ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 479 ยังมีหน้ามาถาม?

บทที่ 479 ยังมีหน้ามาถาม?

“น้องพี่ วันนี้ไม่เหมือนก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากพี่กับหลินอิ่งได้ทดสอบฝีมือกันแล้ว ก็รู้สึกว่าคนคนนี้ไม่ธรรมดา” จ้าวเฉิงเฉียนอธิบายอย่างใจเย็น “พวกเราทำอะไรหลินอิ่งไม่ได้ อะไรที่ได้มาด้วยความฝืนมันไม่หอมหวานหรอก ถึงแม้ว่าเธอจะชอบหลินอิ่งจริง อีกหน่อยจะทำอะไรกับหลินอิ่ง ก็ระวังหน่อย อย่าโผงผางเหมือนเมื่อก่อน จนทำให้หลินอิ่งโมโห”

“ไม่ใช่? พี่ นี่มันอะไรกันเนี่ย? ทำไมหลังกลับจากเมืองก่าง พี่ก็เปลี่ยนไปเลย?” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดไปแล้วมองหน้าจ้าวเฉิงเฉียนด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ

จ้าวหลินเอ๋อร์สงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า ได้ยินคำพูดพวกนี้มาจากปากของพี่ชายอันเก่งกาจของเธอ พูดคำพูดที่ขี้ขลาดขนาดนี้ ยังบอกกับเธอว่าทำตัวอะไรกับหลินอิ่งเบาๆด้วย?

ไปเมืองก่างแค่รอบเดียว ความกล้าของพี่ชายจ้าวเฉิงเฉียนคนนี้ก็ไม่เหลือแล้ว?

ทำไมถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงในทัศนคติที่มีต่อหลินอิ่งได้มากขนาดนี้?

จ้าวเฉิงเฉียนก็รู้สึกขายหน้า พยายามทำหน้านิ่ง พูดว่า “น้องพี่ พี่ก็หวังดีกับเธอ เธอต้องเห็นแก่สถานการณ์โดยรวมด้วย”

“รายละเอียดเรื่องทั้งหมดที่เกิดในเมืองก่าง พี่ก็ไม่สะดวกจะเล่าให้เธอฟังโดยตรง” จ้าวเฉิงเฉียนพูด “สรุปก็คือ พฤติกรรมที่ทำต่อหลินอิ่ง เธอต้องระวังด้วย ผู้ชายคนนี้ ไม่ใช่คนที่เธอจะควบคุมได้”

เรื่องของเมืองก่างมันเกี่ยวพันกับแก๊งหยางเหมินด้วย

จ้าวเฉิงเฉียนก็อธิบายให้จ้าวหลินเอ๋อร์ฟังไม่ได้

น้องสาวจ้าวหลินเอ๋อร์คนนี้ สำหรับจ้าวเฉิงเฉียนแล้วสำคัญมาก

ตอนแรกคิดว่า หลินอิ่งก็แค่ชายหนุ่มนิสัยอวดดี ถ้าอย่างนั้น ขอแค่เขาจ้าวเฉิงเฉียนไปสั่งสอนหน่อย ก็คงจะเชื่อฟังอย่างดีต่อหน้าน้องสาวเธอ

แต่หลังจากทดสอบฝีมือกับหลินอิ่งแล้ว พบว่า นี่มันไม่ใช่แค่ชายหนุ่มนิสัยอวดดีเท่านั้น มันคือเทพที่ไม่มีอะไรในสายตาเลย

ความสามารถ เงินทอง อำนาจ ทุกๆอย่างของหลินอิ่ง มันถึงขั้นที่ไม่อาจคาดคิดได้

คนระดับนี้ ไม่ใช่คนที่จ้าวเฉิงเฉียนจะสั่งสอนหรือกดดันได้ แม้แต่ทั้งตระกูลจ้าว ก็ทำอะไรหลินอิ่งไม่ได้

ส่วนน้องสาวจ้าวหลินเอ๋อร์คนนี้ ก็ทำท่าทางเหมือนนอกจากหลินอิ่งแล้วใครก็ไม่เอา น่าปวดหัวจริงๆ

แค่น้องสาวตัวเอง จะไปคุมหลินอิ่งอยู่ได้ยังไง? ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป สักวันต้องเสียเปรียบแน่

“เพราะอะไร?” จ้าวหลินเอ๋อร์คัดค้าน พูดอย่างไม่พอใจ “ทำไมหนูต้องทำตัวถ่อมตนต่อหน้าหลินอิ่ง? เขายังไม่มีหนูอยู่ในสายตาเลย ไปมั่วอยู่กับสาวฝรั่ง ยังไม่มาสนใจหนู หนูยังต้องไปเกรงใจเขาอีก?”​

“พี่ลืมแล้วเหรอ? หลินอิ่งเขามีสัญญาหมั้นหมายกับตระกูลจ้าวเรา หนูมีสิทธิ์ทุกอย่าง หรือว่าเขาทำตัวเหลวไหลอยู่ข้างนอก แล้วหนูยังต้องยอมเขาอีก?” จ้าวหลินเอ๋อร์ถาม

จ้าวเฉิงเฉียนนวดขมับ รู้สึกปวดหัว

“น้อง เรื่องนี้ฟังพี่เถอะนะ อย่าเอาแต่ใจอีกเลย” จ้าวเฉิงเฉียนขมวดคิ้ว “เฮ้อ ครั้งที่แล้วพี่พลาดเอง ยังไม่มั่นใจก็ส่งรูปมาให้เธอ ตอนนี้รูปถ่ายถูกส่งออกไปแล้ว ทำให้หลินอิ่งต้องวุ่นวาย หลินอิ่งต้องคิดได้แน่ว่าพี่เป็นคนทำ ต้องเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นแน่”

คนระดับหลินอิ่ง ไม่ว่ายังไงจ้าวเฉิงเฉียนก็ไม่อยากเป็นคู่ต่อสู้กัน

“พี่ ทำไมพี่ถึงกลัวโน้นกังวลนี่? เป็นอะไรไปเนี่ย? ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นคนขี้ขลาดแบบนี้?” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“ถึงแม้ว่าหลินอิ่งจะรู้ว่ารูปถ่ายนั้นพี่เป็นคนส่งออกไป แล้วยังไง? เขาจะกล้าหาเรื่องพี่เหรอ?” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างใส่ใจ

“อีกอย่าง พี่ใหญ่ เรื่องนี้ตระกูลจ้าวของเราสมเหตุสมผล หลินอิ่งเป็นผู้ชายที่มีสัญญาหมั้นหมายกับหนู ไปนอกใจอยู่ข้างนอก ไปมีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนกับสาวฝรั่ง นี่จะทำให้ตระกูลจ้าวเราเอาหน้าไปไว้ไหน?” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างเย็นชา ในแววตามีความอิจฉาเล็กน้อย

แค่พูดถึงเรื่องนี้ ในใจจ้าวหลินเอ๋อร์ก็เต็มไปด้วยไฟแห่งความอิจฉา

หลินอิ่งอยู่ต่อหน้าเธอแล้วเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็ง ไม่เคยมองหน้าดีๆด้วยซ้ำ ปรากฏว่าหันไปเมืองก่าง กลับไปมีความสัมพันธ์คลุมเครือไม่ชัดเจน ทั้งคุยทั้งยิ้มแย้มต่อหน้าสาวฝรั่ง

นี่มัน ดูถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีจ้าวหลินเอ๋อร์เกินไป

“น้องเก้า เธอจะคิดแบบนี้ไม่ได้ สรุปคำเดียวก็คือ ไม่ว่าหลินอิ่งจะทำอะไร นั่นมันก็เรื่องของเขา เขามีความสามารถที่จะทำ เธออย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยว” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างจริงจัง

“เห้อ” จ้าวหลินเอ๋อร์ทำเสียงเย็นชา “หนูรู้ว่าหลินอิ่งมีความสามารถ แล้วยังไง? เขาเป็นผู้ชายของหนู สัญญาหมั้นหมายจากวงศ์ตระกูล หนูไม่เชื่อ ว่าต่อไปเขาใช้ชีวิตในวงการตี้จิงยังไง หน้าตาตระกูลฉียังจะเอาอยู่ไหม”

จ้าวเหลินเอ๋อร์ยึดถือหลักการเดียว

หลินอิ่งเป็นผู้ชายของเธอ นี่เป็นสัญญาหมั้นหมายระหว่างนายท่านของตระกูลฉีและตระกูลจ้าว

ใครก็หวั่นไหวใจของเธอที่จะไล่ตามหลินอิ่งไม่ได้ เธอถึงจะเป็นผู้หญิงตัวจริงของหลินอิ่ง

“เฮ้อ” จ้าวเฉิงเฉียนตบหัวตัวเอง ไม่รู้จะพูดยังไงกับน้องสาวที่หลงใหลหลินอิ่งขนาดนี้ยังไงแล้ว

“พอแล้วพี่ พี่ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้กับหนูแล้ว หนูไม่อยากฟังแล้ว ตอนนี้พี่ถูกหลินอิ่งทำให้กลัวไปหมดแล้ว” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดสีหน้าไม่พอใจ “หนูจะไปเจอหลินอิ่งตอนนี้ หนูจะดูว่าเขามีความสามารถแค่ไหนกัน กล้าดียังไงถึงทำเรื่องแบบนี้ได้?”

จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าเคร่งเครียด พูดว่า “ก็ได้ น้องพี่ เรื่องของเธอกับหลินอิ่งก็คิดเอาเองละกันนะ แต่ว่า พี่ขอเตือนแค่คำเดียว อย่าไปทำให้หลินอิ่งหมดความอดทน ไม่อย่างนั้น ผลที่ตามมาอาจเป็นหายนะ”

กำลังพูดอยู่ จ้าวหลินเอ๋อร์ก็นั่งเข้าไปในรถ บอดี้การ์ดหญิงขับรถเข้าไปในฝั่งเมืองเหนือของเมืองชิงหยูน

จ้าวเฉิงเฉียนจับแหวนหยกบนนิ้ว คิดอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เหล่าหม่า หลินเอ๋อร์ทำบริษัทของภรรยาหลินอิ่งล้มละลาย คุณว่าหลินอิ่งจะบ้าคลั่งไหม” จ้าวเฉิงเฉียนถามอย่างเคร่งเครียด

“พูดยาก นิสัยของหลินอิ่งคนนี้ก็เข้าใจยาก” หัวหน้าหม่าพูดอย่างจริงจัง “แต่ว่า เพื่อป้องกันไว้ก่อน ผมว่าเจ้าสำนักควรเรียกคนมาจากแก๊งหยางเหมิน เพื่อเตรียมตัวไว้ตลอดเวลา”

“เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของคุณหนูใหญ่ หากหลินอิ่งโมโหขึ้นมาก สิ่งที่พวกเราทำได้ ก็คือปกป้องชีวิตคุณหนูใหญ่ไว้” หัวหน้าหม่าพูดเสียงเรียบ

“เฮ้อ” จ้าวเฉิงเฉียนถอนหายใจ จากนั้นก็ถามต่อ “เบื้องหลังในแวดวงผู้ลึกลับของหลินอิ่ง สืบได้ยังไงบ้าง?”​

“ไม่ได้อะไรเลยครับ” หัวหน้าหม่าพูดอย่างจริงจัง “เบื้องหลังหลินอิ่งในแวดวงผู้ลึกลับ ไม่มีใครรู้เลย”

จ้าวเฉิงเฉียนพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรอีก

น้องสาวของตัวเองจ้าวหลินเอ๋อร์หลงรักคนอย่างหลินอิ่ง ไม่รู้ว่ามันเป็นบุญ หรือกรรมของตระกูลจ้าว……

ยี่สิบนาทีผ่านไป

จ้าวหลินเอ๋อร์พาบอดี้การ์ดหญิงสองคน เดินเข้าไปในฉินหยุนโล๋อย่างสง่า

ภายในฉินหยุนโล๋ บอดี้การ์ดชุดสูทยืนกันเป็นแถวต้อนรับอย่างเคารพ

ไม่นาน จ้าวหลินเอ๋อร์ก็ไปถึงห้องรับรองที่หลินอิ่งอยู่

มองดูจ้าวซานนอนอยู่บนพื้นอย่างกับหมา จ้าวหลินเอ๋อร์ก็มองไปอย่างขมวดคิ้วเล็กน้อย

หลินอิ่งใส่เสื้อเชิ้ตอย่างเรียบง่าย ยืนอยู่ริมหน้าต่าง

“ท่านหลิน คุณหนูจ้าวมาแล้ว” ฉินฝู้กุ้ยรายงานเสียงเบาอยู่ข้างๆ

หลินอิ่งค่อยๆหันไป พูดอย่างเย็นชา “จ้าวหลินเอ๋อร์ เธอทำเรื่องวุ่นวายในเมืองชิงหยูน ยังทำอะไร?”

จ้าวหลินเอ๋อร์หัวเราะเย็นชา พูดว่า “หลินอิ่ง ผู้ชายสารเลว ยังมีหน้ามาถามฉันอีก?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท