ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 495 สืบให้ชัดเจนว่าใครเป็นคนทำ

บทที่ 495 สืบให้ชัดเจนว่าใครเป็นคนทำ

ข่าวที่หยูจื๋อเฉิงส่งมา ทำให้หลินอิ่งกังวล

ในชีวิตหลินอิ่ง มีญาติคนเดียวบนโลกนี้ก็ถือคุณปู่ฉีเวิ่นติ่ง

คุณปู่อาการป่วยกำเริบเข้าโรงพยาบาลกะทันหัน ยังไม่รู้ว่าเพราะมีคนลอบทำร้ายหรือไม่

เขาไม่อนุญาตให้ใครทำร้ายคนในครอบครัวของเขาเด็ดขาด

“หยูจื๋อเฉิง เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” หลินอิ่งถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ท่านอิ่ง ช่วงนี้ตี้จิงไม่ค่อยสงบเลย ทางตระกูลสวีออกมาอีกแล้ว ดูเหมือนยังไม่พอใจกับเหตุการณ์ครั้งที่แล้ว” หยูจื๋อเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “สุขภาพของนายท่านดีมาตลอด ครั้งนี้ป่วยกะทันหัน ทางโรงพยาบาลยังตรวจอาการไม่เจอ ผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างแปลก”

“อีกอย่าง ทางด้านเขตหัวหยางเกิดเหตุการณ์หลายเรื่อง ลูกน้องของผมตายไปหลายคน ผมสงสัยว่าตระกูลสวีเป็นคนทำ ตอนนี้ส่งถังฮุยไปจัดการแล้ว ยังไม่รู้สถานการณ์ที่แน่ชัด” หยูจื๋อเฉิงค่อยๆรายงาน

สีหน้าหลินอิ่งค่อยๆเย็นชาขึ้น ดูแล้วที่ตี้จิงเกิดเรื่องขึ้นแล้ว

ตระกูลมหาเศรษฐีในตี้จิง ดูเหมือนกับไม่ค่อยพอใจเขาเท่าไหร่นัก

คิดไปครู่หนึ่ง หลินอิ่งถามต่อ “ก่อนหน้านี้ผมให้คุณจับตาบริษัทยามาโตะหยิงหวาและชีซิงกรุ๊ปของประเทศเกาหลี มีความเคลื่อนไหวอะไรไหม?”

“ท่านอิ่ง ตามที่ท่านคิดไว้ บริษัทยามาโตะหยิงหวาและชีซิงกรุ๊ป มีความเคลื่อนไหวจริง ทางด้านบริษัทยามาโตะหยิงหวาขยายธุรกิจในตี้จิงแล้ว ส่วนชีซิงกรุ๊ปยิ่งก่อตั้งบริษัทขึ้นในตี้จิงอย่างใหญ่โต สำนักงานชีซิงกรุ๊ปมีผู้บริหารระดับสูงกลุ่มหนึ่งเข้าในตี้จิง” หยูจื๋อเฉิงรายงานอย่างเคร่งขรึม

หลินอิ่งมุมปากยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา

ชีซิงกรุ๊ปจากเกาหลี ยังคงไม่ยอมกับเรื่องนั้น ท่าทางของประธานชีซิงกรุ๊ปเผียวจินฮุนนี้ ยังไงก็จะช่วยลูกชายแก้แค้นให้ได้

ก็ช่าง อำนาจในตี้จิงก็ต้องทำการชำระบัญชีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะคิดว่าเขาไม่เอาจริง

“หยูจื๋อเฉิง คุณรีบส่งคนเฝ้าโรงพยาบาลของคุณปู่ไว้ จับตามองความเคลื่อนไหวของตระกูลสวีไว้ ผมบินกลับตี้จิงวันนี้” หลินอิ่งสั่งอย่างจริงจัง

“ครับ”

วางสายแล้ว หลินอิ่งมองเข้าไปในคฤหาสน์ สีหน้าเคร่งเครียด แววตาค่อยๆคมลึกขึ้น

นิ่งไปอยู่สักพัก

หลินอิ่งเปิดปากพูด

“ฉีโม่ เรื่องบางอย่างมันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ทางด้านคุณปู่ผมมีเรื่องด่วน รอผม ผมจะกลับมาอีก”

ทางคฤหาสน์ไม่มีการตอบสนองใดๆ

หลินอิ่งค่อยลดสายตาลง เงียบไปสักพัก จากนั้นก็หันตัว

“เสิ่นซาน ขับไปสนามบิน”

หลินอิ่งสั่งไปหลายคำ หลี่ผูเปิดประตูรถ เขานั่งเข้าไปด้านหลังรถ

แค่ครู่เดียว เสิ่นซานกลับรถ ขับออกไปจากวิลล่าหิมะมังกร

ดูเหมือนได้ยินเสียงรถขับออกไป

ห้องนอนชั้นสองของคฤหาสน์ ผ้าม่านเปิดออก จางฉีโม่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองผ่านหน้าต่าง ดูรถที่ขับออกไปไกลแล้ว

เธอลดสายตาลง สีหน้าสับสนมาก

“หลินอิ่ง……”

จางฉีโม่พึมพำเอง ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความสับสน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

…….

บนถนนที่เจริญรุ่งเรือง รถมากมาย เสิ่นซานขับรถเล่นไปตามถนน

ด้านหลังรถ หลินอิ่งสีหน้าเคร่งเครียด

อาการป่วยของคุณปู่กะทันหัน เรื่องในตี้จิงต้องไปจัดการให้ดี

คราวนี้ ทำให้แผนการของเขาวุ่นวาย

ทางด้านฉีโม่ บางทีอาจจะต้องให้เวลาเธออยู่เงียบๆสักพักก็ดี

“หลี่ผู คุณกลับตี้จิงกับผมเถอะ ข้างกายคุณปู่ ก็ขาดคนดูแล” หลินอิ่งพูด

หลี่ผูที่นั่งอยู่ข้างคนขับพยักหน้า “คุณชาย ฟังคุณชายจัดการเลยครับ ผมก็อยากกลับไปดูนายท่านที่ตี้จิง”

หลินอิ่งพยักหน้า พูดต่อ “เสิ่นซาน เรื่องในเมืองชิงหยูน คุณต้องดูไว้ให้ดี”

“คุณกับเจียงฉี จัดการเรื่องทั้งหมดให้ดี สิ่งที่สำคัญที่สุด อย่าให้เกิดอะไรขึ้นกับฉีโม่”

“ท่านหลิน วางใจกลับไปจัดการธุระที่ตี้จิงเลยครับ ทางเมืองชิงหยูน ผมกับเจียงฉีจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย” เสิ่นซานพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

หลินอิ่งพยักหน้าเบาๆ สั่งงานทุกอย่างแล้ว เขาหยิบมือถือล็อกรหัสกดเบอร์โทรออก

โทรให้นิ่งซวน

เสียงติ๊ดสองครั้ง

โทรศัพท์ก็มีคนรับ

“ผู้อาวุโส ท่านมีอะไรจะสั่งไหมครับ?” ในโทรศัพท์ เป็นเสียงอันเคารพของนิ่งซวน

หลังจากที่ถูกหลินอิ่งยกให้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งผู้นำตระกูลนิ่งแล้ว หลินอิ่งสำหรับนิ่งซวนแล้ว ชื่นชมและเคารพอย่างเต็มที่ พูดอย่างไม่เกินจริง หลินอิ่งให้เขาลงเหว เขาก็กระโดดลงไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“กิจการในตระกูลนิ่ง คุณจัดการเป็นยังไงบ้าง?” หลินอิ่งถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“มีอำนาจของผู้อาวุโสอยู่ ทุกคนในตระกูลนิ่งไม่มีใครกล้าคัดค้านผม กิจการในตระกูลนิ่ง ก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น” นิ่งซวนตอบอย่างจริงจัง

“ดีมาก” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “คุณให้ทหารลับตระกูลนิ่ง สืบเรื่องอาการป่วยของนายท่านให้ชัดเจน มีร่องรอยการกระทำของคนหรือไม่ ใครเป็นคนทำ สืบให้ชัดเจนไม่ว่าด้วยวิธีใด”

“ครับ ผมส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้” นิ่งซวนพูดด้วยอารมณ์ตื่นเต้น

สถานการณ์อาการป่วยของนายท่านตระกูลฉี ตอนนี้ยังอยู่ในสถานะปิดข่าวอยู่ ก่อนหน้านี้นิ่งซวนไม่ได้ยินข่าวเลย

มีคนกล้าลงมือกับนายท่านฉีเวิ่นติ่ง เห็นได้ว่า ครั้งนี้ตี้จิงมีมรสุมยักษ์แอบแฝงอยู่

วางสายแล้ว หลินอิ่งหลับตาพักผ่อน ในสมองมีเรื่องให้คิดเป็นร้อยเป็นพัน

กลับตี้จิงครั้งนี้ เขามีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ

เรื่องแก๊งมังกร ต้องคอยระวังอยู่ตลอดเวลา

ความแค้นของตระกูลฉี ยังไม่ได้แก้แค้น

ท่านมังกรดำยังคอยแอบดูอยู่ในที่ลับ

ทุกวันนี้ ดูผิวเผินแล้วเหมือนตัวเองร่ำรวยเหนือประเทศ อำนาจล้นฟ้า ในตุงไห่มีเสิ่นซานเจียงฉี ในเมืองก่างมีคริสคอยดูแล ในตี้จิงก็มีหยูจื๋อเฉิงและนิ่งซวนช่วยจัดการทุกอย่าง

ดูแล้ว อำนาจเงินทองนั้นถึงจุดสุดยอดในสายตาผู้คนแล้ว

แต่ว่า ในใจหลินอิ่งรู้ดี

เผชิญหน้ากับคนระดับแก๊งมังกร กิจการทางโลกอันไร้สาระพวกนี้ เปราะบางอย่างสิ้นเชิง

เขาอยากเอาแก๊งมังกรคืนมา ไม่เพียงแค่ต้องจัดการกับอาจารย์กู้ต้า ยังต้องจัดวางอำนาจในที่ลับต่อไป

ระหว่างที่คิด เสิ่นซานก็ขับรถใกล้ถึงสนามบินนานาชาติชิงหยูนแล้ว

…….

เวลาเดียวกัน

ตี้จิง เขตหัวหยาง

ใจกลางเมืองอันเจริญรุ่งเรือง ภายในอาคารศูนย์บังเทิงอันสว่างไสว

บนทางเดินปูด้วยพรมแดง มีบอดี้การ์ดชุดสูทยืนเรียงกันเป็นแถว

ชายวัยกลางคนในเสื้อหนังสีดำคนหนึ่ง พาชายฉกรรจ์ชุดดำหลายคน เดินอยู่บนทางเดิน มาถึงห้องรับรองหรูห้องหนึ่ง

“ท่านสุง ท่านเหยียนรอท่านอยู่ด้านใน”

บอดี้การ์ดชุดสูทสีหน้าโหดเหี้ยมหน้าประตูคนหนึ่งพูด ยกมือบอก

ถังฮุยขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นชา พาลูกน้องหลายคนเดินเข้ามา

ถังฮุยฟังคำสั่งจากหยูจื๋อเฉิง พาลูกน้องแข็งแกร่งหลายนายมาจัดการเรื่องที่เขตหัวหยาง

ก็เพราะเหยียนหลงที่ถูกท่านอิ่งปราบ ไม่รู้ว่าทำไมถึงโดดออกมาอีก ยังก่อเรื่องวุ่นวายในเขตหัวหยาง แย่งธุรกิจใต้ดินไปทั่วทุกทิศ

วันนี้ เหยียนหลงยิ่งอวดดีจนกระทั่งนัดเขามาเจรจาด้วยตัวเอง

ถังฮุยเดินเข้าไปในห้องรับรองหรู ด้านในมีโต๊ะใหญ่ตัวหนึ่ง ในมือเหยียนหลงถือแท่งบุหรี่หยกขาว หรี่ตาสูบบุหรี่

“เหยียนหลง แกนี่รนหาที่ตายใช่ไหม? ครั้งที่แล้วท่านอิ่งก็เคยพูดแล้ว แม้แต่ตระกูลสวียังไม่กล้า แกยังโดดออกมารนหาที่ตายใช่ไหม?” ถังฮุยถามเสียงเย็นชา

เหยียนหลงมุมปากยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา “ถังฮุยเอ้ยถังฮุย แกคิดว่าเรื่องครั้งที่แล้ว ตระกูลสวีจะจบแค่นั้นเหรอ? คุณชายอิ่งของพวกแก ทำเกินไปแล้ว”​

พูดไป เหยียนหลงก็เคาะแท่งบุหรี่ ครู่เดียว คนต้าเหอร่างเตี้ยผมในชุดเสื้อเชิ้ตสีเทา ออกมาจากมุมมืดอย่างไร้วี่แวว

“นายคือลูกน้องของหลินอิ่ง ถังฮุย? สวัสดี ผมชื่อกงจิ่ว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท