่เหรอ? เมืองเล็กๆอย่างชิงหยูน ยังกล้ามีคนไม่มีตระกูลจ้าวเราอยู่ในสายตาเหรอ? ฉินฝู้กุ้ยไม่ได้บอกเพื่อนมันเหรอ ว่านายช่วยใครทำงาน?”

ในโทรศัพท์ เป็นเสียงของจ้าวหินเอ๋อร์อันเคร่งขรึม

“คุณหนูใหญ่ ผมพูดแล้ว ผมบอกเพื่อนปากเก่งของฉินฝู้กุ้ยแล้ว ว่าผมทำงานให้ใคร ปรากฏว่า มันกลับพูดว่าตระกูลจ้าวอะไรก็ไม่ใช่ในสายตามัน”

“อีกอย่าง เพื่อนของนายฉินฝู้กุ้ย ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน กล้าพูดว่ามันไม่เคยได้ยินว่าตระกูลจ้าวกับคุณชายอิ่งแห่งตี้จิง ปากกล้ามาก ยังบอกให้ผมไปเรียกคุณชายอิ่งตี้จิงมาอีก ช่างอวดดีมาก”

จ้าวซานพูดจาใส่ไฟในโทรศัพท์อย่างเต็มที่ สีหน้าโมโหอย่างมาก

“กล้าดีจริงๆ จ้าวซาน ให้ฉินฝู้กุ้ยรับโทรศัพท์” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างเคร่งขรึม

“เฮอะ” จ้าวซานทำเสียงเย็นชา สีหน้าได้ใจ “ฉินฝู้กุ้ย คุณหนูให้แกมารับโทรศัพท์ แกระวังไว้ด้วย”

พูดไป จ้าวซานก็เดินเข้าไปอย่างมั่นใจ วางโทรศัพท์ไว้หน้าฉินฝู้กุ้ย

ฉินฝู้กุ้ยสีหน้าตื่นเต้น หันไปมองหลินอิ่ง หลินอิ่งดื่มชาอย่างใจเย็น พยักหน้าเล็กน้อย

ได้รับการตอบรับจากหลินอิ่งแล้ว ฉินฝู้กุ้ยถึงกล้ารับโทรศัพท์

“ฮัลโหล คุณหนูจ้าว ผมคือฉินฝู้กุ้ย” ฉินฝู้กุ้ยพูดอย่างจริงจัง

“ฉินฝู้กุ้ย แกปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหม? แม้แต่คำพูดฉัน ยังกล้าไม่ฟัง?” จ้าวหลินเอ๋อร์ถามอย่างเย็นชา ท่าทางยโส

“ได้ยินว่าเพื่อนแกอวดดีมาก? แกยังไม่ไปห้ามมัน? หรือว่าไม่มีฉันอยู่ในสายตาแล้ว?”

ฉินฝู้กุ้ยพูดเคร่งขรึม “คุณหนูจ้าว ท่านหลินกลับมาแล้ว”

“ท่านหลิน?”

ทางโทรศัพท์ น้ำเสียงจ้าวหลินเอ๋อร์รู้สึกแปลกใจ ลังเลไปครู่หนึ่ง

“ท่านหลินอะไร? หรือว่า?”

“ใช่ ผมกลับมาแล้ว”

หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

“จ้าวหลินเอ๋อร์ มาที่ฉินหยุนโล๋เดี๋ยวนี้ อธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเมืองชิงหยูนให้ชัดเจน”

“ถ้าคุณไม่มีคำอธิบายอย่างชัดเจน ผมจะไปที่ตระกูลจ้าว ไปขอคำอธิบายกับนายท่านตระกูลจ้าวเอง”

น้ำเสียงอันเย็นชาของหลินอิ่งพูดออกไป

ทางโทรศัพท์ฝั่งโน้น ก็เงียบไปครู่หนึ่ง

“ฉันไปฉินหยุนโล๋เดี๋ยวนี้” จ้าวหลินเอ๋อร์พูด

เสียงติ๊ดติ๊ด สายถูกตัดไปแล้ว

“อะไร? ไอ้นี่มัน กล้าวางสายพี่สาวฉัน? ยังกล้าพูดจาอวดดีต่อกับเขา? แกตายแน่ ฉันขอบอกแก” จ้าวซานจ้องหลินอิ่งอย่างเย็นชา ตะโกนพูดด้วยความโมโห

“บ้าไม่รู้ที่ต่ำที่สูง รอพี่สาวฉันมาถึงฉินหยุนโล๋ ต้องต่อยจนแกคุกเข่าลงไปแน่”

“ฉินฝู้กุ้ย ฉันยิ่งดูยิ่งไม่ชอบไอ้ซื่อบื้อนี่ ตอนนี้ฉันให้โอกาสแกครั้งหนึ่ง ต่อยให้มันคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้ รอพี่สาวฉันมา แกจะได้อธิบายถูก”

จ้าวซานออกคำสั่งกับฉินฝู้กุ้ยด้วยท่าทางยโส

ฉินฝู้กุ้ยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ได้พูดอะไรเลย

“โอ้โห ฉันว่าแกนี่มันเหิมเกริมใหญ่แล้ว ไอ้บ้านนอกสองคน ไว้หน้าแล้วยังไม่เจียมตัวอีก?”

จ้าวซานพูดอย่างอวดดี “พี่สาวฉันให้แกฉินฝู้กุ้ยทำงาน นั่นเพราะเห็นแกหน้าพี่เขยฉัน ให้โอกาสแก ไม่อย่างนั้น ไอ้ขยะอย่างแก ไปเป็นหมาให้ตระกูลจ้าวยังไม่มีสิทธิ์เลย ตอนนี้ให้โอกาสแกแสดงผลงาน แกยังไม่รักษาไว้อีก?”

“ฉันนับถึงสาม ถ้าแกยังไม่จัดการไอ้ขยะนี่อีก ฉันจะไปเรียกคนเดี๋ยวนี้ จัดการพวกแกทั้งสองคน”

จ้าวซานจุดบุหรี่มวนหนึ่ง พูดด้วยท่าทางอวดดี ยกมือขึ้น

“ฉินฝู้กุ้ย ช่วงที่ฉันไม่อยู่ นายก็ทำงานให้ตระกูลจ้าวแบบนี้?” หลินอิ่งมองฉินฝู้กุ้ยสีหน้าเรียบเฉย

“ท่านหลิน นี่……” ฉินฝู้กุ้ยสีหน้าไม่ดี เหงื่อไหลท่วมตัว

ก่อนหน้านี้จ้าวหลินเอ๋อร์มาที่เมืองชิงหยูน อำนาจล้นฟ้า เขาถูกคนของตระกูลจ้าวเรียกใช้งานเหมือนหมา ไม่กล้าปฏิเสธ

“แม่งเอ้ย เปิดปากปิดปากก็ตระกูลจ้าว ตระกูลจ้าวของเรา ไอ้ขยะอย่างแกจะเอามาพูดได้เรื่อยเปื่อยเหรอ? เชื่อไหมว่าฉันตบปากแกบวมตอนนี้เลย?”

จ้าวซานยืนนิ้วชี้หน้าหลินอิ่ง ตะโกนพูดอย่างโมโห

เพี๊ยะ

ฉินฝู้กุ้ยลุกขึ้นกะทันหัน ตบหน้าจ้าวซานอย่างแรง ตบจนจ้าวซานสีหน้ามึนงง จนเลือดซึมออกจากมุมปาก

“แก ฉิน……” จ้าวซานแววตาไม่อยากเชื่อ โมโหมากจนกำลังจะตบกลับ

เพี๊ยะเพี๊ยะเพี๊ยะ

ฉินฝู้กุ้ยพุ่งเข้าไปจับตัวจ้าวซาน กดตัวไว้บนโต๊ะ รัวตบเข้าที่หน้าไม่อั้น ตบจนจ้าวซานกระอักเลือด

ฉินฝู้กุ้ยถึงแม้จะอ้วน แต่ไม่ว่ายังไงก็เป็นหัวหน้าในโลกแห่งความมืด สั่งสอนชายเจ้าสำราญอย่างจ้าวซานแบบนี้ เรื่องง่ายดาย

“พวกแกตายแน่ แม้แต่ฉันยังกล้าตบ รอพี่สาวฉันมา ต้องจัดการไอ้บ้านนอกอย่างแกสองคนแน่”

ปัง

ฉินฝู้กุ้ยยกเท้าถีบจ้าวซานกลิ้งลงจากโต๊ะ ล้มอยู่หน้าหลินอิ่ง คุกเข่ากับพื้น

“แกนี่มันตาบอดใช่ไหม ยังกล้ามาอวดดีต่อหน้าท่านหลิน? แกรู้ไหมว่าแกพูดกับใครอยู่?”

ฉินฝู้กุ้ยสีหน้าโหดเหี้ยม แปร่งประกายแรงสังหาร จ้องหน้าจ้าวซานอย่างโหดเหี้ยม

“ยังกล้ามาเห่าที่นี่อีก เดี๋ยวก็โยนทิ้งแม่น้ำชิงหยูนเลี้ยงปลาทันทีแน่”

พูดไปด้วย ก็มีลูกน้องของฉินฝู้กุ้ยสิบกว่าคนเดินออกมาจากห้อง ล้อมจ้าวซานไว้ด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม

คราวนี้ ทำให้จ้าวซานตกใจจนกางเกงจะเปียกแล้ว

เขาคิดไม่ถึงว่า ฉินฝู้กุ้ยจะกล้าทำร้ายเขา กล้าหักหน้ากับเขาต่อหน้า

เขาอาศัยอำนาจของจ้าวหลินเอ๋อร์ ใช้ชื่อเสียงของลูกพี่ฉินฝู้กุ้ย คุณชายอิ่งแห่งตี้จิง ถึงกล้าตะโกนเรียกใช้ฉินฝู้กุ้ย

ถ้าจะเอาจริงขึ้นมาในเมืองชิงหยูน เจ้าถิ่นอย่างฉินฝู้กุ้ย แค่คำเดียวก็จัดการเขาได้แล้ว

“ท่านหลิน ผมขอโทษ ก่อนหน้านี้ผมทำให้ท่านขายหน้าแล้ว ไม่รู้ความสัมพันธ์ของท่านกับคุณหนูจ้าวจริงๆ ถึงไม่กล้าทำอะไรเอง” ฉินฝู้กุ้ยพูดอย่างเคารพ

“ท่านหลิน ท่านว่า ไอ้หน้าโง่จ้าวซานนี่ จะจัดการยังไงดี?”

หลินอิ่งมองจ้าวซานที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย หยิบบุหรี่ขึ้นมามวนหนึ่งอย่างใจเย็น ฉินฝู้กุ้ยรีบเข้าไปจุดไฟให้

“ท่านหลินอะไร? อะไรไม่รู้ว่าพูดกับใครอยู่? แก แกเป็นใครกันแน่?”

จ้าวซานเห็นท่าทางผิดปกติของฉินฝู้กุ้ย เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ หันไปมองหลินอิ่งสีหน้าหวาดกลัว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท