ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 596 แบบแผนของโลกกำลังเปลี่ยนไป

บทที่ 596 แบบแผนของโลกกำลังเปลี่ยนไป

พอได้ฟังแบบนั้น หลินอิ่งก็มองคุณชายโหมด้วยสายตาเย็นชา พูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์”ที่เมืองก่างผมแค่อนุญาตให้พวกคุณดำเนินธุรกิจตามปกติได้”

ทางด้านของเมืองก่าง หลินอิ่งอนุญาตให้ตระกูลโครเมียร์เข้ามาอยู่ได้ นั่นก็เพราะว่า เขามีความมั่นใจอย่างแน่วแน่ที่จะควบคุมเมืองก่างเอาไว้

แม้ว่าตระกูลโครเมียร์อยากที่จะทำการใหญ่อะไร ตัวเองก็จะสามารถยับยั้งได้

นอกจากนี้ ชัยชนะของสงครามในตอนนั้น สนธิสัญญาชัยชนะ

นั่นเป็นประเทศที่หลินอิ่งตีมาได้ด้วยมือของตัวเอง!

ได้หรือไม่ได้ อยู่ที่ความคิดของเขาเท่านั้น

คุณชายโหมเหงื่อไหลอาบเต็มหน้าผาก พูดขึ้น”คุณหลิน ได้โปรดคุณอย่าเข้าใจผิดเลย ที่ตระกูลโครเมียร์ของพวกเราเข้ามาตั้งรกรากอยู่ที่ตี้จิง ก็แค่อยากจะมาทำธุรกิจตามปกติเท่านั้น ไม่มีสัญญาณอื่นใดแน่นอน”

“เรื่องนี้ไม่ต้องพูด”หลินอิ่งพูดขึ้นนิ่งๆ

“เอ่อ……”คุณชายโหมขมวดคิ้ว สายตาเคร่งขรึม รับแรงกดดันอันมหาศาลภายในจิตใจ

ในฐานะที่ตี้จิงเป็นเมืองหลวงของประเทศหลุง เป็นสถานที่ที่สำคัญและมีอิทธิพลมากในนานาชาติ มหานครที่คึกคักมีผู้คนพลุกพล่านแบบนี้ มีโอกาสทางธุรกิจซ่อนเอาไว้มากมาย

ในฐานะที่เป็นตระกูลชั้นสูงที่มีชื่อเสียงระดับโลก แต่เนื่องจากถูกจำกัดด้วยสนธิสัญญาผู้แพ้ในตอนนั้น ทำให้ไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายการพัฒนาของตี้จิงได้

นี่มันเป็นสิ่งที่ทำให้ตระกูลโครเมียร์รู้สึกไม่ยอมและไม่เต็มใจ

“คุณหลิน แบบแผนของโลกกำลังเปลี่ยนไป สนธิสัญญาในตอนนั้นก็ใกล้จะถึงกำหนดแล้ว……”คุณชายโหมค่อยๆพูดขึ้น”เรื่องเรื่องนี้ คุณจะไม่ให้ที่ว่างในการเจรจาพูดคุยใดๆเลยจริงๆเหรอ?”

หลินอิ่งแววตานิ่งลึก นิ้วมือเคาะโต๊ะเบาๆ

เห็นได้ชัดว่าตระกูลโครเมียร์คิดหาวิธีที่จะหยั่งรากและพัฒนาอยู่ที่ตี้จิง

ตระกูลที่มีชื่อเสียงระดับโลกที่มีพื้นหลังที่แข็งแกร่งหาที่เปรียบไม่ได้แบบนี้ ถ้าเกิดเข้ามาหยั่งรากอย่างมั่นคงในตี้จิงแล้ว สถานการณ์ในภายหลัง ผลกระทบที่เกิดขึ้น ก็อาจจะเกินความคาดเดาได้

“แบบแผนของโลกกำลังเปลี่ยนไป……”หลินอิ่งค่อยๆพูดขึ้น”อะไรเปลี่ยน?”

พูดตามตรง หลังจากที่ผ่านสงครามเมื่อตอนนั้นมาแล้ว เขาก็ล่าถอยกลับไป แม้แต่ทั้งแก๊งมังกรก็กลับเข้าสู่สภาวะพักตัวกันหมด

ตอนนี้หลังจากที่ออกจากงานมาแล้ว ก็ไม่เคยได้รับข่าวกรองระดับโลกของแก๊งมังกรเลย จึงไม่รู้เรื่องราวเบาะแสของแวดวงลึกลับของประเทศหลุงและโลกมืดของต่างประเทศเลยแม้แต่นิดเดียว

คุณชายโหมพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง”คุณน่าจะรู้ ว่าใกล้จะถึงเวลาที่ถูกกำหนดเอาไว้ในตอนนั้นแล้ว ตอนนี้อำนาจอิทธิพลของตระกูลโลกมืดในตะวันตกก็เตรียมที่จะลงมือเคลื่อนไหวแล้ว ส่วนแวดวงลึกลับของประเทศหลุง ยังไม่มีตัวแทนลุกขึ้นมาสักคน”

“ไม่ว่าจะเป็นแวดวงลึกลับของประเทศหลุงหรือว่าทางฝ่ายทหาร ไม่มีใครยอมที่จะออกมาต่อสัญญาต่อสู้ต่อเลยสักคน ในสถานการณ์แบบนี้ โลกมืดของทางตะวันตกก็ค่อยๆเข้ามาก้าวก่ายเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แล้วในสถานการณ์แบบนี้ ตระกูลของเราก็ถูกบีบบังคับให้หมดหนทางเหมือนกัน ไม่สามารถละทิ้งสถานที่ทางยุทธศาสตร์แบบประเทศหลุงไปได้นะครับ แน่นอนว่า ขอให้คุณเชื่อในตระกูลของพวกเรา ว่าไม่มีความมุ่งร้ายใดๆต่อประเทศหลุงแน่นอน”

“ไม่มีใครลุกขึ้นยืนหยัดออกมาเลย……”หลินอิ่งพูดพึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนว่าความทรงจำที่แสนยาวนานจะหวนคืนกลับมา

จนถึงตอนนี้ แวดวงลึกลับของประเทศหลุง กับโลกมืดของตะวันตกก็เป็นปฏิปักษ์กันมาตลอด ระหว่างทั้งสองฝ่ายแอบต่อสู้แก่งแย่งช่วงชิงทรัพยากรทางโลกกัน

ห้าปีก่อน หลินอิ่งเป็นตัวแทนของประเทศหลุง สู้รบช่วงชิงมาได้ครึ่งประเทศ ได้รับชัยชนะมาตั้งแต่สงครามครั้งแรก

เขาได้กลายเป็นเขตแดนของประเทศไปอย่างสง่างาม ปกป้องพิทักษ์อาณาเขตในนามที่สูงส่งแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้อำนาจอิทธิพลมืดทางฝั่งตะวันตกต่างพากันตื่นตระหนกหวาดกลัว

นี่ก็ใช่ ทำไม แม้ว่าหลินอิ่งจะไม่อยู่ฝ่ายทหาร แต่กลับมีตำแหน่งสถานภาพในฝ่ายทหารของประเทศหลุงที่สูงขนาดนี้

แล้วทำไมตอนนี้ ประเทศหลุงถึงไม่มีใครเลยสักคน?

“คุณหมายความว่า ตระกูลของพวกคุณไม่ก้าวก่ายประเทศหลุง อำนาจอิทธิพลของตระกูลอื่นๆทางตะวันตกก็จะไม่เคลื่อนไหวลงมือเช่นกันสินะ?”หลินอิ่งพูดขึ้นนิ่งๆ

“ถูกต้อง”คุณชายโหมพยักหน้า พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง”นี่เป็นข้อพิพาทที่เลี่ยงไม่ได้ จากที่พวกคุณประเทศหลุงพูดมา ที่เรียกว่าแวดวงลึกลับ การต่อสู้ระหว่างแวดวงลึกลับ ก็คือผู้ที่อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งกว่ามาโดยตลอด”

“ผ่านไปห้าปีแล้ว ตอนนี้พลังความแข็งแกร่งของแวดวงลึกลับของประเทศหลุง ไม่มีคุณสมบัติที่จะทำให้โลกทางฝั่งตะวันตกยำเกรงแล้ว”

“อ้อ?”

หลินอิ่งมองคุณชายโหมอย่างเย็นชา

“ขอโทษครับ!คุณหลิน” คุณชายโหมรีบลุกขึ้นยืนทันที หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ จู่ๆก็ตระหนักขึ้นมาได้ ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตัวเองนั้นคือก็คือเทพแห่งสงครามของประเทศหลุง คำพูดคำจาแบบนี้มันดูไม่เหมาะสม

“คุณหลิน ตระกูลของพวกเรามีความเคารพยำเกรงต่อคุณมากๆเลยนะครับ”คุณชายโหมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง”แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตระกูลที่มีชื่อเสียงของทางฝั่งตะวันตกตระกูลอื่นๆ จะต้องเคารพยำเกรงเหมือนกัน”

สงครามในตอนนั้นตระกูลโครเมียร์เป็นตระกูลที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุด ท่านเอิร์ลเข้าใจความสุดยอดของหลินอิ่งเป็นอย่างดี ดังนั้น จึงส่งคุณชายโหมมาสอบถามลองเชิงดูก่อน

“ผมถึงขนาดที่บอกคุณได้เลยว่า อำนาจอิทธิพลมากมายจากฝั่งตะวันตกได้วางแผนจัดการไปตามมณฑลต่างๆของประเทศหลุงเรียบร้อยแล้ว ถึงขนาดที่มีคนร่วมมือกับพวกเขาแล้วด้วย”

คุณชายโหมพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง”นี่มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรแล้ว คุณกับตระกูลของพวกเราร่วมมือกันอย่างเปิดเผย แล้วก็จะไม่มีคนสงสัยด้วย”

“ยิ่งไปกว่านั้น” คุณชายโหมก้มหน้าลง พูดเสริมขึ้นมาต่อ”จากที่ผมทราบมา คุณหลินที่เคารพ ในรายชื่อสวรรค์ของแวดวงลึกลับของประเทศหลุง ไม่มีคุณอยู่ในนั้น”

“เหอะ”หลินอิ่งยิ้มอย่างเย้ยหยัน ส่ายหัว

จากคำพูดของคุณชายโหม เขารู้แล้วว่ามันคือสถานการณ์อะไร

แวดวงลึกลับของประเทศหลุง ถดถอยแล้วจริงๆ

ความหมายในการอยู่ต่อของแวดวงลึกลับ ก็คือการต่อต้านโลกมืดของทางฝั่งตะวันตก

ช่วงหลายปีที่ตัวเองนิ่งเงียบ แม้แต่พรมแดนที่ล่องหนนั้น ก็ยังกันไว้ไม่ได้

พูดแล้วก็น่าขำสิ้นดี แก๊งมังกรไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของหลินอิ่งคนนี้แล้ว

หลินอิ่งในแวดวงลึกลับ ในตอนนี้กลายเป็นคนที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรแล้ว ไม่มีน้ำหนักในการพูด แล้วก็แทนใครไม่ได้เลยด้วย

“คุณหลินที่เคารพ ผมไม่กล้าไปคิดพิจารณาเรื่องของคุณ ได้แต่หวังว่า คุณจะสามารถรับมิตรภาพของตระกูลโครเมียร์ของพวกเอาไว้ พวกเรามีความจริงใจอย่างมาก” คุณชายโหมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“นี่เป็นจดหมายที่ท่านเอิร์ลของพวกเราเขียนกับมือของตัวเอง ได้โปรดอ่านดูด้วยครับ”

พูดพลาง คุณชายโหมก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย ยื่นกล่องคริสตัลสีดำออกไปด้วยความเคารพนอบน้อม

หลินอิ่งสีหน้าไร้อารมณ์ รับกล่องมา หยิบจดหมายออกมาจากข้างใน

ในจดหมาย เป็นภาษาต่างประเทศที่เขียนด้วยปากกา

หลินอิ่งเก่งหลายภาษา สามารถอ่านออก

ผ่านไปสักพัก

หลินอิ่งก็วางจดหมายลง ค่อยๆจิบชาอย่างช้าๆ สองนิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ

ท่านเอิร์ลของตระกูลโครเมียร์ เจตนาที่แฝงไว้ในจดหมาย ก็ชัดเจนไม่น้อยเหมือนกัน

กำลังบอกเป็นนัยกับตนเองว่า ยินดีที่จะสมคบคิดกับตระกูลโครเมียร์หรือไม่

บอกกับตนเองว่า อยากได้อำนาจอิทธิพลมาสนับสนุนหรือไม่ ตระกูลพวกเขายินดีที่จะสนับสนุน……

ตระกูลโครเมียร์คิดที่จะหยั่งรากและพัฒนาที่ประเทศหลุง ส่วนตัวเอง ต้องการที่จะกลับขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดของแวดวงลึกลับ

ตามหลักความไว้เนื้อเชื่อใจของทั้งสองฝ่าย ท่านเอิร์ลคนนั้นกำลังบอกเป็นนัยว่า จะยกโครเมียร์ แอนนาให้กับตนเอง รวมถึงผลประโยชน์และข้อแลกเปลี่ยนอีกมากมาย……

“เหอะ ท่านเอิร์ลของพวกคุณสายตาเฉียบแหลมจริงๆนะ “หลินอิ่งมองคุณชายโหมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ในแววตาแฝงไปด้วยเจตนาฆ่าที่น่าสะพรึงกลัว

ความสามารถในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของตระกูลโครเมียร์แข็งแกร่งเก่งกล้ามาก

บวกเข้ากับสติปัญญาและสายตาที่เฉียบแหลมของท่านเอิร์ลคนนั้น

คำพูดในจดหมาย ตัดสินตัวเองไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าเป็นคนที่สูญเสียอำนาจในแวดวงลึกลับไปไม่น้อย แถมยังพูดถึงประมุขคนปัจจุบันของแก๊งมังกรอาจารย์กู้ต้าเหมือนกับไม่ได้ตั้งใจแต่ว่าตั้งใจ เพื่อที่จะลองเชิงตนเองอีกด้วย……

สิ่งต้องห้ามที่สุดของหลินอิ่งก็คือ การที่มีคนอื่นมาก้าวก่ายคิดพิจารณาตัวตนของเขา

โดยเฉพาะ ประมุขแก๊งมังกร สถานภาพที่สำคัญที่สุดระดับนี้……

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท