ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 490 ประธานหลิน ผมผิดไปแล้ว

บทที่ 490 ประธานหลิน ผมผิดไปแล้ว

“จ้าวหลินเอ๋อร์? หมายความว่ายังไง? หรือแกจะรู้จักคุณหนูจ้าวแห่งตี้จิง?” หลี่ชิงซงสีหน้าตะลึง มองหน้าหลินอิ่งด้วยความแปลกใจ “เป็นไปได้ยังไง ไอ้ไร้น้ำยาเมืองเล็กๆอย่างแก จะไปรู้จักกับคุณหนูผู้ส่งอย่างคุณหนูจ้าวได้ยังไง?”

หลี่ชิงซงหรี่ตาลงเล็กน้อย มองหลินอิ่งใหม่อย่างละเอียด ในใจเหมือนไม่ค่อยเข้าใจ หลินอิ่งมีความมั่นใจขนาดไหน ถึงได้รักษาความใจเย็นขนาดนี้ในสถานการณ์แบบนี้

หลินอิ่งไม่ใช่ลูกเขยไร้น้ำยาคนหนึ่งเหรอ? เอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหน?

“ปากเก่งจริงนะ? ชื่อของคุณหนูจ้าว ให้แกเรียกออกมาอย่างนี้ได้เหรอ? แกนี่มันไม่กลัวตายจริงๆ” โจผิงหัวเราะเย็นชา มองหลินอิ่งอย่างเหยียดหยาม

เท่าที่เขาดูแล้ว ไม่รู้หลินอิ่งไปรู้จักชื่อของคุณหนูจ้าวแห่งตี้จิงมาจากไหน ถึงได้มาแสดงท่าทีอวดดีที่นี่

ไม่รู้จักคิด จ้าวหลินเอ๋อร์เป็นคุณหนูระดับไหน จะไปมีความเกี่ยวพันกับไอ้ไร้น้ำยาต่ำต้อยอย่างหลินอิ่งได้ยังไง?

จริงๆเลย คนระดับอย่างหลินอิ่ง ถือรองเท้าให้คุณหนูจ้าวยังไม่คู่ควรเลย ยังแสดงเหมือนสนิทสนมกับคุณหนูจ้าว?

ก็ไม่คิดดูว่า ตำแหน่งของเขาโจผิงในเมืองชิงหยูน ได้ทำงานให้คุณหนูจ้าวนั่นเป็นบุญวาสนาแค่ไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าได้เป็นเพื่อนกับคุณหนูจ้าว

“ช่างเป็นแมงดาไร้ยางอายจริงๆ สถานที่แบบนี้ หลินอิ่ง แกยังมีหน้ามาพูดถึงจ้าวหลินเอ๋อร์อีก? แกมีอะไรกับผู้หญิงบ้าคนนั้นจริงๆ” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างโมโห จ้องหลินอิ่งด้วยความไม่พอใจ

“แกนึกว่าแกเอาชื่อไอ้ผู้หญิงบ้านั่นออกมา ก็ขู่ใครได้เหรอ? ผู้หญิงคนนั้นมันก็แค่มีเงินหน่อย มีเครือข่ายในตี้จิง ในมณฑลตุงไห่ของเรา มันจะสู้คุณชายโจได้เหรอ?” ลู่หย่าฮุ่ยอย่างยโส

ในสายตาเธอ จ้าวหลินเอ๋อร์ก็แค่คนมีเงินที่มาจากตี้จิงเท่านั้น ไม่รู้ระดับความแตกต่างในแวดวงไฮโซแม้แต่น้อย

“นี่……”

ได้ยินคำพูดนี้ โจผิงมองลู่หย่าฮุ่ยด้วยความตะลึง รู้สึกไม่อยากเชื่อ

พูดตามตรง ตระกูลโจต่อหน้าคุณหนูผู้สูงส่งอย่างจ้าวหลินเอ๋อร์ ไม่ใช่ขี้หมาอะไรเลย

จ้าวหลินเอ๋อร์เป็นที่พึ่งของเขาโจผิง เจ้านายที่อยู่เบื้องหลัง ฟังคำพูดของลู่หย่าฮุ่ยแล้ว เขารู้สึกหน้าแดง

“คุณป้า คุณป้าน่าจะเข้าใจผิดแล้ว ไอ้ไร้น้ำยาอย่างหลินอิ่ง จะไปมีความสัมพันธ์อะไรกับคุณหนูจ้าว?” โจผิงมองไปที่ลู่หย่าฮุ่ย พูดอย่างจริงจัง

“ไม่ผิดแน่นอน ไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งมันไร้ยางอาย ต้องมีอะไรกับจ้าวหลินเอ๋อร์แน่นอน ไอ้ผู้หญิงคนนั้นยังมาหาเรื่องที่บ้านเราตั้งหลายครั้ง เพื่อจะหาหลินอิ่ง” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างเด็ดขาด

ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของโจผิงยิ่งแปลกใจ หันไปมองหลินอิ่งอย่างไม่อยากเชื่อ เริ่มมีความรู้สึกไม่ค่อยดีในใจแล้ว

ไอ้ลูกเขยไร้น้ำยาคนหนึ่ง จะได้รับความสนใจจากคุณหนูผู้สูงส่งอย่างจ้าวหลินเอ๋อร์ได้ยังไง?

หรือว่า หลินอิ่งจะมีฐานะไม่ธรรมดาจริงๆ?

โจผิงก็ไม่ใช่คนโง่ เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวแล้ว ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกไม่ดี

ตอนนั้นที่จ้าวหลินเอ๋อร์ให้เขาไปแต่งงานกับจางฉีโม่ หรือว่าเรื่องนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่ง?

ขณะเดียวกัน หลี่ชิงซงหยิบโทรศัพท์ออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง กดเบอร์โทรออก

หลังจากเสียงติ๊ดสองครั้ง ก็มีคนรับ

“ฮัลโหล คุณหนูจ้าว สวัสดีครับ ผมหลี่ชิงซง ยุ่งอยู่ไหมครับ? ผมมีเรื่องเล็กน้อยอยากรายงานท่าน…..” หลี่ชิงซงถือโทรศัพท์ไว้ พูดอย่างระมัดระวัง

“คืออย่างนี้ ทางผมมีคนชื่อหลินอิ่ง เขา……..”

“ครับ ครับ คุณหนูจ้าว ขอโทษครับ ผมเข้าใจสถานการณ์แล้วครับ”

ไม่รู้ว่าในโทรศัพท์ฝั่งโน้น พูดอะไรไปบ้าง

หลี่ชิงซงสีหน้าซีดขาว แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตัวสั่นไปทั้งร่าง

ทันใดนั้น เขามองไปที่หลินอิ่ง ด้วยความนับถือยิ่งกว่าพระเจ้า ไม่กล้าสบตาโดยตรง

“เป็นอะไร? คุณหลี่ ทำไมสีหน้าคุณเปลี่ยนไป?”

“คุณหลี่ คุณรีบเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งเลย กลับเอาชื่อคนอื่นมาข่มขู่ท่าน? รนหาที่ตายจริงๆ”

“ใช่ ฉันว่าคนแบบนี้ ก็ไอ้พวกคนต่ำต้อยเท่านั้น ยังคิดว่าตัวเองรู้จักคนใหญ่โตที่ไหน? ยังกล้าแสดงท่าทางอวดดีต่อหน้าคุณหลี่”

คนในงานเห็นหลี่ชิงซงโทรศัพท์ ก็พากันถามขึ้นมา

พวกเขาทนดูคนอย่างหลินอิ่งไม่ไหวนานแล้ว ลูกเขยไร้น้ำยาชื่อเสียงเน่าเหม็นทั่วเมือง ยังมาอวดดีต่อหน้าคนรวยอย่างพวกเขา ไม่หักหน้าหลินอิ่ง ไม่มีใครยอมแน่

“พวกคุณหยุดพูดได้แล้ว” หลี่ชิงซงมือสั่น เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พูดด้วยเสียงเคร่งเครียด

พูดจบ หลี่ชิงซงสีหน้าซีดขาว ลุกขึ้นกะทันหัน หันไปมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“หลิน ประธานหลิน……..” หลี่ชิงซงพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “ขอโทษ”

พูดไป หลี่ชิงซงก็ก้มหัวโค้งคำนับให้หลินอิ่ง

“ผมมีตาหามีแววไม่ ประธานหลิน ผมต้องขอโทษด้วยความจริงใจ หวังว่าท่านจะไม่ติดใจ อย่างถือสาคนต่ำต้อยอย่างพวกเราเลย”

หลี่ชิงซงก้มหน้า โค้งคำนับ เก้าสิบองศาต่อหน้าหลินอิ่ง ดูเหมือนกำลังรอหลินอิ่งเปิดปากพูด หลินอิ่งไม่แสดงทัศนคติ เขาไม่กล้าแม้แต่เงยหน้า

“นี่? คุณหลี่ ท่านทำไมถึงไปขอโทษมัน?”

“ฉันไม่ได้ดูผิดใช่ไหม? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

คราวนี้ ทุกคนในงานถูกพฤติกรรมของหลี่ชิงซงทำให้ตกใจ แต่ละคนสีหน้าตกใจ

พวกเขาไม่เข้าใจ ทำไมในชั่วพริบตา ผู้มีอำนาจล้นฟ้าในเมืองชิงหยูนอย่างหลี่ชิงซง ข้าราชการดีเด่น ทำไมถึงได้ก้มหัวยอมรับผิดให้ไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งคนนี้?

นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปไหม?

“นายกเทศมนตรีหลี่ ท่าน นี่ท่านทำอะไรเนี่ย?” โจผิงมองหลี่ชิงซงด้วยสีหน้าตกใจ ทันใดนั้นรู้สึกเหมือนเรื่องมันผิดปกติแล้ว

หลี่ชิงซงมุมปากกระตุก มาถึงขั้นนี้แล้ว โจผิงกลับยังไม่รู้สถานการณ์อีก?

เขาแอบถอนหายใจ คิดไม่ถึง เมืองเล็กๆอย่างเมืองชิงหยูน กลับซ่อนบุคคลใหญ่โตอย่างหลินอิ่งไว้

ใครจะไปคิดถึง ลูกเขยไร้น้ำยาอย่างหลินอิ่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมาหลายปีในเมืองชิงหยูน จะเป็นคุณชายอิ่งแห่งตี้จิงในตำนาน?

“ประธานหลินคือคุณชายอิ่ง……” หลี่ชิงซงก้มหน้า พูดเสียงเบา

“อะไรนะ”

คำพูดของหลี่ชิงซง มีเพียงโจผิงที่อยู่ข้างๆได้ยินเท่านั้น

ทันใดนั้น โจผิงสีหน้าซีดขาวไปทันที ร่างกายสั่นเหมือนดั่งหนาวมาก

เขาหันไปมองหลินอิ่งด้วยสายตาหวาดกลัว รู้สึกในใจว่างเปล่า หนาวเย็นไปทั่วร่าง

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย แววตาเย็นชา

แววตาอันเย็นชานั้น ยิ่งทำให้โจผิงในตอนนี้ รู้สึกเหมือนตกลงไปในเหวลึก

“คุณชาย…….อิ่ง?” ปากของโจผิงพูดอย่างขมขื่น เกลียดจนอยากตบปากตัวเองให้บวมไปตอนนี้เลย

หลี่ชิงซงคุยโทรศัพท์กับคุณหนูจ้าวแล้ว ฐานะของหลินอิ่ง ต้องไม่ใช่เรื่องปลอมแน่

ในที่สุดเขาก็เข้าใจ ว่าเพราะอะไร หลินอิ่งถึงพูดว่าจะตัดชื่อตระกูลโจออกได้ง่ายดายขนาดนั้น…….

โจผิงเคยใช้ชีวิตในสังคมตี้จิงมาก่อน เขาเข้าใจ ตัวหนังสือสามตัวนี้อยู่ในตี้จิงหมายความว่าอะไร

คุณชายอิ่ง

สามคำนี้ เหมือนดั่งเทพนิยายในตี้จิง ชื่อเสียงโด่งดัง รู้จักทั่วทุกสารทิศ

คนใหญ่โตล้นฟ้าระดับนี้

เขาโจผิง หลับไม่รู้ที่ต่ำที่สูงพูดจาเหยียดหยามเสียดสีต่อหน้าแบบนี้? ยังจัดงานเลี้ยงจะหมั้นกับจางฉีโม่ภรรยาของคุณชายอิ่ง?

ตุ๊บตั๊บ

โจผิงทนรับความกดดันในใจไม่ไหว คุกเข่าลงพื้น คุกเข่าต่อหน้าหลินอิ่งทันที

“ประธานหลิน ผมผิดไปแล้ว”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท