“เหอะ” กงซุนชิวอวี่หัวเราะเย็นชา ไม่อยากสนใจเจิ้งหยวนเป่า ค่อยๆเดินไปหาหลินอิ่ง
เจิ้งหยวนเป่ารู้สึกเหมือนโดยดูถูก สีหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย จนอยากหาหลุมมุดลงไป
ตอนนั้นเขาตามจีบกงซุนชิวอวี่ ยังเห็นหลินอิ่งเป็นคู่แข่งไปโกรธแค้นเขา
ยังไงก็คิดไม่ถึง ว่าจะมาอยู่ในสภาพแบบนี้……
ตกอยู่ในสภาพที่ให้ขอร้องให้กงซุนชิวอวี่ไปช่วยพูดกับหลินอิ่ง……
“พี่ นี่เป็นของขวัญที่หนูเอามาให้พี่ แล้วก็มีน้ำใจเล็กน้อยจากคุณปู่หนูฝากมา ให้หนูเอาให้พี่” กงซุนชิวอวี่นั่งเข้าไปในโต๊ะ เอากล่องของขวัญหลายชิ้นมาจากมือบอดี้การ์ดสาวด้านข้าง
“ปู่ของหนูจำบุญคุณที่พี่ช่วยรักษาอาการป่วยไว้ตลอด กำชับหนูซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าทางพี่มีอะไรที่ต้องการ ก็เปิดปากได้ตลอด” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างจริงจัง
หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย พูดอย่างเรียบเฉย “ช่วยบอกนายท่านกงซุน ว่าพี่รู้แล้ว ใช่แล้ว กินข้าวหรือยัง อาหารร้านนี้ใช้ได้ กินอะไรหน่อยละกัน”
“อืม หิวพอดีเลย ถ้าอย่างนั้นหนูไม่เกรงใจแล้วนะ” กงซุนชิวอวี่หยิบตะเกียบขึ้นมา เอามือปิดปาก คีบกับข้าวมากิน
“ใช้ได้เลย” กงซุนชิวอวี่พูด “พี่ พี่ดูของขวัญพวกนี้ หนูเตรียมอย่างตั้งใจ แล้วยังมีของขวัญที่ตกลงจะเตรียมให้พี่สะใภ้”
พูดไป กงซุนชิวอวี่ก็เปิดกล่องของขวัญออก
ภายในกล่องของขวัญพลาสติก ไม่ใช่กล่องหยกที่สดใสดั่งคริสทัลงามวิจิตร ก็เป็นกล่องอัญมณีที่แกะสลักด้วยไม้จันทน์
ดูแค่กล่องที่ทำอย่างประณีตและมีค่านั้น ก็รู้ว่าของขวัญด้านในต้องมีมูลค่าสูงมาก
“กำไลหยกจักรพรรดิ ปู่ของหนูให้ช่างเกาะสลักโดยเฉพาะ ยังมีแป้งไข่มุกธรรมชาติอีกหลายชิ้น แล้วก็ผ้าห่มด้ายทองคำที่ทำจากช่างปักฝีมือดีอีกหนึ่งชิ้น……” กงซุนชิวอวี่ค่อยๆแนะนำ “พี่ ของพวกนี้สำหรับพี่แล้วไม่ได้มีค่าอะไร เป็นแค่น้ำใจเล็กน้อย ล้วนเป็นงานประณีต”
“ใช่แล้ว” กงซุนชิวอวี่เหมือนคิดอะไรได้ขึ้นมากะทันหัน หันไปมองฉู่ฉู่ที่นั่งข้างหลินอิ่ง สีหน้าแปลกใจ
“พี่ ทำไมพี่สะใภ้ไม่อยู่ข้างกายพี่ล่ะ? สาวสวยท่านนี้ที่อยู่ข้างพี่ เป็นใครเหรอ?” กงซุนชิวอวี่ถามอย่างระมัดระวัง มองหลินอิ่งด้วยสายตาแปลกๆ
พูดถึงจางฉีโม่ หลินอิ่งก็ตาตกเล็กน้อย พูดเสียงเรียบ “พี่สะใภ้เขาอยู่ที่ตงไห่ เขามีงานต้องยุ่ง”
“ออ?” กงซุนชิวอวี่สีหน้าหยอกล้อขึ้นมา “พี่ ครั้งที่แล้วก็เห็นข้างกายพี่มีสาวสวยแซ่หวัง ทำไมหาพี่ทีไร ข้างกายก็เปลี่ยนสาวสวยทุกครั้ง พี่นี่ใช้ได้เลยนะ พี่นี่ซ่อน…..?”
ได้ยินแล้ว ฉู่ฉู่สีหน้าก็เริ่มแดง รู้สึกเขินอาย
หลินอิ่งเอียงหน้า มองกงซุนชิวอวี่ด้วยสายตาเย็นชา
กงซุนชิวอวี่รีบหุบปาก แสดงท่าทางน่าสงสาร พูดว่า “หนูไม่ได้พูดอะไรเลยนะ พี่ สายตาพี่ดุเดินไปแล้วนะ อย่าดูหนูแบบนี้ หนูไม่รู้อะไรเลย หนูไม่บอกพี่สะใภ้หรอก”
“ในสมองของเธอนี่วันๆคิดแต่เรื่องอะไร?” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง “คนนี้พี่ขอแนะนำหน่อย คนนี้คือฉู่ฉู่ อาการป่วยของนายท่านครั้งนี้ พี่ขอความช่วยเหลือจากนายท่านตระกูลฉู่แห่งเตียนหนาน ก็คือคุณปู่ของฉู่ฉู่”
“ฉู่ฉู่อยู่เที่ยวต่อที่ตี้จิงสักพัก พี่ก็ต้องดูแลความปลอดภัยของเขาเป็นธรรมดา”
“ออ ออ” กงซุนชิวอวี่พยักหน้า เมื่อได้ยินชื่อตระกูลฉู่แห่งเตียนหนาน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา
คนของตระกูลฉู่เตียนหนาน ก็พูดจาล้อเล่นไม่ได้
“สวัสดีค่ะ ฉู่ฉู่ ฉันชื่อกงซุนชิวอวี่ เมื่อกี้ฉันพูดล้อเล่นกับพี่ชายฉัน คุณอย่าคิดมากนะคะ” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างเปิดเผย ยิ้มให้ฉู่ฉู่
“สวัสดี ชิวอวี่” ฉู่ฉู่ก็พยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม ตอบรับอย่างมารยาท
คิดไปครู่หนึ่ง กงซุนชิวอวี่พูดอย่างจริงจัง “พี่ หนูยังมีเรื่องจะคุยกับพี่ ไม่อย่างนั้น พี่ปล่อยพี่ชายที่ไม่เอาไหนคนนั้นของหนูเถอะ ให้เขามาขอโทษพี่ ไม่อย่างนั้นแขวนอยู่ตรงนั้น ดูแล้วก็รบกวนอารมณ์กินข้าวของเรา”
หลินอิ่งมองไปที่นิ่งซวน ส่งสายตาให้
นิ่งซวนพยักหน้ารับรู้ มองไปที่บอดี้การ์ดข้างกาย พูดว่า “ปล่อยไอ้หน้าโง่สองคนนี้”
เสียงฮวั๊ก เชือกถูกตัดขาด กงซุนสือกับเจิ้งหยวนเป่าร่วงลงมา ทั้งสองคนถูกซ้อมจนบวมไปทั้งตัวแล้ว เข่าอ่อนทั้งสองข้าง ยืนไม่ไหว ล้มกองอยู่กับพื้นเหมือนหมา
ทั้งสองคนสีหน้าแดงก่ำ ค่อยๆคลานขึ้นมา ก้มหน้าเดินเข้าหาถึงข้างโต๊ะที่หลินอิ่งกินข้าว
“พี่ ตอนนี้พี่ก็ขอโทษละกัน พี่ไม่ยอมรับผิดเอง จะให้หนูช่วยพูดขอร้องยังไง?” กงซุนชิวอวี่มองกงซุนสือ พูดอย่างเอือมระอา
ขณะนี้ ในใจของกงซุนสือสองคน อายจนอยากคลุมหัววิ่งออกไป อับอายขายหน้าจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
จากนี้ไปไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แม้แต่ต่อหน้าน้องสาวกงซุนชิวอวี่ พวกเขาสองคนก็ยกหัวไม่ขึ้นแล้ว
“ขอโทษ คุณชายอิ่ง ผมผิดไปแล้ว คำพูดที่ผมพูดเมื่อกี้มันไร้สาระทั้งนั้น เรื่องเข้าใจผิดทั้งหมด หวังว่าคนใหญ่โตอย่างท่านจะให้อภัย อย่าถือสาคนอย่างพวกเรา”
“ใช่แล้ว คุณชายอิ่ง ผมมีตาหามีแววไม่ ถึงได้ไปท้าทายท่าน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านก็เป็นลูกพี่ของผม ไปถึงไหน ผมก็ต้องก้มหัวให้ท่าน”
กงซุนสือและเจิ้งหยวนเป่าพูดจาประจบ โค้งตัวคำนับขอโทษไม่หยุด ทั้งสองคนหน้าบวมเหมือนหมู ยิ้มขึ้นมาน่าเกลียดกว่าร้องไห้อีก
หลินอิ่งไม่แสดงทัศนคติ ยกน้ำชาขึ้นดื่ม พูดอย่างเย็นชา “ครั้งหน้าให้ฉันได้ยินจากปากนายสองคนพูดถึงเรื่องฉันอีก ฉันจะตัดลิ้นของนายสองคน”
“อีกเรื่อง กงซุนสือ กลับไปบอกพ่อของนาย บอกกับเขาถ้ามาตี้จิงเมื่อไหร่ ให้ไปขอโทษด้วยตัวเองที่ตระกูลฉี เพราะอะไรในใจเขารู้ดี นี่เพราะฉันเห็นแก่หน้าของกงซุนฉงหลง ให้โอกาสเขาหนึ่งครั้ง”
หลังจากพูดประโยคนี้จบ หลินอิ่งก็พูดอย่างเรียบเฉย “ไสหัวไปได้”
“ครับ ของคุณ คุณชายอิ่งที่ให้โอกาส” กงซุนสือพยักหน้ารัวๆ หมุนตัวอย่างหวาดกลัว เดินขาเป๋ออกไปจากร้านอาหาร
“พี่ พี่กับลุงสองของหนูก็เคยมีเรื่องขัดใจกันเหรอ?” กงซุนชิวอวี่ถามด้วยสีหน้าสงสัย อดไม่ได้ที่จะกระซิบในใจ
“ไม่มีอะไร เรื่องนี้เธอไม่ต้องเป็นห่วง” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “ถึงแม้พี่จะลงมือกับตระกูลกงซุน ก็ไม่ทำอะไรพ่อและปู่ของเธอ”
ได้ยินประโยคนี้แล้ว กงซุนชิวอวี่ก็วางใจทันที พูดอย่างยิ้มแย้ม “พี่ หนูรู้แล้ว พี่ดีที่สุดเลย”
เงียบไปครู่หนึ่ง กงซุนชิวอวี่พูดอย่างจริงจัง “พี่ เรื่องใหญ่ที่หนูจะพูดกับพี่ ก็คือธุรกิจเกี่ยวกับเมืองเทียนหลง”
“ธุรกิจเมืองเทียนหลง?” หลินอิ่งมองกงซุนชิวอวี่อย่างสนใจ พูดว่า “ทำไม? ตระกูลกงซุนของเธอก็สนใจที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย?”
“นั่นมันแน่นอน โครงการใหญ่โตแบบเมืองเทียนหลง ตระกูลกงซุนของเราจะไม่เข้าร่วมได้ยังไง” กงซุนชิวอวี่พูด “ปู่หนูให้ความสำคัญกับธุรกิจเมืองเทียนหลงเป็นอย่างมาก ให้หนูมาเจรจากับพี่ดีๆ”
“คุยอะไรกับพี่?” หลินอิ่งหัวเราะ พูดอย่างสนใจ “ธุรกิจใหญ่โตขนาดนี้ เธอคุยได้เหรอ?”