บทที่ 1389 : ธุรกิจในจิงฉู
ระยะเวลาสามเดือน…
เป็นระยะเวลาที่หลิงหยุนจะต้องเร่งฝึกฝนเพื่อให้มั่นใจว่าตนเองจะสามารถไปช่วยหยินชิงเฉวียนแม่ผู้ให้กำเนิดกลับมาให้ได้
ถึงแม้ที่ผ่านมาเย่ซิงเฉินและจินเหยียวจะไม่ได้เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับพรรคมารให้หลิงหยุนฟังมากนัก แต่จากบริบทที่คุยกันนั้น ทำให้หลิงหยุนสามารถเข้าความแข็งแกร่งของพรรรคมารได้เป็นอย่างดี..
หลิงหยุนรู้ว่ารากฐานของพรรคมารนั้นหยั่งรากลึกมานาน และยากที่จะประเมินความแข็งแกร่งได้
เขาถูกเย่ซิงเฉินและจินเหยียวโน้มน้าวให้เชื่อว่าผู้เฒ่าพรรคมารนั้นควรจะต้องอยู่ในระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-9) หรือแม้กระทั่งสูงกว่า และมีอยู่จำนวนไม่น้อยด้วยเช่นกัน และเรื่องนี้ก็พอมีเครื่องยืนยันว่ามีความเป็นไปได้ที่สูงมากอย่างเช่นในงานชุมนุมชาวยุทธที่ผ่านมานั้น ชาวยุทธหลายคนล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือ อีกทั้งร่วมมือกันกำจัดพรรคมารมาตั้งแต่อดีต ไม่ว่าจะเป็นวัดเส้าหลิน สำนักกระบี่คุนหลุน สำนักเขาหลงหู่ และอีกมากมายหลายสำนัก ไม่เพียงเท่านั้น บรรดาสำนักที่มีชื่อเสียงก็ล้วนแล้วแต่มีทั้งโอสถ ยันต์ และไพ่ในมือต่างๆ อีกมากมาย
แต่ถึงกระนั้น..ผ่านมาหลายปี ก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าที่จะบุกเข้าไปในพรรคมาร และจัดการกับผู้ยิ่งใหญ่ในพรรคมารตัวจริงเสียที!
นั่นเพราะความจริงแล้วต่อให้ยอดฝีมือจากสำนักหลักฝ่ายธรรมะรวมตัวกัน ก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับพรรคมารนั่นเอง!
การที่พรรคมารสามารถยืนหยัดเป็นปฏิปักษ์กับเหล่าชาวยุทธมากมายมาตั้งแต่โบราณกาลนั้นก็เป็นเครื่องยืนยันถึงรากฐานที่แข็งแกร่งของพรรคมารได้เป็นอย่างดีแล้ว..
แม้ว่าปรมาจารย์หยินจิ่วโย่วผู้ก่อตั้งพรรคมารจะหายไปพร้อมกับกระบี่โลหิตเทวะซึ่งเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ชิ้นแรกของพรรคมาร และนั่นนับเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ แต่พรรคมารกลับยังคงยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งมาได้ถึงทุกวันนี้ ย่อมบ่งบอกถึงรากฐานของพรรคมารได้เป็นอย่างดี
สำหรับผู้บ่มเพาะตนนั้นหากสามารถเข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่ได้ หากไม่ถูกศัตรูสังหารตายเสียก่อน ก็จะมีอายุขัยนานถึงหนึ่งร้อยห้าสิบปีเลยทีเดียว
และหากผู้บ่มเพาะตนสามารถฝึกฝนจนเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ได้แน่นอนว่าย่อมสามารถมีชีวิตยืนยาวได้นานถึงสองร้อยปี และจะแข็งแรงไม่ต่างจากคนอายุหกสิบปีเลย
ด้วยอายุที่ยืนยาวนี้ทำให้สามารถอยู่เป็นเสาหลักของสำนัก หรือว่าตระกูลได้อีกอย่างน้อยห้าถึงหกรุ่นเลยทีเดียว!
และยิ่งคนรุ่นต่อๆไปมีพรสวรรค์และแข็งแกร่งมาก ก็จะยิ่งทำให้สำนัก หรือตระกูลนั้นๆแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก อย่างเช่นตระกูลหลงและพรรคมารเป็นต้น!
หลิงหยุนได้แต่นึกอิจฉาอยู่ในใจ..
หลิงหยุนเชื่อมั่นว่าภายในเวลาสามเดือนนี้เขาจะต้องสามารถเข้าสู่ขั้นชีเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-7) ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายของขั้นพลังชี่ได้อย่างแน่นอน
และการที่แม่ของเขาหยินชิงเฉวียนสั่งว่าหากเขายังไม่เข้าสู่ขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) ห้ามไม่ให้เข้าไปช่วยนางโดยเด็ดขาด นั่นเป็นเพราะนางรู้จักพรรคมารดีว่าแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่หากหลิงหยุนสามารถเข้าสู่ขั้นลิ่วเฉิงชี่ได้ บวกกับความแข็งแกร่งของนาง ทั้งคู่จึงจะสามารถต่อกรกับพรรคมารได้
ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงต้องรอให้ตนเองฝึกฝนจนสามารถเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ได้เสียก่อน เขาจึงจะสามารถไปช่วยหยินชิงเฉวียนออกมาได้
ส่วนเย่ซิงเฉินนั้นก็ค่อยๆทำการยึดองค์กรนักฆ่าสาขาต่างๆเข้ามาอยู่ในมือของตน เพื่อเป็นการซ่องสุมกำลัง และสร้างความแข็งแกร่งให้กับฝ่ายตน เห็นได้ชัดว่านางกำลังเตรียมการสำหรับการรบครั้งใหญ่ในวันข้างหน้า
สิ่งเหล่านี้เย่ซิงเฉินค่อยๆแอบทำอย่างเงียบๆ เพียงแต่นางไม่ปริปากบอกผู้ใดเท่านั้น..
และแทบไม่ต้องสงสัย..ทั้งหมดที่เยซิงเฉินทำลงไปนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นหยินชิงเฉวียนสั่งการอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น และทั้งหมดที่นางทำนั้นก็เพื่อกำจัดขวากหนามให้กับหลิงหยุน อีกทั้งยังเป็นการสร้างฐานที่แข็งแกร่งให้กับเขาด้วย
“สามเดือนงั้นรึ”
เฉิงเม่ยเฟิงถามขึ้นด้วยความสงสัย“เหตุใดจึงรวดเร็วเช่นนี้ พี่เม่ยเม่ยบอกข้าว่าแม่นางซิงเฉินต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีเลยทีเดียว..”
หลิงหยุนจึงได้อธิบายให้ฟังว่า“นั่นเป็นแผนเดิม นางวางแผนตามความรวดเร็วในการฝึกฝนของข้า แต่สามีของเจ้ามีพรสวรรค์ล้ำเลิศ จึงก้าวหน้าได้เร็วกว่าที่นางคาดคิดยังไงเล่า..”
“เอาล่ะ..เล่าเรื่องพ่อแม่ของเจ้า กับเรื่องของศิษย์อารามจิ้งซินให้ข้าฟังได้แล้ว!”
หลิงหยุนเคยรับปากศิษย์อารามจิ้งซินไว้ว่าหลังจากทำลายวรยุทธของพวกนางแล้ว เขาจะเป็นผู้ดูแลความปลอดภัย และจัดการเรื่องการใช้ชีวิตหลังจานั้นให้ แต่เฉิงเม่ยเฟิงกลับตอบมาว่า
“หลิงหยุนเวลานี้เจ้าเองก็มีเรื่องสำคัญที่ต้องทำมากมาย เจ้าไปจัดการเรื่องสำคัญของเจ้าดีกว่า ส่วนเรื่องเล็กๆเหล่านี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง เจ้าอย่าได้กังวลใจไป พวกเราไปกินข้าวกันก่อนจะดีกว่า!”
“ได้ๆข้าจะเชื่อฟังเจ้า! หลิงหยุนตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ระหว่างที่รับประทานอาหารเฉิงเม่ยเฟิงก็ได้เล่าเรื่องที่นางกลับไปพบพ่อแม่ให้หลิงหยุนฟัง… …..
“พ่อคะแม่คะนับจากนี้ไปข้าคือผู้หญิงของหลิงหยุนคนเดียวเท่านั้น!”
แน่นอนว่าครั้งนี้เฉิงเทียนไม่คัดค้านและปล่อยให้เฉิงเม่ยเฟิงเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเอง จากนั้นเฉิงเทียนก็ได้โทรเรียกเฉิงเมี่ยนลูกสาวคนเล็กให้กลับมาที่บ้าน และในที่สุดทุกคนในครอบครัวก็ได้กลับมาพบหน้ากันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
เนื่องจากเฉิงเทียนแก่มากแล้วและนับตั้งแต่เกิดเรื่องครั้งนั้นเขาก็ต้องการวางมือในเรื่องธุรกิจ จึงได้ตัดสินใจให้เฉิงเม่ยเฟิงดูแลกิจการแทน ในขณะที่เฉิงเมี่ยนยังต้องเรียกมหาวิทยาลัยอีกห้าปี
“ได้..ข้าจะดูแลกิจการของพ่อให้ แต่ทรัพย์สินในส่วนที่เป็นของข้า ข้าจะยกให้หลิงหยุนเพื่อไปใช้ในกิจการของกลุ่มบริษัท หลิงหยุน คอร์ปอเรชั่น..”
ทั้งเฉิงเทียนกับจ้าวฝัวหมี่ไม่ขัดข้องแต่อย่างใดมิหนำซ้ำยังหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข..
ในขณะที่เฉิงเมี่ยนกลับมีหน้าท่าทางสับสนคล้ายอยากจะพูดอะไรออกมาอยู่หลายครั้ง แต่แล้วก็ตัดสินใจเงียบไป
“เมี่ยน..วันข้างหน้าหลิงหยุนจะมาเป็นพี่เขยของเจ้า จำไว้ว่าเขาเป็นได้เพียงแค่พี่เขยของเจ้าเท่านั้น! เฉิงเม่ยเฟิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เข้ม และดุดัน
เฉิงเมี่ยนได้แต่กัดฟันนิ่งและไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว..
“ภายในห้าปีนี้เจ้ามีหน้าที่ตั้งใจเรียนให้จบมหาวิทยาลัยหลังจากจบแล้ว ข้าจะคืนกิจการของตระกูลเฉิงให้กับเจ้า รับรองได้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นทรัพย์สินและเงินทองของตระกูลเฉิง จะเพิ่มพูนมากว่านี้หลายเท่า!”
หลังจากนั้นเฉิงเม่ยเฟิงก็ไม่เปิดโอกาสให้เฉิงเมี่ยนได้พูดอะไร “เอาล่ะ.. ข้าต้องกลับบ้านไปรอหลิงหยุนแล้ว เขาอาจกลับมาเมื่อใดก็ได้.. และบ้านที่เฉิงเม่ยเฟิงพูดถึงนั้นก็คือบ้านที่นางกับหลิงหยุนอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ได้พบกันครั้งแรก
…..
ธุรกิจของหลิงหยุนในจิงฉูนั้นหลักๆแล้วมีอยู่สามอย่างคือธุรกิจอหังหาริมทรัพย์ที่ยึดมาจากกู่เหลียงเฉิน โครงการที่ดินรอบๆศูนย์วิจัยยา และธุรกิจยากับสมุนไพรจีนที่ท่านเสี่ยวหมอเทวดามอบให้กับหลิงหยุนในวันเปิดคลินิกสามัญชน
และเวลานี้ธุรกิจหลักทั้งสามก็ทำรายได้ให้กับหลิงหยุนอย่างมหาศาล..
หลิงหยุนกับเฉิงเม่ยเฟิงนั่งปรึกษาหารือเรื่องการบริหารบริษัทหลิงหยุนคอร์ปอเรชั่นและตกลงกันว่า ด้วยความสามารถของเฉิงเม่ยเฟิง นางจะขึ้นมาเป็นประธานบริษัทแทนถังเมิ่ง ส่วนถังเมิ่งก็ขอย้ายตัวเองไปเป็น Chief Executive แทน..
“หลังจากข้าบริหารบริษัทหลิงหยุนคอร์ปอเรชั่นไปอีกสักสองสามปีถึงเวลานั้นถังเมิ่งก็จะโตเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ ข้าก็จะขอคืนตำแหน่งประธานให้กับเขาทันที!”
หลังจากที่คุยกันเรื่องธุรกิจเรียบร้อยดีแล้วหลิงหยุนจึงได้บอกกับเฉิงเม่ยเฟิงว่า “เม่ยเฟิง.. ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกกับเข้า เวลานี้ข้าคือผู้นำตระกูลหลิงแล้ว!”
“ห๊ะ!ผู้นำตระกูลหลิงแห่งปักกิ่งน่ะรึ?! เฉิงเม่ยเฟิงร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“เจ้ายังจำตระกูลซันที่เคยข่มขู่รังแกครอบครัวของเจ้าได้หรือไม่เวลานี้ตระกูลซันได้ถูกข้าทำลายล้างจนสิ้นชื่อแล้ว รวมทั้งตระกูลเฉินแห่งปักกิ่งด้วย!”
“และเวลานี้ธุรกิจของทั้งสองตระกูลก็ตกมาอยู่ในมือตระกูลหลิงของข้าแล้วบริษัทหลิงหยุนคอร์ปอเรชั่นเป็นเพียงแค่ธุรกิจเล็กๆเท่านั้น หากเที่ยบกับกิจการทั้งหมดของตระกูลหลิง..”
“ฉะนั้นแล้ว..เมื่อเจ้าเข้าไปบริหารบริษัทหลิงหยุนคอร์ปอเรชั่นแล้ว งานหลักคือใช้บริษัทนี้ส่งเสริม และสนับสนุนกิจการของตระกูลหลิงให้ได้มากที่สุด”
เฉิงเม่ยเฟิงถึงกับอึ้งไปและเวลานี้นางก็ได้แต่คิดว่า ธุรกิจในมือของหลิงหยุนนั้นใหญ่โตกว่าที่นางคิดไว้มาก และได้แต่นึกโมโหถังเมิ่งที่คะยั้นคะยอให้นางเข้ามารับตำแหน่งประธานบริษัทหลิงหยุนคอร์ปอเรชั่นแทนเขา
“ถังเมิ่ง..นี่เจ้ากล้าหลอกข้าเชียวรึ”
หลิงหยุนพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข“เม่ยเฟิง อีกไม่นานลุงสองของข้าคงจะต้องเดินทางมาพบท่านประธานคนใหม่ และภรรยาคนสวยของข้าเป็นแน่ ข้าจะคอยเป็นกำลังใจให้กับเจ้า!”
“ห๊ะ!เมื่อครู่เจ้าพูดว่าลุงสองของเจ้าจะมาพบข้าด้วยตัวเองงั้นรึ?!”
เฉิงเม่ยเฟิงถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ..
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“ไม่ใช่ลุงสองของข้า.. แต่เป็นลุงสองของเราต่างหากเล่า! “หากให้ข้าคาดเดา..เรื่องยกตำแหน่งประธานบริษัทหลิงหยุนคอร์ปอเรชั่นให้กับเจ้า น่าจะเป็นความคิดของท่านลุงสอง และทันทีที่เจ้าเข้ารับตำแหน่ง เขาย่อมต้องหาเวลามาคุยกับเจ้าเรื่องธุรกิจด้วยตัวเองเป็นแน่..”
“ห๊ะ!แล้วข้าควรทำเช่นใด? เฉิงเม่ยเฟิงร้องถามหลิงหยุนด้วยความตระหนกตกใจ
“ก็แค่สงบจิตสงบใจของเจ้าก่อน..”หลิงหยุนตอบยิ้มๆ
“เจ้าไม่ต้องตื่นตระหนกไปลุงสองของข้านั้น หากผู้ใดได้ร่วมงานกับเขา จะรู้สึกดีทุกคน..”
ข้าไม่ได้กังวลเรื่องงานเฉิงเม่ยเฟิงตอบกลับด้วยท่าทีเอียงดาย “หากลุงสองของเจ้ามาพบข้าแล้ว ต่อไปท่านพ่อกับท่านปู่ของเจ้าจะไม่มาพบข้าด้วยรึ..”
หลิงหยุนหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบกลับไปว่า “อ่อ.. เรื่องนั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวล ท่านพ่อกับท่านปู่ของข้าไม่มีเวลามาพบเจ้าด้วยตัวเองเป็นแน่ แต่.. เป็นได้ว่าลุงสองของข้าอาจพาเจ้ากลับไปพบพวกท่านได้..”
“ห๊ะ!”
เฉิงเม่ยเฟิงถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจอีกครั้งเพราะครั้งนี้แตกต่างจากการไปพบฉินจิวยื่อมากนัก เพราะครั้งนี้นางต้องไปตระกูลหลิงในฐานะภรรยาจริงๆ
เฉิงเม่ยเฟิงส่ายหน้าไปมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับประกาศเสียงแข็ง“ไม่.. ข้าจะไม่ไปตระกูลหลิงตามลับพังแต่ เจ้าต้องไปกับข้าด้วย หรือไม่ก็ชวนแม่นางซิงเฉินไปด้วยกัน คนยิ่งมากก็ยิ่งดี..”
“ได้ๆๆตกลง ข้าจะไปพร้อมกับเจ้า!”
หลิงหยุนเห็นสีหน้าท่าทาตื่นตระหนกของเฉิงเม่ยเฟิงก็อดที่จะนึกขั้นไม่ได้..
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ยื่นขวดหยกสีเขียวให้เฉิงเม่ยเฟิงพร้อมกับกำชับว่า“ข้ากลับมาจิงฉูครานี้ค่อนข้างยุ่งมาก อาจจะไม่มีเวลาไปเยี่ยมเยียนพ่อแม่ของเจ้า เจ้านำโอสถเยาว์วัยและโอสถโฉมสะคราญไปให้พ่อแม่ของเจ้าส่วนโอสถโฉมสะคราญอีกหนึ่งเม็ดนี้มอบให้กับน้องสาวของเจ้า..”
“อ่อ..อย่าลืมบอกพวกท่านด้วยว่า ข้าขอบคุณและซาบซึ้งใจยิ่งนัก ที่พวกท่านทั้งสองได้เลี้ยงดูและอบรมลูกสาวมาอย่างดี เพื่อให้เป็นภรรยาของข้าในวันนี้..”
“เจ้าห้ามลืมคำพูดประโยคนี้อย่างเด็ดขาด..”
“อีกอย่างต่อให้ท่านลุงเฉิงวางมือจากกิจการแล้ว ก็ยังคงต้องอยู่เป็นประธานอาวุโสคอยดูแลกิจการอยู่ห่างๆ ไม่มีใครเหมาะสมกับตำแหน่งนี้เท่ากับเขาอีกแล้ว!”
“เจ้าเองก็จะได้มีเวลามาดูแลกิจการของบริษัทหลิงหยุนคอร์ปอเรชั่นได้อย่างเต็มที่..”
เฉิงเม่ยเฟิงมองหน้าหลิงหยุนด้วยความรักใคร่..“หลิงหยุน.. ขอบใจเจ้ามาก!”