ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 548 ไปสอบถามในซอยนี้ดูว่าฉันเป็นใคร

บทที่ 548 ไปสอบถามในซอยนี้ดูว่าฉันเป็นใคร

“ไม่ใช่ พี่เปา พี่ให้เวลากันหน่อยนะ ลุงของฉันไม่ได้ตั้งใจจะค้างเงินพี่ แต่ว่าช่วงนี้กิจการไม่ค่อยดี อีกอย่าง ถ้าพวกพี่จะทุบร้านจริง ยิ่งไม่มีเงินคืนพี่แล้ว” หวงเสี่ยวเหมยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“เห้อ บ้านเธอนี่ให้หน้าไม่เอาใช่ไหม ไม่สั่งสอนพวกเธอหน่อย ยังคิดว่าฉันพูดง่าย? ทุกคน ทุบที่นี่ซะ” พี่เปาโบกมือ พูดด้วยท่าทางเหิมเกริม

ทันใดนั้น ชายหนุ่มร่างใหญ่ด้านหลังเขาเจ็ดแปดคน ต่างก็เอากระบองไม้ออกมา กระจายไปทั่วร้าย ทุบโต๊ะ ประตูกระจก หน้าต่างกระจก เคาน์เตอร์แคชเชียร์ก็ไม่ปล่อยไว้ ทุบทำลายกระจายไปทั่ว

“อ้าก นี่มันอะไรกันเนี่ย?”

“ทำร้ายคนแล้ว ข้าวมื้อนี้กินไม่ได้แล้ว รีบไปกันเถอะ”

ทันใดนั้น แขกที่กินข้าวในร้านต่างก็สีหน้าตกใจ ข้าวกินไปแค่ไม่กี่คำ ก็พากันวิ่งหนีออกไป

หลินอิ่งมองภาพนี้ด้วยแววตาเรียบเฉย

พวกพี่เปากลุ่มนี้เข้ามาไม่กี่นาที ก็ทุบทำลายร้านเก่าแก่อย่างจ้วยเจียงซานอย่างพังทลาย ขวดเหล้าน้ำถ้วยชามกระจายไปทั่วทุกทิศ กระจกก็กระจายเต็มพื้น

“พี่เปา ขอร้องเถอะ อย่าทุบอีกเลย หรือว่าพี่จะบีบฉันกับลุงจนหมดหนทางเหรอ?” หวงเสี่ยวเหมยพูดขอร้องด้วยตาแดงก่ำ

สำหรับคำขอร้องของหญิงสาวคนหนึ่ง พี่เป่าหัวเราะเย็นชาอย่างดูถูก แววตาส่อแววชั่วร้าย

“ติดหนี้ก็ต้องคืน มีเหตุมีผล” พี่เปาพูดและหัวเราะเย็นชา “พวกเธอไม่คืนเงิน ฉันก็ทุบร้าน ไม่ได้เหรอ? หรือว่าพวกเธอไม่ยอม?”

“แน่นอน ก่อนหน้านี้ฉันก็บอกลุงเธอแล้วว่าเอาวิธีอื่นมาทดแทนก็ได้” พี่เป่าพูดอย่างสนุก ยื่นมือไปจับหน้าของหวงเสี่ยวเหมย หวงเสี่ยวเหมยตกใจจนถอยหลังหลายก้าว

“เด็กผู้หญิงอย่างเธอก็น่าตาหน้ารักดี” พี่เปาพูดอย่างหยอกล้อ “ได้ข่าวว่าเธอยังเรียนมหาลัยอยู่? เอาอย่างนี้ จากนี้ไปก็ติดตามพี่เปา ค่าเทอมมหาลัยของเธอ ฉันออกให้ อีกอย่าง หนี้ของลุงเธอก็ถือว่าชำระแล้ว”

“เป็นยังไง? ติดตามฉัน มีอนาคตกว่าเรียนมหาลัยเยอะเลย จากนี้ไปรับรองเธอกินดีอยู่ดี ขอแค่เธอตามฉันไปตอนนี้ ฉันจะคืนหนังสือเงินกู้ของลุงเธอทันที” พี่เปาพูดอย่างโน้มน้าว

หวงเสี่ยวเหมยมองพี่เปาด้วยสีหน้าซีดขาว ตกใจจนตัวสั่น

“พี่เปา เงินพวกเราต้องคืนแน่ พี่ก็รู้ดี ลุงของฉันเป็นคนซื่อสัตย์ ทั้งหมดเขาก็ยืมไปแค่หนึ่งล้าน เอาร้านนี้ค้ำประกันให้พี่แล้ว มูลค่าของร้านนี้ไม่ใช่แค่นี้หรอกมั้ง?” หวงเสี่ยวเหมยรวบรวมความกล้าเพื่อพูด “อีกอย่าง ตลอดมา ลุงของฉันก็คืนไปแล้วหกเจ็ดแสน ทำไมพี่ยังบีบบังคับกันแบบนี้?”

หลินอิ่งมองสองคนนี้ ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

เขาเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

เจ้านายหวงท่านนี้ติดหนี้คนอื่น?

เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นพวกหนี้นอกระบบที่ไร้เหตุผล

จ้วยเจียงซานร้านนี้ถึงแม้จะเก่าแก่ ไม่ว่ายังไงก็มีมูลค่าหลายร้าน? กลับยืมแค่ล้านเดียวก็เอาไปค้ำประกัน คืนไปหกเจ็ดแสน ยังถูกบีบบังคับทุบร้านอีก?

นี่มันรังแกคนชัดๆ?

สถานการณ์แบบนี้ยิ่งทำให้หลินอิ่งรู้สึกแปลกใจ

เจ้านายหวงท่านนี้ เป็นคนมีความสัมพันธ์กับคุณปู่ในอดีต ไม่ว่ายังไง ก็ไม่น่ามาถึงจุดเวทนาขนาดนี้ได้? ยังถูกพวกขยะสังคมมาเหยียดหยามถึงที่?

“เหอะเหอะ นางเด็กน้อย เธอจะพูดเหตุผลกับฉันเหรอ?” พี่เปาสีหน้าเยาะเย้ยพูดอย่างเย็นชา “หนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร ลุงของเธอยืมไปสิบล้าน ทำไมถึงปากของเธอ ก็กลายเป็นหนึ่งล้าน?”

“พูดไปเรื่อย นั่นมันเพราะพวกคุณปลอมแปลง แก้ไขลายมือบนสัญญา ลุงของฉันยืมไปแค่ล้านเดียว” หวงเสี่ยวเหมยพูดอย่างโศกเศร้า

“เหอะเหอะ หนังสือมีลายมือลายลักษณ์อักษร ลุงของเธอหวงชิงซานติดหนี้ฉันสิบล้าน เธอหนีไม่พ้นแน่” พี่เปาพูดอย่างได้ใจ เนื้อบนหน้าสะเทือน

“ฉันก็ขี้เกียจพูดกับเธอแล้ว ฉันรู้สึกหิวโหยร่างของนางเด็กอย่างเธอแล้ว ว่ายังไง? นี่มันเป็นบุญของเธอ” พี่เปาพูดด้วยสีหน้าชั่วร้าย “เอานางเด็กนี่ขึ้นรถค่อยว่ากัน ไอ้แก่หวงไม่ออกมา ก็เอาลูกสาวมันไป”

กำลังพูดอยู่ ชายหนุ่มหลายคนก็พุ่งเข้าไปจับตัวหวงเสี่ยวเหมย

“ท่านประมุข นี่…….” เย่เฮยถามหลินอิ่งอยู่ด้านข้าง ทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว

หลินอิ่งพยักหน้าตอบเล็กน้อย

“พวกคุณทำแบบนี้ต่อฉันจะแจ้งความแล้วนะ พี่เปา อย่าทำเรื่องจนเกินไปนะ”

หวงเสี่ยวเหมยถอยหลังไปหลายก้าวอย่างหวาดกลัว บนใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

หญิงสาวที่อ่อนแอแบบนี้ ดูแล้วท่าทางแบบนี้ ช่างทำให้คนรู้สึกสงสาร

เปาต๋า เป็นคนโหดปล่อยหนี้นอกระบบขึ้นชื่อในดินแดนซอยหยกมณีแห่งนี้ ควบควบคุมทั้งธุรกิจสุจริตและธุรกิจมืด อำนาจไม่เล็ก

สำหรับร้านค้าที่ทำธุรกิจเล็กๆธรรมดาอย่างพวกเขา ทำอะไรไม่ได้เลย

“ยังแจ้งความ? ฉันถูกใจเธอ นั่นมันเป็นบุญของเธอ นางแพศยาน้อยไว้หน้าแล้วยังไม่รับไว้” เปาต๋าพูดอย่างยโสโอหัง “เร็ว ลากตัวมันขึ้นรถ”

เสียงฮวั๊ก ชายหนุ่มหลายคนเข้ามาดึงเสื้อของหวงเสี่ยวเหมย ดึงไปอย่างไม่สนใจอะไรเลย

เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ

เย่เฮยเดินเข้าไป ฮวั๊กตบเข้าไปที่ไปหลายที ตบจนชายหนุ่มวัยรุ่นร่างใหญ่หลายคน กลิ้งล้มบนพื้น

“ไสหัวไป”

เย่เฮยยืนอยู่ข้างหน้าหวงเสี่ยวเหมย ตะโกนเสียงเย็นชา

“อ้าก ไอ้เวรเอ้ย กล้าลงมือทำร้ายคนเหรอ? แกอยากตายใช่ไหม?”

“แม่งเอ้ย พี่เปา ยังมีคนกล้าลงไม้ลงมือต่อหน้าพี่”

หนุ่มวัยรุ่นหลายคนตะโกนอย่างไม่พอใจ ยกเก้าอี้ขึ้นมายังอยากสู้ต่อ เย่เฮยถีบไปสองที ก็ถีบจนพวกเขากระเด็นกลิ้งอยู่บนพื้น

“อือ? แกเป็นใคร? มายุ่งเรื่องคนอื่นที่นี่?”

เปาต๋าหรี่ตามองเย่เฮย สังเกตเห็นหลินอิ่งที่นั่งดื่มน้ำชาอย่างใจเย็นอยู่ด้านข้าง เหล่ดูอย่างเย็นชา

“เอากันใหญ่แล้ว หวงเสี่ยวเหมย นี่เป็นคนที่ลุงเธอเชิญมาขวางเรื่องเหรอ?” เปาต๋าพูดอย่างหัวเราะเย็นชา “ทำไม? กล้ามาใช้ไม้แข็งกับฉันเหรอ?”

“ไม่ใช่ พี่เปา พี่ อย่าเข้าใจผิด เขาเป็นแค่แขกที่เพิ่งเข้ามา พวกเราไม่ได้จะต่อต้านพี่” หวงเสี่ยวเหมยพูดอย่างกังวล ในใจรู้สึกหวาดกลัวกับความโหดร้ายของเปาต๋า

“ไอ้แซ่เปา ไสหัวออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้” หลินอิ่งวางแก้วน้ำชาลง มองเปาต๋าอย่างเย็นชา “สายไป แกจะไม่ทันเสียใจ”

“ฮาฮาฮาฮา ช่างน่าขำจริงๆ แกมันไอ้เวรที่ไหนมาขู่ฉัน? น้ำหน้าอย่างแกเหรอ เป็นเพื่อนนักเรียนของหวงเสี่ยวเหมยซินะ? เด็กมหาลัยคนหนึ่งกล้ามาขู่ฉัน?” เปาต๋าสีหน้าเยาะเย้ย หัวเราะบ้าคลั่ง

“พวกแกไอ้เด็กเวรทั้งสองคน ไม่รู้จักไปสืบดูในซอยนี้ว่าฉันคือใคร”

พูดไป เปาต๋าก็หยิบมือถือมาโทรออก “รีบพาคนมาที่ซอยหยกมณีเดี๋ยวนี้ ใช่ เอาของมาให้หมด”

“พี่เปา พอเถอะ ไว้หน้าฉันหน่อยนะ อย่าทำเรื่องใหญ่โตเลย เงินฉันคืนแน่”

เวลาเดียวกันนั้น ชายวัยกลางคนเดินลงจากชั้นบน สีหน้าหม่นหมอง พูดขอร้องเปาต๋า

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท