ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 529 พี่ชายไว้หน้ากันสักครั้งได้ไหม

บทที่ 529 พี่ชายไว้หน้ากันสักครั้งได้ไหม

“ฮัลโหล? พี่ชาย หนูคือชิวอวี่ ช่วงนี้อยู่ที่ตี้จิง”

ทางโทรศัพท์ เป็นเสียงหวานของกงซุนชิวอวี่ที่ดังมา

“ออ? เรื่องของพ่อเธอทางโน้นจัดการเรียบร้อยแล้วเหรอ” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

“ต้องขอบคุณที่พี่ช่วยเหลือครั้งที่แล้ว รักษานายท่านให้หาย ตอนนี้ เรื่องภายในตระกูลกงซุนก็จัดการได้พอประมาณแล้ว” กงซุนชิวอวี่พูด “เพราะฉะนั้น หนูถูกพ่อส่งมาที่ตี้จิง”

“ใช่แล้ว พี่ หนูได้รับข่าวที่มณฑลเกาหยาง ได้ยินว่าพี่กับตระกูลสวีในตี้จิงกำลังแข่งขันกัน หนูยังได้ยินข่าวเรื่องคุณตาป่วยหนัก ข่าวลือข้างนอกฟังน่าตกใจ ครั้งที่แล้วหนูอยากไปเยี่ยมคุณตาที่จื่อหลงซาน ถูกขวางไว้ข้างนอก ตอนนี้อาการของคุณตาเป็นยังไงบ้าง?” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างกังวล

“ไม่เป็นไร เรื่องพวกนี้เธอไม่ต้องห่วง ตอนนี้ร่างกายนายท่านมีมาก” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง

“ออ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นพี่มีเวลาว่างไหม ครั้งหน้าพี่พาหนูไปเยี่ยมคุณตาที่จื่อหลงซานนะ หนูคนเดียวไม่มีสิทธิ์เข้าไปในสถานพยาบาลทหาร” กงซุนชิวอวี่พูด

“อืม เดี๋ยวพี่จะหาเวลาแล้วโทรหาเธอละกัน” หลินอิ่งรับปาก

“ได้ค่ะ” พูดถึงตรงนี้ กงซุนชิวอวี่ก็เปลี่ยนเรื่อง “ถ้าอย่างนั้น พี่ชาย หนูไปหาพี่ที่เมืองเทียนหลงตอนนี้ได้ไหม? หนูมีเรื่องจะให้พี่ช่วย”​

หลินอิ่งยกน้ำชาขึ้นดื่ม คนที่เห็นว่ากงซุนชิวอวี่โทรมา เขาก็เดาออกแล้วว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับกงซุนชิวอวี่แน่นอน

คาดว่าคงเพราะตระกูลกงซุนแบกรับแรงกดดันนี้ไม่ไหว ถึงให้กงซุนชิวอวี่มาพูดกับเขา

“ชิวอวี่ มีเรื่องอะไรก็พูดตามตรง” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

“คืออย่างนี้ พี่ ทางด้านนายท่านบ้านหนูมีคำพูดให้หนูมาบอกกับพี่ บอกว่าพี่ปล่อยตัวกงซุนสือได้ไหม ไว้ชีวิตให้เขาครบสามสิบสองส่วน” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างระมัดระวัง

“ให้ครบสามสิบสอง?” หลินอิ่งหัวเราะ คำพูดที่นายท่านตระกูลกงซุนฝากมา

ตระกูลกงซุนยังถือว่ารู้ตัว ไม่ได้ขออะไรมากเกินไป หวังแค่เขาอย่างทำกงซุนสือพิการ

“พี่ชายไว้หน้ากันสักครั้งได้ไหม?” กงซุนชิวอวี่น้ำเสียงอ่อนโยน พูดอย่างอ้อนวอน

“พี่ กงซุนสือเขาไม่รู้ฐานะของพี่ ก็เลยยโสโอหัง หนูรู้นิสัยพี่ชายคนนี้ดี ความจริงเขาขี้ขลาดมาก ครั้งนี้รู้ว่าพี่เก่งแค่ไหนแล้ว จากนี้ไปต้องไม่กล้าไปหาเรื่องพี่อีกแน่นอน” กงซุนชิวอวี่พูดขอร้อง

“เรื่องของกงซุนสือ พี่จะจัดการเอง” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

หลินอิ่งก็ไม่ได้คิดจะไปเอาความกับคนอย่างกงซุนสือ

เขาก็อยากดูว่าพวกผู้ใหญ่ของตระกูลกงซุน กงซุนเฟยหงพ่อของกงซุนสือว่าจะมีทัศนคติอะไร

ครั้งที่แล้วส่งคนมาฆ่าเขาถึงมณฑลตงไห่ เขาหักขาของกงซุนเฟยเจี้ยนไป บัญชีนี้ยังไม่ทันได้ชำระ

กงซุนสือเป็นแค่คุณชายเจ้าสำราญที่ไม่มีอะไรสำคัญเลย ตอนนี้ สั่งสอนเขาเสร็จ ปล่อยตัวก็ไม่เป็นไร

“ได้ค่ะ พี่ พี่รอหนูสักครู่ รถของหนูใกล้ถึงเมืองเทียนหลงแล้ว เจอกันอีกสิบนาที” กงซุนชิวอวี่พูดด้วยเสียงหวาน

วางสายแล้ว หลินอิ่งวางโทรศัพท์ กินข้างต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ฉู่นั่งมองหลินอิ่งอยู่ด้านข้าง ก้มหน้ากินข้าว คิดอะไรในใจ

“คุณหลิน เมื่อกี้น้องสาวคุณโทรมาเหรอคะ?” ฉู่ฉู่ถามอย่างระมัดระวัง

หลินอิ่งมองฉู่ฉู่ทีหนึ่ง พยักหน้าเล็กน้อย “ใช่”

“ออ รู้แล้ว คุณหลิน ถ้าอย่างนั้นน้องสาวคุณคงน่ารักมาก ฟังเสียงแล้วดูเหมือนยังเด็กมาก” ฉู่ฉู่เริ่มบทสนทนา ตามต่อ

“ก็ไม่หรอก เธอกับคุณอายุน่าจะใกล้เคียงกัน” หลินอิ่งตอบเสียงเรียบ “เดี๋ยวเธอก็มาถึง พวกคุณอายุไล่เลี่ยกัน รู้จักกันไว้ได้”

“อืม” ฉู่ฉู่พยักหน้า สายตาเลื่อนลอย ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

เท่าที่เขาดูแล้ว ปกติคุณหลินเป็นคนเย็นชา ข้างกายแทบไม่มีเพศตรงห้ามอยู่เลย

แต่ดูแล้ว คุณหลินกับน้องสาวคนนี้ดูเหมือนความสัมพันธ์จะดีพอสมควร คุยกันอย่างเป็นกันเอง

โดยเฉพาะ น้องสาวกงซุนคนนี้รู้จักคุณหลินก่อนเธอ ในใจฉู่ฉู่ต้องอดรู้สึกแปลกๆไม่ได้

สิบนาทีผ่านไป

รถไมบัคคันหนึ่งจอดอยู่หน้าร้านอาหาร คนขับรถสาวเปิดประตูรถ กงซุนชิวอวี่ลงจากรถ เดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม

เธอใส่กระโปรงยาวสีครีมดูบุคลิกสง่างาม ใส่แว่นตาขอบทอง ดูแล้วสวยหรูดูสง่า เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งความงาม

“พี่ชาย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คิดถึงพี่มากเลย” หลังจากกงซุนชิวอวี่เดินเข้ามา เดินเข้าไปทักทายหลินอิ่งสีหน้ายิ้มแย้ม “ช่วงนี้สบายดีไหม?”

หลินอิ่งพยักหน้า พูดว่า “สบายดี”

“ชิวอวี่ เธอมาแล้วเหรอ พี่ถูกเขาแขวนตัวซ้อมตี รีบช่วยพี่พูดขอร้องหน่อย”

ขณะที่ทั้งสองทักทายกัน กงซุนสือก็ตะโกนเสียงดัง เหมือนเห็นผู้ช่วยชีวิตมาถึง

กงซุนชิวอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไป เห็นแค่กงซุนสือและเจิ้งหยวนเป่าถูกมัดแขนไว้ แขวนไว้กลางอากาศ รอบด้านยืนเต็มไปด้วยชายหนุ่มชุดสูทสีหน้าเคร่งขรึม

พวกเขาสองคน เต็มไปด้วยรอบบอบช้ำ หน้าก็ถูกตบจนบวม ผมเผ้ายุ่งเหยิงดูโทรมไปหมด

ถ้าหากไม่ได้ใส่เสื้อยี่ห้อทั้งตัว ใส่นาฬิกาหรูราคาระดับสิบล้าน ทั้งสองคนก็เหมือนกับขอทานข้างถนนไม่มีผิด

“พี่ นี่พี่ทำอะไรกันเนี่ย?” กงซุนชิวอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตารังเกียจ

เป็นพี่ชายเหมือนกัน อายุก็ไล่เลี่ยกัน ต่างก็เกิดในห้าวงศ์ตระกูลใหญ่แห่งตี้จิงเหมือนกัน

ทำไม ระหว่างพี่ชายกงซุนสือกับพี่ชายหลินอิ่ง ถึงได้แตกต่างกันมากขนาดนี้?

แล้วก็เจิ้งหยวนเป่าคนนั้น เที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกกับกงซุนสือไปวันๆ คุณชายเจ้าสำราญตัวจริง ตอนนั้นคนในตระกูลยังจะจับคู่เธอให้แต่งงานกับเจิ้งหยวนเป่า?

ยังดีที่มีพี่ชาย ตอนนั้นไปที่มณฑลเกาหยางรอบหนึ่ง ซ้อมเจิ้งหยวนเป่าจนเกือบตาย ถึงทำให้เรื่องงานแต่งนี้จนวุ่นวาย

“พี่ทำยังไงเหรอ? เห้อ ชิวอวี่ นี่ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งนั้น เธอ เธอต้องช่วยพี่ขอร้องหน่อยนะ พี่ทำผิดไปแล้ว” กงซุนสือพูดขอร้อง ถูกแขวนอยู่กลางอากาศ พูดด้วยสีหน้าแดงก่ำ

เรื่องนี้เขารนหาที่เอง ไปพูดจาเสียดสีหลินอิ่งเองก่อน ปรากฏว่าถูกซ้อมจนต้องให้น้องสาวมาช่วยพูดขอร้อง ยังต้องขอโทษ

อับอายขายหน้าไปหมดแล้ว

แต่โชคดี แม่ของกงซุนชิวอวี่เป็นลูกบุญธรรมของนายท่านตระกูลฉี น้องสาวกับหลินอิ่งก็มีความสัมพันธ์เป็นญาติกัน ยังสามารถพูดจากันได้ ไม่อย่างนั้น วันนี้คงต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่แน่

“หนูช่วยพี่พูดดูละกัน ว่าทางพี่หนูเขาจะอภัยให้ไหม ยังต้องดูพฤติกรรมยอมรับผิดของพี่ด้วย” กงซุนชิวอวี่ขมวดคิ้วพูด ยิ่งดูยิ่งรู้สึกกงซุนสือไม่เอาไหน ทำให้ตระกูลกงซุนต้องอับอายขายหน้า

“อันนั้น ชิวอวี่ คุณช่วยผมขอร้องหน่อยนะ ช่วยพูดกับคุณชายอิ่งหน่อย…….” เจิ้งหยวนเป่าสีหน้าประจบพูดจาขอร้อง

ก่อนหน้านี้เจิ้งหยวนเป่ายังไม่ยอมหลินอิ่ง แต่พอรู้ว่าเขาเป็นคุณชายอิ่งแล้ว ก็ตกใจจนขี้ขลาดหมดแล้ว ในใจไม่มีความกล้าที่จะไปท้าทายกับหลินอิ่งแล้ว ขอแค่ให้ผ่านด่านนี้ไปก่อน ศักดิ์ศรีอะไรก็ปล่อยไปก่อน

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท