ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 569 ไม่แพงเป็นทองแล้ว

บทที่ 569 ไม่แพงเป็นทองแล้ว

หน้าตลบตะแลงเปลี่ยนได้ของเมียหูบา มีแต่ทำให้หยังสู้สู้รู้สึกขยะแขยง

หล่อนก้าวถอยออกห่าง หลบเข้าไปยืนหลังหลินอิ่ง

“ท่านคุณชายอิ่ง ท่านเป็นคนสูงส่ง กรุณาอย่าได้ใส่ใจกับคนกระจอกอย่างพวกเราเลยนะคะ ขออภัยจริงๆ เพราะดิฉันพูดไม่ดีเอง ดิฉันผิดไปแล้ว ขอท่านได้โปรดให้อภัยพวกเรานะคะ”เมียของหูบาพูดด้วยยิ้มอย่างที่เรียกว่าเลียแข้งเลียขา

“ใช่เลยครับ ท่านอิ่ง คนสูงส่งระดับท่าน พวกผมมันตาบอดชัดๆ ถึงได้กล้ากระทบถึงท่าน ขอท่านได้โปรดอย่าได้เก็บใส่ใจเลยนะครับ”หูบาก็เป็นอย่างที่ว่าเลียแข้งเลียขา คุกเข่าโค้งคำนับพูด

หลินอิ่งหน้าเย็นชา ขยี้ดับบุหรี่ที่คีบอยู่ในมือ พูดเรียบๆ ว่า “คุณว่าหละ ที่ภรรยาคุณไปตบหยังสู้สู้ จะสรุปจบอย่างไร?”

“ท่านอิ่งครับ ผม เรื่องนี้ผมจะต้องมีคำตอบให้กับท่านแน่นอน!”หูบารีบพูดอย่างลนลาน มองไปที่เมียตัวเอง “แกยังนั่งซื่อบื้ออยู่อีก? อยากโดนหรือไง? ยังไม่รีบไปอีก ไปให้หนูหยังตบคืนเลย!”

“ได้ๆๆ… ไป ฉันไปเดี๋ยวนี้เลย”เมียหูบาที่ตกใจจนขวัญกระเจิงอยู่ ด้วยท่าทางแบบที่เรียกว่าเลียแข้งเลียขา เดินเข้าไปหาหยังสู้สู้

“หนูเด็กหญิงหยังสู้สู้ขา ต้องขอโทษนะ น้านี่มันน่าโดนจริงๆ หนูตบตีน้าเลยนะ แล้วช่วยขอความกรุณาจากคุณอาหนูให้อภัยน้าด้วย ได้นะหนูนะ”

หยังสู้สู้สีหน้าแสดงออกถึงความขยะแขยง เม้มเชิดริมฝีปากไม่พูดอะไร

บรรยากาศนั้น ทำเอาหูบาผัวเมียม้วนเขินทำตัวไม่ถูก

พั๊วะ พั๊วะ!

ไม่มีใครขยับมือ เมียของหูบายกมือตัวเองขึ้นฟาดแก้มตัวเองอย่างแรง ตบจนเห็นแนวขึ้นชัดห้านิ้ว

“เพราะมือฉันมันสถุลมาก ท่านอิ่ง ขอได้โปรดอย่าได้รื้อพื้นเลยได้ไหมคะ?”เมียหูบาตบหน้าตัวเองไปพลาง ร้องขอไปพลาง

“ยังมีไอ้ลูกเวรนี่อีก ไม่รู้จักเชื่อฟัง ไม่เอาถ่าน มานี่เลย!”หูบามือคว้าลากเอาหูเจี้ยนเข้าหา ผัวะ ผัวะ ตบเข้าอย่างแรงที่หน้าหูเจี้ยน

หูเจี้ยนโดนตบเข้าไปสองที หน้าเป็นรอยแดงเถือก ร้องไห้ลั่น

หลินอิ่งย่นคิ้ว มองหน้าหูบา หูบาชะงักหยุด ท่าทางเจี๋ยมเจี้ยม

เจ้าหูบานี้ ไม่มีปัญญาทำอะไรนอกจากเอาอารมณ์ไปใส่ลงกับเด็ก มาดขู่เข้มดุดันที่มีอยู่ก่อนหน้า วางท่าดูมีอำนาจล้นหลาม แต่สุดท้ายท่าดีทีเหลว

“ท่านอิ่น ครับ ตะกี้นี้ผมมันไม่รู้จักที่ตายไปรับเงิน หนึ่งร้อยล้านของท่าน ผมขอมอบคืนนะครับ โอนกลับบัญชีเดิม!”หูบายิ้มประจบพูดกับหลินอิ่ง พูดนอบน้อมขอขมาว่า “ท่านดูได้ครับ หรือไม่ จะให้ผมชดใช้ให้อีกเท่าไหร่ก็ได้ครับ”

“ตอนนี้ ลูกคุณไม่ใช่มีค่าเทียบทองแล้วหรือ?”หลินอิ่งส่ายหัว หน่ายที่จะดูสภาพความทุเรศของสองผัวเมียนี้ ค่อยๆ ลุกยืนขึ้น

“ไม่แพงเทียบทอง ไม่แพงเทียบทอง!ไม่กล้า!ไม่กล้าแล้ว!ท่านอิ่ง ท่าน ท่านโปรดสั่งมา และได้โปรดยกโทษให้ผมด้วยเถิด”

สีหน้าหูบาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว กลัวว่าหลินอิ่งจะเกิดอารมณ์ฆ่า

เป็นข้อเท็จจริง ว่าตามระดับคุณชายอิ่งนี้ หากว่าเกิดอารมณ์ไม่ดี พูดสั่งไปเรื่อยเปื่อยคำเดียว เช่นอย่างจอมโหดซื่อไท่คนนั้น พูดถึงจะเก็บเขาทิ้ง ย่อมเป็นเรื่องง่ายเพียงยกมือ

“ฉันไม่อยากเห็นสองคนนี้อยู่ในตี้จิงอีก”

“ซื่อไท่ แกดูแล้วจัดการเอาเองเถอะ เซ่ชิง คุณมานี่หน่อย”

หลินอิ่งพูดเรียบๆ ไม่กี่คำ จูงหยังสู้สู้เดินออกจากห้องทำงาน

“ครับ!”

ซี่อไถ้รับคำอย่างนอบน้อม มองหูบาด้วยสายตาเย็นเยือก แววตาฉายความโหดร้ายของหมาป่า ทำเอาสองผัวเมียสั่นงก

“แกสองคนถือว่าโชคดีนะ คุณชายอิ่งไม่ชอบเรื่องฆ่าๆ แกงๆ ไม่งั้นแกสองคนจบชีวิตแน่”

ซื่อไท่พูดด้วยเสียงเย็นเยือก โบกกวักมือ มุ่งหน้าไปนอกห้อง เดินไป…..

“เอาละ พวกเธอ แยกย้ายกันเถอะ”ประธานเซ่หันมองกลุ่มรปภ.ของโรงเรียนแล้วออกคำสั่ง

ต่อจากนั้น รีบตามหลินอิ่งไปด้วยความรู้สึกเคร่งเครียด

ลงมาจากตึกธุรการ

เซ่ชิงเดินตามหลินอิ่งไปอย่างใจไม่เป็นสุข ไม่กล้าปริปากถามอะไรแม้แต่คำเดียว

หลินอิ่งมองเขา ลึกๆ แล้วพูดว่า “เซ่ชิง หยังสู้สู้คงต้องเรียนอยู่ที่นี่ต่อไป ผมหวังอย่างยิ่งว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก”

“แน่นอนเด็ดขาดเลยครับ”เซ่ชิงตอบอย่างหนักแน่นโดยไม่มีลังเล “ท่านคุณชายอิ่ง ท่านโปรดได้วางใจอย่างเต็มร้อย ขอยอมรับที่ผ่านมาว่าผมหละหลวมไปหน่อย แต่นี้ต่อไป หนูหยังสู้สู้อยู่ในสถาบันชิงถึงแห่งนี้ จะไม่มีวันให้ถูกกระทบกระทั่งให้สะเทือนใจแม้แต่น้อยเดียว”

หลินอิ่งผงกหัวเล็กน้อย ไม่พูดมาก

“หนูสู้สู้ เห็นว่าผลการเรียนเธอแย่มากใช่ไหม ทีหลัง หนูต้องตั้งใจเรียนนะ มีปัญหาอะไร โทรศัพท์ไปหาคุณอาได้เลยนะ”หลินอิ่งลูบศีรษะหยังสู้สู้เบาๆ พูดยิ้มๆ

ผลการเรียนของหยังสู้สู้แย่มากๆ เป็นเรื่องที่อยู่ในคาดคิดของเขาอยู่แล้ว ด้วยเหตุที่ชีวิตในวัยเด็กเล็ก ถูกแม่เลี้ยงกักไว้อยู่แต่ในบ้านพัก ไม่ได้เข้าเรียนอยู่หลายปี การเรียนย่อมตามเขาไม่ทันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว

การขาดพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเป็นเด็กอ่อน สิ่งที่ประสบในชีวิตวัยเด็ก เด็กน้อยหยังสู้สู้ คงยังต้องใช้เวลาเยียวยาฟื้นฟูอีกระยะหนึ่งจึงกลับสู่ปกติที่ดีได้

หยังสู้สู้ยืนลังเลอยู่พักหนึ่ง มองหน้าหลินอิ่ง แววตาเปี่ยมด้วยความแน่วแน่ พูดว่า “หนู หนูไม่คิดจะเรียนหนังสืออีกต่อไปแล้วคะ”

หลินอิ่งส่ายหน้าพลางหัวเราะมองหน้าหยังสู้สู้แล้วพูดว่า “ไม่เรียนหนังสือ แล้วหนูคิดจะทำอะไร?”

“หนูคิดอยากเป็นคนที่เก่งอย่างคุณอา”หยังสู้สู้พูด

“คนที่อยากจะเก่งกาจ ต้องมีความรู้สั่งสม หนูไม่เรียนหนังสือ อะไรๆ ก็ไม่สามารถรู้”หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง

“หนูไม่ถนัดในเรื่องการเรียนหนังสือ หนู หนูต้องการจะแก้แค้นให้คุณพ่อคุณแม่”หยังสู้สู้ก็ตอบอย่างจริงจัง

“อือม์?”หลินอิ่งส่อแววซาบซึ้งออกทางสายตา มองหยังสู้สู้อย่างลึกๆ

เป็นที่ชัดเจนมากว่า การตายของพ่อแม่เด็กคนนี้ ยังฝังแน่นยึดติดอยู่ในใจเป็นอย่างมาก

“คุณอาหลินคะ ตอนที่หนูเริ่มรู้ความ คุณพ่อก็ได้เคยสอนอะไรบางอย่างให้หนู ท่าน ท่านเป็นคนที่มีวรยุทธที่สูงเยี่ยมนะ คุณอาคะ คุณอาคงจะเยี่ยมยอดกว่าคุณพ่อหนูแน่ๆ เลยใช่ไหม?”หยังสู้สู้มองหลินอิ่งด้วยสายตาใสบริสุทธิ์ “หนูไม่อยากเรียนหนังสือ คุณอาหลิน ท่าน ท่านสอนวิทยายุทธให้หนูได้ไหมคะ?”

หลินอิ่งใช้สีหน้าที่ไร้ความรู้สึกมองหยังสู้สู้

เขาเห็นเงาลางๆ ในตัวตนหยังสู้สู้ สะท้อนให้เขาเห็นเงาภาพบางส่วนสมัยเด็กของตัวเอง

“ฮะ ฮ้า..”หลินอิ่งหัวเราะ ลูบหัวหยังสู้สู้ “ความแค้นของพ่อแม่หนู คุณอาจะล้างแค้นแทนให้หนูแน่นอน และเรื่องที่หนูจะเรียนวรยุทธ คุณอาก็จะสอนให้หนูได้”

“แต่ทว่า หนูจะต้องเรียนรู้ถึงความมุ่งมั่น และความตั้งใจ หากแม้นว่าการเรียนความรู้พื้นฐานที่สอนในโรงเรียน หนูยังทำให้ดีไม่ได้ แล้วหนูจะเรียนวรยุทธให้ดีได้ยังไง?”

หยังสู้สู้ผงกหัวอย่างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง

“หนูเข้าใจละ คุณอาหลิน หนูเชื่อคุณอา ค่ะ หนูจะตั้งใจเรียนให้คะแนนดีขึ้นให้ได้”หยังสู้สู้พูดจริงจัง

หลินอิ่งผงกหัว พูดหนักแน่นว่า “หนูเข้าใจได้ก็ดีมากจ่ะ”

“คุณอายังมีงานต้องทำนะ หนูกลับไปพักผ่อนนะ มีเรี่องอะไรโทรศัพท์หาคุณอา หรือโทรหาคุณอาเย่เฮยได้เลยนะ”

ตั้งแต่ต้น ตนได้มีคำสั่งไว้เป็นพิเศษแล้ว ให้ถูซานจัดการดูแลที่พัก แม่บ้าน คนขับรถรับส่งตลอดจนบอดี้การ์ด ล้วนเป็นที่ไว้วางใจได้

“ได้ค่ะ”หยังสู้สู้ผงกหัวรับคำอย่างว่าง่าย

ขณะนี้เอง ซื่อไท่เดินเข้ามาช้าๆกับบอดี้การ์ดสองคน

“ท่านอิ่นครับ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับ กระผมได้จัดการวางให้จัดส่งหูบาทั้งบ้านออกให้พ้นจากตี้จิงภายในคืนนี้ คือส่งให้ไปอยู่กับลูกพี่ที่เหมืองแห่งหนึ่งที่อาฟริกา ให้พวกมันไปขุดทำเหมืองที่นั่น”ซี่อไถ้ยืนรายงานอย่างพินอบพิเทาข้างหลังหลินอิ่ง

“ครั้งก่อนที่ให้แกจัดการเคลียร์โลกแห่งความมืดในย่านเมืองเก่า เป็นไงบ้าง?”หลินอิ่งถามน้ำเสียงเรียบๆ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท