ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 517 รถสักคันนายก็ไม่มีปัญญาซื้อ

บทที่ 517 รถสักคันนายก็ไม่มีปัญญาซื้อ

หลินอิ่งมองไปที่ฉู่ฉู่ พยักหน้าเล็กน้อย

“พวกเราไปเถอะ ดูว่าเขามีความสามารถแค่ไหน”

จากเดิม เขาไม่อยากถือสากับคนอย่างซือหม่าเฟิง แต่ว่า ฉู่ฉู่เป็นแขกพิเศษของตระกูลฉู่ รับปากว่าจะช่วยฉู่สงซานดูแลลูกสาวของเขาในตี้จิงอย่างดี ก็จะให้ฉู่ฉู่รู้สึกเสียหน้าในตี้จิงไม่ได้

“ได้ค่ะ” ฉู่ฉู่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ดูเหมือนดีใจมาก

กำลังพูดอยู่ หลินอิ่งก็เดินไปในทางเดินหรูหราอีกด้านหนึ่งของร้านอาหาร ฉู่ฉู่เดินตามอยู่ข้างหลัง ส่วนฮาเดสก็สังเกตเห็นแล้วเดินตามไป

“เหอะ ยังปากแข็ง เดี๋ยวดูว่านายจะขายหน้ายังไง” ซือหม่าเฟิงหัวเราเย็นชา สีหน้าดูถูก

ในโรงแรมสากลกวงหุย เขามีห้องโถงสะสมส่วนตัวอยู่ชั้นหนึ่ง

ครั้งนี้เชิญผู้คนในแวดวงไฮโซมาร่วมงานมากมาย ก็จัดขึ้นในห้องโถงสะสมส่วนตัวของเขา

ความชอบของซือหม่าเฟิงก็คือสะสมรถ นาฬิกา ของมีค่าต่างๆนานา ล้วนสะสมไว้ในห้องโถงนี้เพื่อให้ผู้คนมาชื่นชมทรัพย์สินของเขา แสดงความร่ำรวย

คราวนี้ ไอ้แซ่หลินยังแสดงต่อไป เดี๋ยวดึงออกมาดู ดูว่าไอ้ขยะนี่ยังมีหน้าอะไรมาพูดอีก

“พี่เฟิง ทำไมถึงห้ามไม่ให้พวกเราลงมือ ไอ้ไร้น้ำยานั่น เพียงแค่พี่สั่งแค่คำเดียว ฉันก็ซ้อมให้มันตายเหมือนหมาคุกเข่าอยู่บนพื้นทันที”​

“ใช่ พี่เฟิง ไอ้ไร้น้ำยาแซ่หลินนั่น เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าเป็นแค่พนักงานต่ำต้อยที่ไม่มีเงินไม่มีอำนาจ จัดการมันได้เลย ไม่เห็นต้องฟังมันไร้สาระอะไรอีก?”

คนติดตามสองคนที่อยู่ข้างกายซือหม่าเฟิง ยืนถามอย่างสงสัย

“ใช้ พี่เฟิง พี่อยากได้ฉู่ฉู่ใช่ไหม? นี่มันเรื่องง่ายนิดเดียว พี่อำนาจในตี้จิงใหญ่โต อยากได้ผู้หญิงต่างถิ่นคนเดียวยังไม่ง่ายเหรอ?”

“ใช่ ขอแค่พี่สั่งแค่คำเดียว ลูกน้องข้างล่างจะจัดการทุกอย่างเอง”

มีผู้หญิงอีกสองคนพูดประจบอยู่ข้างกาย

“เหอะ” ซือหม่าเฟิงทำเสียงเย็นชา ต้องหลังของหลินอิ่งและฉู่ฉู่ที่เดินไปด้วยสายตาโหดเหี้ยม กำหมัดไว้แน่น ดูเหมือนไม่พอใจอย่างมาก

“จัดการคนไร้น้ำยาแบบนี้มันเป็นเรื่องที่คุณชายอย่างฉันออกคำสั่งแค่คำเดียวเท่านั้น” ซือหม่าเฟิงพูดอย่างยโส “แต่นั่นมันมีความหมายอะไร? ไอ้แซ่หลินมันไม่รู้ว่าตัวเองไร้น้ำยา ฉันจะมาสั่งสอนมันดีๆเอง”

“จัดการคนแบบนี้มันต้องแกล้งให้สะใจหน่อย ฉันจะเล่นให้มันตายในตี้จิง พวกนายกลับไปแล้ว ไปช่วยฉันสืบให้ชัดเจนว่าไอ้หน้าโง่นั่นมาเป็นใครมาจากไหน ฉันจะทำให้มันคุกเข่าขอร้องต่อหน้าฉัน”

ซือหม่าเฟิงสั่งด้วยสีหน้าเย็นชา พาคนติดตามหลายคน เดินเข้าไปในสถานที่จัดงานเลี้ยง

ห้านาทีผ่านไป

ภายในโรงแรมสากลกวงหุย สถานที่จัดงานเลี้ยง

ที่นี่เป็นห้องโถงแสดงสินค้าขนาดใหญ่มาก ตกแต่งอย่างหรูหรา โคมระย้าอันวิจิตรงดงามและไม่ธรรมดา และยังมีห้องรับรองหรูหราอีกหลายห้อง

ภายในห้องโถงปูด้วยพรมแดง มีชายหญิงแต่งกายหรูหรา บุคลิกไม่ธรรมดามากมายเดินไปเดินมา ในมือของทุกคนต่างก็ถือแก้วทรงสูง และพูดคุยกับ

“คุณชายเฟิง”

“คุณชายเฟิง มาแล้วเหรอ ทุกคนกำลังรอท่านอยู่”

พอซือหม่าเฟิงเข้าไปในงาน คนในงานต่างก็ทักทายด้วยสีหน้าที่เคารพ

ซือหม่าเฟิงสีหน้าเพลิดเพลิน มองฉู่ฉู่และหลินอิ่งด้วยสายตาได้ใจ

“ฉู่ฉู่ เพื่อนที่ผมเชิญมาในวันนี้ต่างก็เป็นคนมีอำนาจไม่น้อยในตี้จิง มีทุกสาขาอาชีพ ถ้าหากเธอมาตี้จิงมีเรื่องอะไรต้องทำ ถ้าอย่างนั้นก็หาถูกคนแล้ว ผมทำให้คุณได้”

พูดไป ซือหม่าเฟิงก็เหล่ตามองหลินอิ่งอีกครั้ง พูดอย่างเย็นชา “ไอ้แซ่หลิน ทุกคนในนี้ต่างเป็นผู้ลากมากดีมีฐานะ ไม่แน่ล่ะประธานบริษัทนายอาจจะอยู่ในนี้ก็ได้”

“เปิดหูเปิดตาดูหน่อยนะ ไอ้ขยะ”

หลินอิ่งยิ้มแต่ไม่พูด กวาดตามองไปเรื่อยเปื่อย

คนในงาน เขาไม่รู้จักสักคน และไม่จำเป็นต้องรู้จัก

ในตี้จิงมีใครมาโอ้อวดอำนาจเครือข่ายความสัมพันธ์ ช่างน่าสนใจจริงๆ

“คุณชายเฟิง เมื่อกี้ผมเห็นรถที่คุณสะสมแล้ว สุดยอดจริงๆ ล้วนเป็นรุ่นจำกัดทั่วโลก ผมถูกใจคันหนึ่ง มีโอกาสได้มาครอบครองไหม?”

“คุณชายเฟิง นาฬิกาและวัตถุโบราณที่คุณสะสม ต่างเป็นของมีค่าที่เห็นน้อยมาก คุณอายุยังน้อย มีแววตาแบบนี้ ช่างเป็นนักสะสมที่เก่งมาในตี้จิง”

มีชายวัยกลางคนสองคนที่แต่งกายไม่ธรรมดาเดินเข้ามา ยกแก้วดื่มให้ซือหม่าเฟิง ทั้งคู่มีสีหน้าที่ประจบสอพลอ

ซือหม่าเฟิงยิ้มอย่างได้ใจ ยกแก้วชนกลับ พูดอย่างดีใจ “ประธานทั้งสองท่านชมเกินไป วันนี้ผมจัดงานเลี้ยง ก็เพื่ออยากให้ทุกท่านมาชื่นชมงานสะสมด้วยกัน ถ้าหากประธานทั้งสองถูกใจ เลือกได้ตามสบายเลย ผมเอาออกมาวันนี้ ก็เพื่อจะเอามาให้ทุกท่าน”

“คุณชายเฟิง คุณช่างใจกล้าจริงๆ ของสะสมของคุณ เลือกมาสักชิ้นมูลค่าก็เกินล้านทุกชิ้น รถสะสมยิ่งระดับคันละระดับสิบล้าน บอกให้คนอื่นก็ให้เลย นี่มันใจกว้างเกินไปแล้ว”

“คุณชายเฟิง คุณยอมสละของรัก ก็ถือว่าให้เกียรติพวกเรามากแล้ว พวกเราสามารถได้ของสะสมมีค่ามา ก็ต้องให้เงินตามมูลค่าอยู่แล้ว”

ชายวัยกลางคนทั้งสองพูดประจบ พูดชื่นชมกันไปมา

ซือหม่าเฟิงสีหน้ายิ่งอยู่ยิ่งได้ใจ มองหลินอิ่งด้วยสายตาเหยียดหยาม จากนั้นก็มองไปที่ฉู่ฉู่ พูดว่า “ฉู่ฉู่ ผมขอแนะนำหน่อย ท่านนี้คือประธานบริษัทการประมูลหยุนเหาประธานลู่ ส่วนท่านนี้คือประธานหยังจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์หยังซื่อ พวกเขาต่างก็เป็นเพื่อนที่ไปมาหาสู่ประจำกับผม มีเรื่องด้านนี้ แค่ทักทายก็พอ”

ฉู่ฉู่ไม่ได้รับคำ ยืนอยู่ข้างหลินอิ่งอย่างเรียบร้อย

ทำให้ซือหม่าเฟิงสายตาหดหู่ มองหลินอิ่งอย่างเย็นชา

“ฉู่ฉู่ มา ผมจะให้คุณดูความชอบบางส่วนของผม” ซือหม่าเฟิงอดกลั้นความโมโหไว้ ยื่นมือชี้ไปอีกด้าน พูดด้วยท่าทางโอหัง​ “ปกติผมก็ไม่ได้มีความชอบอะไรมากมาย ก็แค่ชอบสะสมรถหรูและนาฬิกา แล้วก็วัตถุโบราณล้ำค่า”

“ฉู่ฉู่ ถ้าหากเธอชอบ ก็เลือกคันหนึ่งขับกลับไปเลย” ซือหม่าเฟิงพูดอย่างใจกว้าง

ทิศทางมือที่เข้าชี้ เป็นรถหรูที่เรียงกันเป็นแถว

Bugatti Veyron Lamborghini Veneno ไมบัค รถหรูยี่ห้อชื่อดังระดับโลกต่างๆนานา ประมาณยี่สิบกว่าคัน ล้วนเป็นรุ่นจำนวนจำกัดที่มีเงินก็ซื้อได้ยาก

จัดเรียงกันเป็นแถว ดูแล้วหรูหราเป็นอย่างมาก

อีกด้านหนึ่งของลานโชว์รถ จัดวางโต๊ะไม้ยาวหลายตัว ด้านบนจัดวางเครื่องหยกล้ำค่าเป็นชิ้นๆ และเครื่องปั้นดินเผาโบราณของแต่ละราชวงศ์ และตู้กระจกทั้งแถว จัดเรียกนาฬิกาหรูจากทั่วโลกสองสามร้อยเรือน และนาฬิกาพกพาโบราณ

มีคนล้อมรอบชื่นชมอยู่มากมายแล้ว ต่างก็สีหน้าตะลึง

สิ่งที่ซือหม่าเฟิงโชว์ออกมา ของสะสมล้ำค่าทั้งหมด มูลค่าทั้งหมดก็สามารถทำให้คนในงานตกใจได้แล้ว สามารถเทียบเท่าได้กับบริษัทจดทะเบียนหลายบริษัทแล้ว

“ฉู่ฉู่ ส่วนขอพวกนี้ ล้วนเป็นของที่ฉันสะสมอย่างตั้งใจ เป็นยังไงบ้าง? ถูกใจอะไร ก็เลือกได้ตามสบาย ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอชอบอะไร แค่อยากให้ของขวัญกับเธอสักชิ้น” ซือหม่าเฟิงพูดด้วยสีหน้าได้ใจ

ฉู่ฉู่ส่ายหน้า สำหรับขอพวกนี้ไม่ได้มีความสนใจเลย วินาทีนี้ในสายตาเธอ มีเพียงแค่หลินอิ่งคนเดียว

ของพวกนี้มูลค่าจะสูงแค่ไหน สำหรับเธอแล้วไม่มีความหมายเลย

“ซือหม่าเฟิง แค่นี้? นี่ก็คือความสามารถที่คุณอยากจะแสดงให้ผมดู?” หลินอิ่งมองไปที่หลินอิ่งอย่างเย็นชา แล้วถามเขา

“ฮาฮา” ซือหม่าเฟิงหัวเราะฮาฮา สายตาเหยียดหยามอย่างที่สุด พูดอย่างหยอกล้อ “ฉันไม่รู้จริงๆว่านายมีหน้าพูดประโยคนี้ออกมาได้ยังไง? ไอ้ไร้น้ำยาอย่างนาย ยังดูไม่ออกอีกเหรอว่านายกับฉันมันต่างกันกี่ระดับเหรอ?”

“อย่างอื่นไม่ต้องพูด แค่เลือกรถสักคน นายมีเงินซื้อไหม? ไอ้ไร้น้ำยาอย่างนายพยายามทั้งชาติก็ไม่มีปัญญาซื้อ”​ ซือหม่าเฟิงพูดจาเสียดสีอย่างเย็นชา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท