ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 549 คุณชายอิ่งอย่าบังคับผม

บทที่ 549 คุณชายอิ่งอย่าบังคับผม

“หวงชิงซาน? เหอะเหอะ ไอ้แก่ยอมออกมาแล้วเหรอ?” พี่เปาวางโทรศัพท์ลง หรี่ตาดูชายวัยกลางคนที่เดินลงมา

“พี่เปา พี่ก็รู้ ร้านของผมมันบริหารไม่ได้ดั่งใจเท่าไหร่นัก เงินนี้ ฉันจะค่อยๆคืนให้” หวงชิงซานพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“แกคืนเงิน? แกมีปัญญาคืนเหรอ?” เปาต๋าพูดด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “ฉันไม่ได้ขาดเงินของแกแค่นั้น ไอ้แก่หวง พูดตามตรงกับแกแล้ว ฉันถูกใจลูกสาวแก แกก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้?”

“ต่อจากนี้ให้เธอติดตามฉัน ฉันรับรองว่าพวกแกสองคนจะสุขสบายในตี้จิง อย่ามาหาเรื่องเอง”

“พี่เปา อย่ารังแกคนอื่นกันเกินไปเลย เหลือหนทางไว้ให้ฉันด้วย” หวงชิงซานเดินไปข้างหน้าพี่เปา พูดด้วยสีหน้าจริงใจ

“ตอนแรกฉันยืมเงินหนึ่งล้าน คืนไปแล้วหกเจ็ดแสน ถ้าไม่ได้จริงๆ ร้านนี้ฉันยกให้ จากนี้ ก็อย่ามาหาเรื่องครอบครัวเราอีก ได้ไหม?” หวงชิงซานพูดอย่างถ่อมตัว

“ไอ้แก่เอ้ย ยังมายื่นข้อเสนอกับฉันอีก?” พี่เปาหัวเราะเย็นชา สีหน้าเหยียดหยาม

เพี๊ยะ

พี่เปาสายตาโหดร้าย ตบเข้าที่หน้าของหวงชิงซานอย่างแรง จนเขาถอยไปหลายก้าว

“เย็ดแม่มึงเอ้ย ยังหาเด็กสองคนมาท้าทายฉันเหรอ? ไว้หน้าแกแล้วยังไม่เอา?” พี่เปาพูดเสียงเย็นชา

“แคกแคก……” หวงชิงซานไอไปสองครั้ง สีหน้าดูแล้วอ่อนเพลีย “พี่เปา เป็นคนก็เหลือหนทางกันบ้าง ฉันไม่ได้จะเป็นอริด้วย สองคนนี้ฉันไม่รู้จัก พี่ก็ขูดรีดกำไรจากฉันพอสมควรแล้ว ทำไมยังต้องบีบกันถึงตายด้วย?”

“ไม่ต้องมาไร้สาระกับฉัน วันนี้ไม่ใช่วันที่แกตัดสินได้” พี่เปาพูดอย่างอวดดี “คนของฉันเดี๋ยวก็ถึง วันนี้ลูกสาวแกฉันต้องเอาแน่ อีกอย่าง ไม่คืนเงิน ฉันก็จะปิดร้านของครอบครัวแก”

“แล้วก็ไอ้เด็กเวรสองคนนี้ วันนี้อย่าคิดเดินออกจากประตูนี้ได้”

พูดไป พี่เปาก็จ้องหน้าหลินอิ่งกับเย่เฮยอย่างดุร้าย สีหน้าไม่พอใจ

เท่าที่เขาดูแล้ว หลินอิ่งกับเย่เฮย ก็แค่ไอ้เด็กไม่มีสมองที่ไอ้แก่หวงเรียกมาเท่านั้น กลับกล้าทำร้ายคนของเปาต๋าในซอยหยกมณีแห่งนี้? รนหาที่ตายจริงๆ

“เจ้านายหวงติดเงินแกเท่าไหร่?” หลินอิ่งมองเปาต๋า พูดอย่างเรียบเฉย “ฉันช่วยเขาคืน”

“ออ?” เปาต๋าตาเป็นประกาย มองหลินอิ่งอย่างประหลาดใจ พูดอย่างสงสัย “แกคืน? อย่างแกเหรอมีปัญญาช่วยเขาคืน?”

หลินอิ่งพูดเรียบเฉย “แกว่ามา เขาติดเงินแกเท่าไหร่?”​

“ออ? น่าสนุก ไอ้แก่หวง หรือว่าแกรู้จักคุณชายลูกเศรษฐีหน้าโง่เงินเยอะด้วยเหรอ? ช่วยแกคืนเงิน?” พี่เปาหัวเราะอย่างสนุก มองหลินอิ่งอย่างเหยียดหยาม “ต้องคำนวณดอกเบี้ย เขาติดฉันสามสิบแปดล้าน แกมีปัญญาคืนไหม?”

“ได้ เงินฉันโอนให้เดี๋ยวนี้ จากนี้ไป แกอย่ามาปรากฏตัวให้ฉันเห็นอีก” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ

“โอ้โห ปากเก่งไม่เบานะ” เปาต๋าหัวเราะเย็นชา สีหน้าหยอกล้อ

“เจ้าหนุ่ม เรื่องของฉัน คุณไม่ต้องยุ่ง” หวงชิงซานมองหลินอิ่ง ตาเป็นประกายอยู่ครู่หนึ่ง พูดเรียบเฉย “ความสัมพันธ์ของฉันกับครอบครัวคุณ ใช้หมดแล้ว ฉันไม่หวังว่า คนในครอบครัวคุณ จะมารบกวนชีวิตของฉันอีก”

หลินอิ่งขมวดคิ้ว รู้สึกพฤติกรรมของหวงชิงซานผิดปกติ

เขารู้ว่าตัวเองเป็นคนของตระกูลฉี แต่กลับเย็นชาขนาดนี้ หรือว่าระหว่างนี้จะมีเรื่องราวพลิกผันอะไร?

อีกอย่าง หลินอิ่งรู้สึกได้ว่า หวงชิงซานเป็นยอดฝีมือที่มีวิชาไม่ธรรมดาคนหนึ่ง ทำไมถึงได้ทนคนชั่วร้ายอย่างเปาต๋าตบหน้า?

“พี่เปา เงินที่ฉันติด ฉันจะคิดหาวิธีจัดการเอง เขาเป็นแค่คนธรรมดา คืนเงินมากมายขนาดนี้ไม่ได้” หวงชิงซานพูดอย่างจริงจัง “เพราะฉะนั้น เรื่องของเรา ไปคุยกันข้างบน ไม่เกี่ยวกับหนุ่มสองคนนี้ อย่าไปทำให้เขาลำบากใจเลยนะ”

“หลบไป”

พี่เปายื่นมือผลักหวงชิงซานไปด้านข้างอย่างแรก สีหน้าสนุก เดินไปข้างหน้าหลินอิ่ง นั่งลงอย่างสง่าผ่าเผย

เขานั่งอยู่ข้างหน้าหลินอิ่ง สายตาอวดดี จ้องสังเกตบนตัวหลินอิ่งอย่างโอหัง แววตาอันโลภนั้นเหมือนกับมองภูเขาทองคำอยู่ แต่ไม่ใช่มองคน

“อย่าเพิ่งพูด ไอ้เด็กหนุ่มนี่นั่งตรงนี้ ยังพอมีบุคลิกของคุณชายลูกเศรษฐีอยู่บ้าง” พี่เปาพูดอย่างสนุก “ดีไม่ดี ไอ้หนุ่มนี่อาจจะช่วยไอ้แกหวงคืนเงินก็ได้”

หลินอิ่งพูดเสียบเรียบ “เงินในบัตรใบนี้พอเพียงแล้ว เอาไปถอน”

พูดจบ เขาก็โยนบัตรธนาคารใบหนึ่ง ไปไว้ข้างหน้าเปาต๋า

เปาต๋าหัวเราะเย็นชา ไม่ดูบัตรธนาคารเลยแม้แต่น้อย จ้องหน้าหลินอิ่งอย่างเย็นชาโหดร้าย

“ไอ้แก่หวงติดเงินฉันสามสิบหกล้านจริง แต่แกอยากจัดการเรื่องนี้ให้จบ เงินแค่นี้ไม่พอหรอก” เปาต๋าพูดอย่างหยอกล้อ “บอดี้การ์ดแกทำร้ายคนของฉัน นั่นก็เท่ากับตบหน้าฉัน”

“ตามกฎของฉันแล้ว วันนี้อย่างน้อยต้องหักแขนแกหนึ่งข้าง”

เปาต๋าพูดอย่างใจเย็น “เพราะฉะนั้น อย่างน้อยแกต้องเอามาห้าพันล้าน รวมทั้งหมดแปดพันล้าน ไม่อย่างนั้น วันนี้แกอย่าคิดออกไปจากร้านนี้เลย”

“หมายความว่ายังไง?” หลินอิ่งถามเสียงเรียบ

“หมายความว่ายังไง? เหอะเหอะ แกชอบเสนอหน้าไม่ใช่เหรอ? คิดว่าที่บ้านมีเงินหน่อย ก็มาอวดดีได้เหรอ?” เปาต๋าพูดอย่างโหดเหี้ยม “วันนี้ฉันเอาไอ้หน้าโง่อย่างแกไว้แน่ ไม่ให้ที่บ้านเอาเงินมา แกก็รอพิการได้เลย”

เขาดูแม่นยำแล้ว ต้องถลกหนังของไอ้ลูกเศรษฐีหลินอิ่งคนนี้ให้ได้

“เหอะ” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา ยกน้ำชาขึ้นดื่ม

เปาต๋าหรี่ตาลง ยิ่งมองหลินอิ่งยิ่งไม่พอใจ “ยังดื่มชา? วันนี้ฉันให้แกดื่มจนพอ”

พูดไป เปาต๋าก็ยกกาน้ำชาร้อนบนโต๊ะขึ้น เทไปที่หน้าของหลินอิ่ง ลงมืออย่างโหดเหี้ยม

“แกรนหาที่ตาย”

เสียงซั๊ว หลินอิ่งยื่นมือฟากกาน้ำชากระเด็น ลุกขึ้นจับตัวเปาต๋าไว้ กดตัวเขาไว้บนโต๊ะ

เพี๊ยะ

หลินอิ่งตบหน้าเปาต๋าอย่างแรง ตบจนเขากระอักเลือด

“แก แกกล้าตบหน้าฉันเหรอ?” เปาต๋าพูดอย่างโหดเหี้ยม ท่าทางสีหน้าไม่พอใจ

หลินอิ่งยกกาน้ำร้อนขึ้นมา เปิดฝาของกาน้ำร้อนไว้บนฝ่ามือเปาต๋า เทน้ำร้อนลงไป

ซือ ซือ ซือ

ทันใดนั้น มือของเปาต๋าก็ถูกน้ำร้อนลวกจนบวมขึ้นมา

“อ้าก”

เปาต๋าร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เจ็บจนตัวสั่นไปทั้งร่าง

ภาพนี้ ลูกน้องของเปาต๋ามองจนรู้สึกหวาดกลัว มองชายหนุ่มแปลกหน้าหลินอิ่งคนนี้ด้วยแววตาหวาดกลัว

“เจ้านายหวง ผมก็ไม่อยากพูดอะไรไร้สาระแล้ว” หลินอิ่งมองหวงชิงซาน พูดอย่างจริงจัง “ไม่ว่าหลายปีที่ผ่านมาคุณเจออะไรมาบ้าง ผมจะช่วยคุณจัดการเอง”​

“วันนี้ ผมมาเชิญคุณกลับสู่แวดวง”

หวงชิงซานถอนหายใจยาว ส่ายหน้า พูดว่า “คุณชายอิ่ง คุณอย่าบังคับผมเลย ผมผิดหวังสิ้นหวังไปนานแล้ว ผมไม่ได้ติดค้างหนี้บุญคุณตระกูลฉีแล้ว……..”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท