ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 556 วางเกม

บทที่ 556 วางเกม

ตี้จิง เขตเสิ่นหนง

โรงแรมเสิ่นหนง

เย่เฮยจอดรถในลานจอดรถ พวกหลินอิ่ง ขึ้นไปถึงห้องสูทหรูในโรงแรม

มาถึงห้องรับแขก หลินอิ่งเข้าไปนั่งข้างโต๊ะ เย่เฮยและหวงชิงซานยืนอยู่สองข้าง

ส่วนหวงเสี่ยวเหมย ถูกจัดให้พักผ่อนในห้องด้านข้าง

หลินอิ่งถือแก้วน้ำชา เติมน้ำชาให้ทั้งสองคนอย่างใจเย็น

“ท่านปู่หวง คนนี้คือเย่เฮย” หลินอิ่งแนะนำอย่างจริงจัง “ท่านปู่หวงเป็นผู้อาวุโสในวงการแล้ว เย่เฮย ต่อไปทำงานร่วมกัน ก็ต้องเชื่อฟังหน่อย”

“ครับ” เย่เฮยรับน้ำชามา พยักหน้าอย่างเคารพ

“คุณชายอิ่งพูดเกรงใจเกินไป ความสามารถของคุณเย่ไม่ได้อยู่รองจากผม อายุยังน้อยขนาดนี้” หวงชิงซานรับน้ำชามา พูดอย่างถ่อมตัว “ผมไม่ได้เข้าสู่วงการนานแล้ว เกรงว่าจะไม่กล้าชี้แนะคุณเย่”

ดื่มน้ำชาไปแก้วหนึ่ง หวงชิงซานมองไปที่หลินอิ่ง ถามอย่างจริงจัง “คุณชายอิ่ง ไม่ทราบว่าคุณเชิญผมออกมา มีเรื่องอะไรที่สามารถให้ผมทำได้?”

หลินอิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พูดว่า “พูดตามตรง ท่านปู่หวง ผมต้องการให้คุณกับเย่เฮยร่วมมือกัน จับตาคนต้าเหอพวกนั้นในตี้จิงไว้ ค้นหาคนต้าเหอที่ชื่อกงจิ่วออกมา”

“กงจิ่วคนนี้ ความสามารถในการต่อสู้ไม่แน่ใจ แต่ว่าก็ไม่เลว จากข่าวกรองที่รู้มา คนคนนี้ มาจากสำนักยุทธ์เชียนของต้าเหอ น่าจะเป็นผู้นำของสำนักยุทธ์เชียนในตี้จิง และเป็นไปได้ ที่คนนี้ก็คือผู้นำสูงสุดของสำนักยุทธ์เชียนในประเทศหลุง”

พูดจบ หลินอิ่งมองไปที่หวงชิงซาน อยากดูว่าเขามีผลตอบรับยังไง

ความสามารถของกงจิ่วไม่ต้องสงสัย ถึงแม้จะไม่เคยพบหน้ากับเขา แต่เขาคิดแผนการชั่วร้ายแบบนี้ออกมา เห็นได้ว่าเป็นคนที่จัดการยากพอสมควร

โดยเฉพาะ กงจิ้วเกือบควบคุมตระกูลนิ่งแห่งตี้จิงทั้งตระกูลในที่ลับได้สำเร็จ ควบคุมอำนาจแลทรัพย์สินอันแข็งแกร่งในประเทศหลุง เห็นได้ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นผู้นำสูงสุดของสำนักยุทธ์เชียนของต้าเหอในประเทศหลุง ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน

“สำนักยุทธ์เชียน? กงจิ่ว?”​

หวงชิงซานขมวดคิ้วเล็กน้อย กำลังคิดอะไรอยู่

“ท่านปู่หวง คุณรู้อะไรเกี่ยวกับสำนักยุทธ์หรือไม่?” หลินอิ่งถาม

“คุณชายอิ่ง สมัยหนุ่มผมเดินทางไปทั่วทุกแห่ง เคยพบเจอกับอำนาจมือของประเทศต้าเหอมาก่อน” หวงชิงซานพูดอย่างจริงจัง “ผมยังเคยฆ่าผู้นำระดับสูงของกลุ่มงูแปดมาก่อน จนวันนี้ยังมีคนของกลุ่มงูแปดคอยตามฆ่า”

“สำหรับสำนักยุทธ์เชียน ผมได้มีการติดต่อมากกว่า”​ หวงชิงซานค่อยๆพูด “เท่าที่ผมรู้ สำนักยุทธ์ลึกลับถ่อมตัว แม้แต่คนต้าเหอเองก็รู้กันน้อยมาก”

“ผู้นำระดับสูงของสำนักยุทธ์เชียนล้วนใช้หมายเลขเป็นรหัสแทนตัว หมายเลขยิ่งสูง ตำแหน่งภายในก็ยิ่งสูง”

“ผมสามารถตัดสินได้ว่า กงจิ่วก็คือรหัสระดับสูงในสำนักยุทธ์เชียน”

หวงชิงซานค่อยๆพูดวิเคราะห์

“ท่านอยากให้ผมค้นตัวกงจิ่วที่ซ่อนตัวออกมา มีเบาะแสอะไรหรือไม่?”

หลินอิ่งพยักหน้า หวงชิงซานไม่เสียที่เป็นคนเก่าแก่ในวงการ ประสบการณ์มากมาย

“ผมรู้จุดนัดหมายของคนต้าเหอในตี้จิงหลายจุดแล้ว” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง “ท่านปู่หวง สิ่งที่คุณต้องรับผิดชอบก็คือจับตามองคนพวกนี้ให้ดี รอพวกเขาไปพบผู้นำของพวกเขากงจิ่ว มีความเคลื่อนไหวอะไร ก็ลงมือได้”

พูดไป หลินอิ่งยื่นกล่องสีดำไปให้หวงชิงซาน ด้านในมือข้อมูลอย่างละเอียด

“คุณชายอิ่ง ข้อนี้ท่านวางใจได้ จับตามองคนต้าเหอ ผมทำได้” หวงชิงซานพูดอย่างจริงจัง “สำหรับกงจิ่วที่ท่านพูดถึง ใช้เวลาหน่อย ก็สามารถหาสืบรู้เบื้องหลังได้”

“อืม” หลินอิ่งพยักหน้า มองไปที่เย่เฮย แล้วพูดต่อ “เย่เฮย ท่านปู่หวงออกจากซอยหยกมณี สร้างความเคลื่อนไหว คนที่ตามล่าเขาก่อนหน้านี้ อาจจะได้รับข่าวสาร”

“คุณพาคนไปจับตาดูในที่ลับด้วยตัวเอง มีความผิดปกติอะไร รีบสะกดรอยตาม”​

หวงชิงซานเคยเข้าร่วมการสู้รบระหว่างตระกูลฉีและตระกูลเหวิน การออกมาครั้งนี้ อาจจะสร้างความเคลื่อนไหวให้กับอำนาจของท่านมังกรดำในตี้จิง หรืออาจจะถูกองครักษ์มังกรเขียวจับตา

ให้เย่เฮยกลับไปจับตา บางทีอาจจะไต่เต้าไปถึงต้นตอเจอเบาะแสอะไรก็ได้

เพราะว่า เรื่องขององครักษ์มังกรเขียวในตี้จิง อัดอั้นอยู่ในใจของหลินอิ่ง เหมือนดั่งก้างปลาติดคอ

องครักษ์มังกรดำอย่างน้อยก็ออกมาให้เห็นบ้าง ส่วนองครักษ์มังกรเขียวนั้นไม่เคยออกมาให้เห็นเลย ตอนนั้นที่เขาอยู่ในสำนักใหญ่องครักษ์มังกรเขียว ก็เห็นเพียงทั้งสองโกรธเคืองกัน นานขนาดนี้แล้ว องครักษ์มังกรเขียวไม่เคยมีความเคลื่อนไหวอะไรอีก นี่เป็นสถานการณ์ที่ประหลาด

ทั่วไป สถานที่ยิ่งไม่มีความเคลื่อนไหว ก็ที่สถานที่น่ากลัวที่สุด

“ครับ” เย่เฮยก็พยักหน้าอย่างเคารพ

“เรียบร้อยแล้ว ท่านปู่หวง ช่วงนี้ผมยังมีธุระต้องทำ คุณก็คุยกับเย่เฮย” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง “แล้วก็ ทางด้านหลานสาวของคุณหวงเสี่ยวเหมย คุณปักหลักก่อน ในตี้จิงมีความต้องการอะไร บอกเย่เฮยได้เลย”

“รับคำสั่งคุณชายอิ่ง” หวงชิงซานพยักหน้าอย่างหนักแน่น

เรื่องงานสั่งการชัดเจนแล้ว หลินอิ่งก็ไม่ได้พูดอะไร กลับไปห้องส่วนตัวด้านข้าง นอนอย่างสงบสักตื่น

……..

เที่ยงวันที่สอง

รถเบนท์ลี่ย์สีดำคันหนึ่งขับออกจากลานจอดรถโรงแรมเสิ่นหนง ขับไปที่เขตท่องเที่ยวภูเขาชาของเขตเสิ่นหนง

ที่นั่งคนขับรถคือฮาเดส หลินอิ่งนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่ด้านหลัง

เย่เฮยและหวงชิงซานช่วยเขาทำงานอยู่ในที่ลับ

ทางด้านหยูจื๋อเฉิงกับหรงหยังก็จัดการงานทุกอย่างอยู่ในเขตหัวหยาง

ข้างกายเขา ก็มีแค่ฮาเดสที่เป็นบอดี้การ์ดและคนขับรถ ที่สามารถมาติดตามอยู่ข้างกายได้

ติ๊ดติ๊ด

ตอนนี้ มือถือหลินอิ่งดังขึ้น

“ฮัลโหล คุณชายอิ่ง คุณยุ่งอยู่ไหม? ผมคือจ้าวเฉิงเฉียน” ในโทรศัพท์ เป็นเสียงอันหนักแน่นของผู้ชายคนหนึ่ง “ทางตระกูลจ้าวของเราเตรียมพร้อมแล้ว รอแค่คุณชายอิ่งมาถึง”

“ผมอยู่ระหว่างทางแล้ว ถึงภายในครึ่งชั่วโมง” หลินอิ่งพูด

“ได้ คุณชายอิ่ง คำพูดบางอย่างผมก็ไม่รู้ควรหรือไม่ควรพูด” จ้าวเฉิงเฉียนพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

หลินอิ่งพูด “พูด”

“คุณชายอิ่ง ผมรู้ว่าคุณไม่มีความรู้สึกกับน้องสาวผม เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้ขออะไร แต่ว่า ทางด้านท่านปู่ท่านย่าที่บ้าน ไม่ได้คิดเหมือนผม” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างจริงจัง “เพราะฉะนั้น ผมหวังว่า คุณชายอิ่งมาตระกูลจ้าว ถึงแม้จะตกลงกันไม่ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฉีและตระกูลจ้าวยังคงอยู่”

“ผมสามารถบอกคุณได้ ความหมายของท่านย่าคือ หวังว่าคุณจะตอบรับเรื่องงานแต่งนี้ จากนั้นก็ใช้อำนาจทั้งหมดของตระกูลจ้าว เพื่อช่วยคุณต่อสู้กับตระกูลสวี”

“ออ?” หลินอิ่งรู้สึกสนใจ “เรื่องของตระกูลจ้าวคุณตัดสินไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นความหมายของคุณคือ?”

เขาฟังออกว่าคำพูดของจ้าวเฉิงเฉียนมีความหมายอื่น

จ้าวเฉิงเฉียนคนนี้มองง่ายๆไม่ได้ คนนี้ไม่ได้เป็นแค่คุณชายของตระกูลจ้าว ยังเป็นเจ้าสำนักน้อยของแก๊งหยางเหมิน

เมื่อเทียบกันแล้ว ฐานะนายน้อยแห่งแก๊งหยางเหมิน นั้นหนักกว่าตำแหน่งทายาทของตระกูลจ้าว

“คุณชายอิ่ง ในตระกูลจ้าวผมยังตัดสินอะไรคนเดียวไม่ได้ แต่ว่า ผมใช้นามของตัวเอง อยากคุยเรื่องการร่วมงานในเมืองเทียนหลงกับคุณ” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างจริงจัง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท