ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 518 ผมชอบความสุขในการทำลายมากกว่า

บทที่ 518 ผมชอบความสุขในการทำลายมากกว่า

“พี่เฟิง ไอ้ไร้น้ำยานี่ยังแกล้งอีก รู้ว่าตัวเองไม่มีหน้าเทียบกับพี่ ก็สร้างความวุ่นวาย”

“ท่าทางไร้น้ำยาอย่างมัน เห็นสถานที่ใหญ่โตหรูหราแบบนี้ คงตกใจหมดแล้ว ฉันนี่นับถือความหน้าด้านของมันจริงๆ ยังมีหน้ามาท้าทายกับพี่อีก”

คนที่ติดตามอยู่ข้างกายซือหม่าเฟิงหลายคน ต่างก็พากันพูดจากเสียดสี สายตาที่มีหลินอิ่งนั้นดูถูกอย่างขีดสุด

ถึงจะเป็นคนโง่คนหนึ่งยืนอยู่ตรงนี้ ก็ยังสามารถดูออกได้ ซือหม่าเฟิงเขาเป็นคนที่มีอำนาจเงินทองมากมายแค่ไหน ความหรูหราวางอยู่ตรงนี้ ไอ้แซ่หลินน่าโง่นี่ยังปากแข็งอวดดีตรงนี้อีก?

ไม่รู้จักดู ของสะสมเหล่านี้มูลค่าสูงขนาดไหน พูดตามตรง แม้แต่พวกคุณชายตระกูลดังเหล่านั้น ก็เล่นแบบนี้ไม่ได้

มีเพียงซือหม่าเฟิงแบบนี้ ซึ่งเป็นคุณชายตระกูลชั้นสูงในตี้จิงที่ได้รับความรักใคร่เป็นพิเศษ ถึงมีปัญญาเล่นของสะสมล้ำค่าขนาดนี้ได้

เพราะว่า คุณชายตระกูลมหาเศรษฐีที่เอาเงินพันล้านมาเล่นของสะสม ทั่วประเทศหลุงก็มีเพียงไม่กี่ตระกูล

มีเพียงเมืองใหญ่อย่างตี้จิงแบบนี้ ถึงมีคุณชายระดับซือหม่าเฟิงแบบนี้ พวกคุณชายมหาเศรษฐีในเมืองเล็กๆเหล่านั้น ไม่รู้ว่าต่างกันกี่ระดับ

“คุณถามผมว่ามีปัญญาซื้อไหม? เหอะ” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา ส่ายหัว

“นี่ก็คือสิ่งที่คุณพูด อะไรที่คนเก่งเขาเล่นกัน?”​ หลินอิ่งถาม “นี่ก็คือระดับของคุณ?”

“ไม่อย่างนั้นล่ะ? นายนี่อยากให้ฉันหัวเราะตายหรือไง ไม่รู้จักดูสภาพตัวเอง ยังกล้ามาแสดงต่อหน้าฉันอีก?” ซือหม่าเฟิงโมโหจนหัวเราะ พูดอย่างเย็นชา “นายก็ไม่รู้จักดูว่าตัวเองอยู่ระดับไหน?”

แค่ไอ้แซ่หลินนี่ ช่างเป็นอีกาที่ไม่รู้ว่าตัวเองดำจริงๆ

แค่ดูก็รู้ว่าเป็นแค่พนักงานรับเงินเดือนทั่วไปเท่านั้น ยังมาเทียบระดับกับคุณชายอย่างเขาอีก?

ไม่กลัวคนอื่นหัวเราะจนฟันร่วง

“ฉู่ฉู่ ตอนนี้เธอดูเข้าใจหรือยัง? ไอ้หน้าโง่ที่ยืนข้างเธอ มันมาเล่นตลกชัดๆ อยู่กับผู้ชายแบบนี้ ทำให้เธอขายหน้าเปล่าๆ” ซือหม่าเฟิงมองไปที่ฉู่ฉู่แล้วถาม “ฟังคำเตือนจากเพื่อนเก่าสักคำ ไอ้ไร้น้ำยานี่ ไม่จำเป็นต้องไปมาหาสู่ ลดระดับตัวเองไปเปล่าๆ”

“จากนี้ไป ฉู่ฉู่ ในตี้จิง เธอรู้จักฉันซือหม่าเฟิงก็พอ ในดินแดนตี้จิงแห่งนี้ ยังไม่เคยมีเรื่องอะไรที่ฉันจัดการไม่ได้” ซือหม่าเฟิงเอามือตบหน้าอก พูดอย่างอวดดี

เขาอยากเอาทุกอย่างที่ตัวเองมีโชว์ออกมาให้หมด

ฟังคำพูดของซือหม่าเฟิงแล้ว ฉู่ฉู่สีหน้านิ่งเฉย เพียงแค่แอบมองหลินอิ่ง สายตาอยู่ในตัวของหลินอิ่งทั้งหมด ท่าทางหลงใหล

เธอก็ไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่ไม่เคยเข้าสังคม เกิดในตระกูลฉู่ แนวคิดทัศนคติตั้งแต่เด็กก็ไม่เหมือนคนทั่วไป

อีกอย่าง พ่อของเธอฉู่สงซาน ทำธุรกิจใหญ่โตในเมืองก่าง รถหรูนาฬิกาหรูอะไรพวกนี้ ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็น สำหรับเธอแล้วมันไม่มีความหมายอะไรเลย

ตรงกันข้าม หลินอิ่ง เธอรู้สึกชอบเสน่ห์ในตัวของหลินอิ่งมาก ขอแค่ได้อยู่ข้างกายผู้ชายคนนี้ ฉู่ฉู่ไม่รู้เพราะอะไร ในใจก็รู้สึกถึงความสบายอบอุ่น

สายตาของซือหม่าเฟิงเย็นชาลง จ้องหน้าหลินอิ่ง ทนไม่ไหวที่จะระเบิดความโกรธออกมาแล้ว

ปกติ ขอแค่ผู้หญิงที่เขาอยากจีบ ขอแค่เขาแสดงอำนาจเงินทองออกมาเล็กน้อย ผู้หญิงก็เข้ามาติดเขาเองแล้ว อย่างน้อยทัศนคติก็เปลี่ยนเป็นกระตือรือร้น

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ฉู่ฉู่ไม่สะทกสะท้านเลย ในสายตามีเพียงไอ้ขยะแซ่หลินนั่น

“ไอ้แซ่หลิน ฉันสงสัยมาก ว่านายมีความสามารถแค่ไหนกัน? ฉันว่านายไม่มีปัญญาซื้อรถพวกนี้ นายไม่พอใจ ก็ให้ฉันดูหน่อยว่านายมีความสามารถแค่ไหนกัน?” ซือหม่าเฟิงพูดด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “ไม่ใช่ฉันดูถูกนาย นายมันก็แค่ผู้ชายไร้น้ำยาที่ขี้โม้เท่านั้น รู้ไหม?”

“กูดูถูกนายแบบนี้ นายก็ลองพิสูจน์ความสามารถของนายเลย? นอกจากขี้โม้ ยังมีความสามารถอะไร? บอกฉันมา นายทำงานที่ไหน? ฉันจะเรียกประธานบริษัทนายมาสั่งสอนนายเดี๋ยวนี้” ซือหม่าเฟิงพูดอย่างอารมณ์เสีย โมโหมาก วันนี้ต้องทำให้หลินอิ่งมันขายหน้าต่อหน้าฉู่ฉู่ให้ได้

“ผมทำอะไรเหรอ ขอเตือนคุณว่าทางที่ดีอย่าไปสืบ” หลินอิ่งพูดอย่างใจเย็น “ในเมื่อคุณจะคิดว่าของสะสมของตัวเองนั้นมูลค่าล้ำค่า ถ้าอย่างนั้นผมจะบอกคุณ ของที่คุณสะสม มันไร้ค่า”

“เมื่อเทียบกับสะสมรถหรูนาฬิกาหรู ผมชอบความรู้สึกในการทำลายมากกว่า” หลินอิ่งหัวเราะ พูดอย่างเย็นชา

พูดไป หลินอิ่งก็โบกมือ เพื่อส่งสัญญาณให้ฮาเดสที่ยืนข้างหลัง

“ทุบทำลายเศษเหล็กพวกนั้นของเขาซะ”

“ครับ ประธานหลิน”

ฮาเดสพูดอย่างเคารพ จากนั้นก็เดินไปด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย หาที่นั่งแล้วนั่งลงพร้อมฉู่ฉู่

เขายกแก้วไวน์ขึ้นมาจีบไปคำหนึ่ง แล้วจุดบุหรี่ มองซือหม่าเฟิงด้วยความสนใจ

สีหน้าซือหม่าเฟิงตกใจ จากนั้นก็ยิ้มอย่างรู้สึกสนุก

“ไอ้แซ่หลิน นายคงไม่ได้ซื่อบื้อหรอกนะ? ให้บอดี้การ์ดทุบทำลายของสะสมฉัน?” ซือหม่าเฟิงหัวเราะอย่างดูถูก รู้สึกว่าหลินอิ่งก็เป็นแค่ตัวตลกที่อวดดี “ยังพูดว่าของสะสมของฉันไร้ค่า? นายอิจฉาตาร้อนมากกว่า ไร้ความสามารถได้มาครอบครองใช่ไหม? นายนี่มันผู้ชายไร้น้ำยาจริงๆ”

“ตลกสิ้นดี พี่เฟิง ฉันว่าผู้ชายคนนี้สมองมีปัญหา ทั้งๆที่เป็นแค่คนไร้น้ำยา ยังคิดว่าตัวเองเป็นคนใหญ่คนโต”

“ใช่ นี่มันคนสติไม่สมประกอบชัดๆ พูดแบบนี้ต่อหน้าพี่เฟิง มันคงบ้าไปแล้วมั้ง?”

คนที่ยืนข้างซือหม่าเฟิง ต่างก็ผ่านกันหัวเราะเยาะขึ้นมา

พวกเขารู้สึกว่ามันช่างตลกจริงๆ หลินอิ่งคนนี้ เป็นตัวตลกที่มาสร้างเสียงหัวเราะหลังอาหารชัดๆ

ปัง

ปัง

เวลาเดียวกันนั้น ภายในงานก็มีเสียงดังโครมคราม

เห็นเพียง ฮาเดสเดินเข้าไปอย่างโจ่งแจ้ง ทั้งแตะทั้งถีบพนักงานรักษาความปลอดภัยที่เฝ้าของสะสม

จากนั้น ก็ถีบโต๊ะไม้หลายตัวพังทลาย จนเครื่องหยกเครื่องปั้นดินเผาแต่ละชิ้นที่ตั้งโชว์ แตกกระจายไปทั่วทุกทิศ

แม้แต่ตู้กระจกที่ตั้งโชว์นาฬิกานับร้อย ก็ถูกฮาเดสถีบจนกระเด็น เสียงแตกแพร่งพรายเต็มพื้น

ทันใดนั้น ทุกคนในงานต่างก็ตกตะลึงตาค้าง รู้สึกว่าได้เห็นภาพที่ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นตรงหน้า

ซือหม่าเฟิงหันไปดู ทันใดนั้นสองตาแดงก่ำ รู้สึกปวดใจและเสียดายอย่างยิ่ง เลือดไหลในใจ

เวลาเดียวกัน เขาก็แสดงสายตาที่ไม่อยากเชื่อ เมื่อเรียกสติกลับมาได้ ก็หันไปจ้องหน้าหลินอิ่งด้วยความโมโห

“ไอ้แซ่หลิน แกนี่มารนหาที่ตายใช่ไหม?”​

ซือหม่าเฟิงมองหน้าหลินอิ่ง ตะโกนเสียงดังขึ้นมา สายตานั้นเหมือนจะฆ่าคนแล้ว อารมณ์บ้าคลั่ง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท