ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 565 ลูกชายฉันค่าแพงดุจทอง

บทที่ 565 ลูกชายฉันค่าแพงดุจทอง

เสียงเย็นชาของหลินอิ่งพูดจบ บรรยากาศโชยมาซึ่งกลิ่นอายของมัจจุราช

ชั่ววูบนั้นเอง หูบากับอาจารย์หลี หน้าถอดสี รู้สึกสะท้านหนาววูบขึ้นมา

“แกไอ้เด็กระยำ แกพูดอะไร? ด่าใครฮึ”หญิงวัยกลางคนชี้หน้าหลินอิ่ง ตะคอกใส่ “ไม่ดูตัวเองเสียบ้างว่าเป็นตัวอะไร สอนอีลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่ออกมายังไง? ยังกล้ามาด่าว่าคนอย่างข้า”

“แม่งเอ๊ย!ตะกี้แกว่าใครเล่นอะไรไม่เป็นเรื่อง แกว่าเมียข้า ใช่ไหม?”หูบา ตอนแรกก็ชะงักไปชั่วแวบ หลังจากนั้นก็ลุกพรวดจากที่นั่ง มองหน้าหลินอิ่งอย่างกราดเกรี้ยว

“นี่เป็นการยอมรับของคุณแล้วใช่ไหม ว่าคุณเป็นคนลงมือตบหยังสู้สู้?”แววตาของหลินอิ่งเย็นเยือก เขม็งจ้องหญิงวัยกลางคน

“ใช่แล้วจะทำไม? ลูกฉันสูงค่าดั่งทอง ยัยเด็กซื่อบื้อนี่กรีดหน้าลูกฉันจนเป็นแผลบาด ฉันจะตบมันสักสองทีจะมีปัญหาอะไร?”หญิงวัยกลางคนยืนท้าวสะเอวพูดหยาม “ถ้าไม่เห็นว่ามันยังเป็นเด็กน้อย ฉันให้คนหักแขนมันไปแล้ว”

“ฉันว่า ไอ้เด็กน้อยอย่างแกนี่มาจากไหนกัน ดูท่าทีเหมือนยังข้องใจใช่ไหม?”หูบาวางสีหน้าหยามเหยียด พูดอย่างเย็นชาว่า “แกมาก็เหมาะดีแล้ว ยัยเด็กไม่มีคนสั่งสอนคนนี้ตบตีลูกข้าจนเป็นแผล ข้ากำลังจะหาตัวผู้ปกครองมันมา”

“ลูกคุณมีค่าสูงดั่งทองงั้นหรือ? แล้วหยังสู้สู้ เด็กคนนี้ก็ไม่สูงค่าดั่งทองหรือ?”หลินอิ่งถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ

เหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว

หยังสู้สู้อยู่ในโรงเรียน ถูกเพื่อนนักเรียนกลั่นแกล้ง แล้วลูกคนแซ่หูด่าหล่อนว่าลูกไม่มีพ่อแม่ ชวนพาเพื่อนนักเรียนดูหมิ่นและรังแกเธอ

เด็กผู้หญิงตัวแค่นี้ ถูกคนรุมล้อมว่าด่าพ่อแม่ และยังถูกรังแกแกล้งสาดด้วยน้ำใส่หัว จึงเขวี้ยงขวดน้ำใส่ ล้วนเป็นเหตุเกิดที่เป็นไปตามปฏิกิริยาปกติ

แน่นอนที่สุด เด็กอายุขนาดนี้ถูกเพื่อนรุ่นเดียวกันรังแก ในใจคงต้องเป็นแผลที่ถูกปลูกฝัง

พูดง่ายๆ ก็คือ หากเป็นเรื่องเด็กกับเด็กด้วยกันทะเลาะตีกัน จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร

แต่เรื่องดันไม่ใช่มีแค่นี้ ไอ้เจ้าแซ่หูคนนี้มีความร่ำรวยเงินทองพร้อมอำนาจบารมี พาเอาบรรดาครูอาจารย์เข้าข้างไปที่เขา จึงกลับโยนความผิดทั้งหมดลงมาที่หยังสู้สู้

ที่น่าเจ็บแค้นมากที่สุดคือยัยผู้หญิงวัยสี่สิบกว่านั่น ขนาดกล้าลงมือตบเด็กหญิงตัวเล็กๆ อย่างหยังสู้สู้ นี่มันไม่ใช่เรื่องแล้ว

“เฮอะๆ ยัยเด็กกะเรวกะราดไม่มีพ่อแม่นั่น มันไม่ได้รับการสั่งสอน จะเอาอะไรมาเทียบลูกฉัน”หญิงวัยกลางคนพูดอย่างเหยียดๆ “ฉันจะว่าแกไอ้หน้าเหม็นนี่แหละ มันสมองคงน่าจะมีปัญหา”

หูบา ก็ส่งเสียงมาอย่างยิ้มเยาะว่า “แกเป็นผู้ปกครองดูแลหยังสู้สู้ ใช่ไหม? ข้าจะพูดอะไรไม่ค่อยน่าฟังหน่อยนะ อย่างยัยหยังสู้สู้นี่ ปล่อยต่อไปนะ จะให้มาเป็นขี้ข้าของลูกข้านี่นะ ยังไม่มีคุณสมบัติพอเลย”

“ลูกข้าแค่ด่าให้สองสามคำจะเป็นไรไป ยังกล้าเขวี้ยงปาของใส่ เมียข้าตบสั่งสอนมันสองทีแล้วเป็นไร”หูบาพูดข่มขู่ต่อว่า “แกไอ้พวกสมองทึบนี่ ไม่เพียงข้าจะตบไอ้เด็กคนนี้นี่ ถ้าแกยังจะงี่เง่า กูจะอัดแกด้วย”

ฟังผัวเมียแซ่หูนี่มันพูด หลินอิ่งได้แต่ส่ายหัว ท่าทางยิ่งดูเย็นยะเยือก

เขาหันมองไปที่คุณครูที่ใส่แว่นยืนอยู่ข้างๆ นั้น ครูประจำชั้นของหยังสู้สู้ อาจารย์หลี

“อาจารย์หลี ท่านเป็นถึงครูบาอาจารย์ จัดการเรื่องทั้งหมดได้แค่นี้เองหรือ?”หลินอิ่งถามอย่างเยือกเย็น “ถ้าหากทางโรงเรียนไม่สามารถจัดการให้ดีได้ ถ้าเช่นนั้น ผมคงต้องลงมือจัดการเองละ”

“อือม์? คุณพูดยังไงนี่? คุณเห็นว่าที่ฉันจัดการไปนี่ มีปัญหาหรือ?”อาจารย์หลีพูดด้วยมาดครูบาอาจารย์ “ฉันดูสภาพคุณนี่จะเป็นผู้ปกครองแบบไหนกัน? มีคุณสมบัติอะไรที่ไหนกัน? มิน่าหละที่หยังสู้สู้ถึงดูเป็นเด็กไม่มีคนสั่งสอน เพราะมีคุณอาแบบนี้นี่เอง ถึงได้เป็นแบบนี้”

“ฉันว่านะ คุณอย่ามาพาให้ลูกหลานชาวบ้านเขาเสียเลยนะ”อาจารย์หลีพูดพลางส่ายหน้าพลาง “น่าสงสารเด็กน้อยคนนี้จริงๆ ไม่มีพ่อแม่แล้วยังมาเจอคุณอาประเภทพูดไม่รู้ภาษาอีก”

“ไหนๆ ทางโรงเรียนเราก็ตัดสินแล้วว่า เด็กนักเรียนเกรดต่ำๆ อย่างหยังสู้สู้นี่ เราให้อยู่ไม่ได้แล้ว ฉันก็จะไปทำรายงานส่งให้ฝ่ายธุรการ”อาจารย์หลีพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “ส่วนคุณ คงต้องวุ่นวายหน่อยนะว่าจะให้คำตอบกับท่านประธานหูอย่างไร”

พูดจบ อาจารย์หลีเอามือกอดอกยืนถอยออกไปข้างๆ มองหน้าหลินอิ่งอย่างเย้ยหยัน

ตลกจริง เด็กวัยละอ่อนคนหนึ่งไม่รู้จักประเมินค่าตัวเอง ทำเป็นจะมาต่อว่าอาจารย์ ต่อว่าสถาบัน

ไอ้หนุ่มนี่คงคาดไม่ถึงนะว่า การที่ไปกระทบกระทั่งประธานหู ลงท้ายจะเป็นอย่างไร?

ท่านประธานหูหูบาท่านนี้ เป็นถึงเจ้าของบริษัทใหญ่ที่เปิดอยู่ข้างโรงเรียนนี่กับผู้อำนวยการโรงเรียน ท่านประธานเซ่นั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากขนาดไหน

“ก็ดี ผมเข้าใจแล้ว”หลินอิ่งผงกหัวรับรู้ หันหน้าไปมองหูบาอย่างไม่มีอารมณ์ “ถ้างั้นเราสองคนมาคุยกัน เรื่องเด็กคนนี้ ควรจะจัดการยังไงกันดี?”

“จัดการยังไงดี? เฮอะๆ แกมีฐานะอะไรมาคุยกับข้า หันมองสารรูปตัวเองบ้าง”เมียหูบาพูดอย่างเหยียดๆ วางท่าประหนึ่งว่ายืนข่มอยู่ในที่สูง

หูบาก็วางท่ายิ้มเยาะ สีหน้าเย้ยเหยียดใส่หลินอิ่ง พูดว่า “เป็นไง แกรู้สึกไม่ยอมรับ หรือไม่พอใจ?”

หลินอิ่ง พูดเสียงชืดๆ ว่า “ผมรู้สึกไม่พอใจมาก”

“อุวะ ไม่พอใจ ก็ดีสิ ข้าก็ชอบที่จะจัดการกับไอ้คนประเภทไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอย่างแกนี่”หูบาพูดด้วยสายตาเยาะเย้ย พ่นซิก้าที่คาบอยู่ใส่หลินอิ่ง

หลินอิ่งสะบัดมือ ปัดเอาซิก้ากระเด็นพ้นไปไกลสิบกว่าเมตร มองพุ่งลึกๆ ไปที่หูบา

“กูเดิมคิดเพียงว่าให้ไอ้ผู้ปกครองเด็กนี่มา ทำตัวดีๆ ขอขมากับข้ามันก็จบ แต่กูเห็นแกวางท่าทำตัวแบบนี้ ให้รู้สึกหงุดหงิดหวะ”หูบาพูดข่มขู่ “แกไม่พอใจใช่ไหม? วันนี้ข้าจะให้แกใจหดฝ่อเดินออกไปเลย”

ว่าแล้ว หูบาดีดนิ้วเป๊าะหนึ่ง

บนทางระเบียงหน้าห้องทำงาน บอดี้การ์ดในชุดสากลเดินเรียงแถวกันเข้ามา นับดูได้กว่าสิบคน จ้องเขม็งที่หลินอิ่งอย่างเย็นชา ดูอึกทึกใหญ่โต

“แก ไอ้คนกะเรวกะราดไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ มาเดี๋ยวนี้เลย ขอโทษลูกข้า และขอขมากับเมียข้าซะ ได้ยินมั้ย?”หูบาชี้หน้าหลินอิ่ง ตะคอกเสียงใส่อย่างเย็นเยือก

หลินอิ่งย้อนถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แล้วถ้าผมไม่ขอขมาหละ?”

“ไม่ขอขมา? ข้าจะให้บอดี้การ์ดข้าจัดการให้เอ็งคุกเข่าลงขอขมา”หูบาพูดอย่างอหังการ์

“เดี๋ยวๆ ค่ะ ท่านประธานหู กรุณาอย่าเพิ่งเครียดค่ะ ที่นี่เป็นสถานการศึกษา โปรดอย่าได้ลงไม้ลงมือกันที่นี่เลยนะคะ จะเป็นการกระทบกระเทือนชื่อเสียงของโรงเรียน”อาจารย์หลีรีบเสนอหน้าปราม “ท่านจะกระทืบไอ้เด็กหนุ่มหน้าโง่คนนี้ เดี๋ยวรอไปจัดการกันเองนอกโรงเรียนดีกว่านะคะ”

หูบา ทำหน้านิ่วขมวดคิ้ว พูดว่า “ก็ถูกต้องนะ ข้าก็ต้องให้เกียรติ เห็นแก่หน้าท่านประธานเซ่ นะ ไม่ลงไม้ลงมือในโรงเรียนสถานศึกษา”

“ไหนๆ ไอ้หนุ่มโอหังคนนี้ข้าจดใส่บัญชีไว้ละ ออกจากประตูโรงเรียน กูจะทำยังไงเดี๋ยวได้รู้กัน”หูบาชี้นิ้วไปมาท่าทางอหังการ์ขย่มฟ้า

ในสายตาหูบา คิดแต่ว่าการจัดการหลินอิ่ง จะจัดการอย่างไรเมื่อใดก็ได้ ไอ้เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม พูดจาเซ่อซ่าเบ๊อะบ๊ะ ยังมาทำอวดโอหังแบบนี้

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท