ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 598 เตรียมเข้าร่วมการประชุม

บทที่ 598 เตรียมเข้าร่วมการประชุม

“คุณชายควินสัน คุณไม่ทราบรายละเอียดของสถานการณ์เลย” คุณชายโหมขมวดคิ้ว พูดขึ้นอย่างจริงจัง

“รายละเอียดอะไร?”ควินสันพูดขึ้นด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์”คุณกับพี่แอนนา ไปคุยอะไรกับหลินอิ่งนั่น? เขามีท่าทียังไงกันแน่?”

“ทางฝั่งของพ่อฉัน ก็เตรียมเงินทองไว้เรียบร้อยแล้ว เตรียมจัดตั้งบริษัทกรุ๊ปที่ตี้จิงได้ทุกเมื่อ”

“ตอนนี้ยังเจรจาไม่ลงตัว แผนการที่ให้ตระกูลเข้ามาตั้งถิ่นฐานพัฒนาในทุกๆด้านในประเทศหลุง หยุดเอาไว้ชั่วคราว”คุณชายโหมพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม”คุณชายควินสัน เรื่องนี้ คุณต้องกลับไปบอกพ่อของคุณนะครับ”

“อะไรนะ? เจรจาไม่ลงตัว? หรือว่าหลินอิ่งยังไม่อนุญาตให้ตระกูลพวกเราเข้าไปตั้งรกรากที่ตี้จิงอย่างนั้นเหรอ?”ควินสันพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจอย่างมาก”คุณชายโหม ตอนนี้ฉันเริ่มจะไม่มั่นใจในความสามารถของนายแล้ว”

“กะอิแค่คนประเทศหลุงคนเดียว กล้าดียังไงมาทำตัวโอ้อวดหยิ่งทะนงต่อหน้าตระกูลโครเมียร์ของพวกเรา?”ควินสันพูดขึ้นด้วยสีหน้านิ่งขรึม”มันทำให้ฉันต้องเสียคนไป ฉันทนได้ แต่จะมาขวางเส้นทางธุรกิจของพวกเรา เรื่องนี้ ถึงฉันทนได้ แต่เกรงว่าพ่อของฉันคงจะทนไม่ได้แล้ว!”

ที่ควินสันมาในครั้งนี้ เดิมทีมาเป็นตัวแทนคนระดับสูงภายในตระกูลโครเมียร์ เพื่อมาตรวจสอบสถานการณ์ก่อน เตรียมที่จะสร้างช่องทางธุรกิจมากมายในตี้จิง

พันธมิตรในการร่วมงาน ก็เลือกหลินอิ่ง

แต่ผลที่ได้ กลับกลายเป็นสถานการณ์แบบนี้?

อีกอย่าง ทุกครั้งที่ตระกูลโครเมียร์หาคนมาร่วมงานด้วย ไม่เคยได้รับอะไรตอบแทนกลับมาแบบนี้เลยสักครั้ง

จากสถานภาพของเขาควินสันคนนี้ ไปลงทุนพัฒนาที่ประเทศในก็ตามในโลกตะวันตก ก็จะมีเหล่าพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของฝ่ายกระทรวงพาณิชย์มาคอยต้อนรับช่วยเหลือเป็นอย่างดีเสมอ!

“คุณชายควินสัน กรุณาระมัดระวังอารมณ์ของคุณด้วยครับ”คุณชายโหมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม”ท่าทีแบบนี้ของคุณ มีความเป็นไปได้มากว่าจะส่งผลกระทบต่อกุลยุทธ์ของท่านเอิร์ลในการเตรียมการปฏิบัติต่อประเทศหลุงนะครับ”

“หมายความว่าไง? ยกท่านเอิร์ลมากดฉันอีกแล้วใช่ไหม? ฉันไม่เชื่อว่าท่านเอิร์ลจะมีความอดทนต่อท่าทีแบบนี้ของหลินอิ่งได้หรอก!”ควินสันพูดขึ้นด้วยความไม่ยอม

“ถ้าหลินอิ่งไม่ตอบรับ พวกเราก็แค่หาบุคคลที่มีอำนาจอิทธิพลคนอื่นในตี้จิงก็แค่นั้น!”ควินสันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม”หลินอิ่งกำลังต่อสู้แย่งชิงเมืองเทียนหลงกับพวกผู้มีอำนาจอิทธิพลคนอื่นๆในตี้จิงไม่ใช่หรือไง? ฉันก็แค่ไปร่วมงานกับตระกูลชั้นสูงของตี้จิงพวกนั้นก็จบแล้ว ฉันจะดูซิว่าเขาจะยังยโสโอหังขนาดนี้อยู่อีกไหม”

พอพูดถึงตรงนี้ จู่ๆก็มีความเยือกเย็นแผ่ซ่านออกมาจากตาของคุณชายโหม มองไปยังควินสันอย่างโหดเหี้ยม

“คุณชายควินสัน คุณทำแบบนั้นก็เท่ากับฆ่าตัวตายนะครับ”คุณชายโหมพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม”เจรจาธุรกิจในตี้จิง ไม่มีใครใหญ่ไปกว่าหลินอิ่งแล้ว”

“ถ้าตระกูลคิดที่จะวางแผนพัฒนาอยู่ในประเทศหลุงไปนานๆ ก็หนีไม่พ้นเขา”

“เอาเถอะ แล้วแต่นาย ถึงยังไงฉันจะไปรายงานกับพ่อเอง”ควินสันพูดขึ้นอย่างช้าๆไม่รีบไม่ร้อน”ใช่แล้วคุณชายโหม ฉันอยากให้นายช่วยฉันอีกหนึ่งเรื่อง”

คุณชายโหมพูดถามขึ้น”เรื่องอะไรครับ?”

“ไปแอบจับตัวผู้หญิงที่ตบหน้าฉันวันนี้มา ฉันจะแก้แค้นเธอ”ควินสันพูดขึ้นด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม”จากพลังของนาย น่าจะทำได้โดยที่ไม่ให้ทุกคนรู้ตัว”

สายตาของคุณชายโหมมืดมนลง สายตาเฉียบคม

“คุณชายควินสัน คุณเสียสติไปแล้ว ถ้าคุณกล้าทำแบบนั้น พวกเราก็จะตายอยู่ที่ตี้จิงกันหมดนะครับ”

“ผมแนะนำว่า ช่วงนี้ คุณชายควินสันอย่าโผล่หน้าโผล่ตาออกไปจะดีกว่า โดยเฉพาะต่อหน้าขิงหลินอิ่ง”คุณชายโหมพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง”ผมจะทำให้หน่วยกล้าตายคอยจับตาดูคุณเอาไว้”

“อะไรนะ? คุณชายโหม ทำไมนายถึงกลัวหลินอิ่งขนาดนี้? ถ้านายแอบทำเรื่องนี้ ก็ไม่มีใครรู้หรอก!”ควินสันสายตาตกใจ สีหน้าไม่สบายใจมากๆ

คุณชายโหมไม่สนใจควินสัน หันตัวไป

“คุณชายควินสัน คุณรอโทรศัพท์จากท่านเอิร์ลเถอะครับ”

พอพูดถึงตรงนี้ ท่าทางของควินสันแข็งชะงัก สีหน้าอึดอัดไม่สบายใจ แต่กลับไม่ได้พูดอะไร

“คุณหนูแอนนา คุณเล่าอธิบายสถานการณ์ให้กับคุณชายควินสันฟังสิครับ” คุณชายโหมพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง”ในใจของเขา ถ้าเกิดยังมองหลินอิ่งด้วยมุมมองความคิดแบบนี้อยู่ มีความเป็นไปได้มากว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ๆ”

พอมอบหมายเสร็จ คุณชายโหมก็เดินมาถึงห้อง หยิบโทรศัพท์มาใส่รหัส โทรออกไป

หลังจากที่เสียงตู๊ดๆดังขึ้นสองที

“ท่านเอิร์ล หลินอิ่งได้รับข้อความที่ท่านส่งไปให้เขาแล้วครับ”คุณชายโหมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อม เป็นภาษาต่างประเทศ

“หลังจากที่หลินอิ่งอ่านจบแล้ว มีปฏิกิริยาอะไร?”ในสายมีเสียงแหบแห้งในลำคอดังขึ้น

คุณชายโหมพูดขึ้น”เขาเริ่มมีเจตนาฆ่าแล้วครับ”

“อ้อ ถ้าอย่างนั้นเขาพูดว่าอะไรบ้าง?”

“หลินอิ่งไม่มีท่าทีอะไร แต่ให้มาบอกท่าน ว่าถ้าจะเจรจาหารือ ต้องให้ท่านมาหาเขาที่ประเทศหลุงเอง”

ท่านเอิร์ลที่อยู่ในสาย ราวกับนิ่งเงียบไปสักพัก

“ท่านเอิร์ลหลังจากนี้ พวกเราควรจะทำยังไงต่อครับ?”คุณชายโหมพูดถามขึ้น

“พวกนายอยู่ที่ประเทศหลุงต่อไป ต้องดูแลแอนนาให้ดี อย่าเคลื่อนไหวหรือกระทำการใดๆทั้งสิ้นภายใต้สายตาของหลินอิ่ง”

“เดี๋ยวถ้าฉันจัดการงานเสร็จแล้ว จะไปที่ประเทศหลุงทันที”

“ทราบครับ!”ใบหน้าของคุณชายโหมประหลาดใจเล็กน้อย

เขาคิดไม่ถึงว่าท่านเอิร์ลจะตัดสินใจลดตัวลงมาหาหลินอิ่งที่ประเทศหลุงด้วยตัวเอง

นี่มันหายากมากจริงๆ

ท่านเอิร์ลที่เป็นที่สนใจของผู้คนจากโลกมืดทางฝั่งตะวันตก มาที่ประเทศหลุงด้วยตัวเอง เกรงว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่น้อยเลย

……

ณ ใจกลางวิลล่า บนยอดเขาฉางชิง

ภายในห้องรับแขก หลินอิ่งสีหน้าไร้อารมณ์ ถือแก้วชา นั่งอยู่ที่เก้าอี้ปรมาจารย์ตรงหัวโต๊ะยาว

เย่เฮยยืนอยู่ข้างหลังด้วยความเคารพ

ทั้งสองฝั่งของโต๊ะยาว แบ่งเป็นหยูจื๋อเฉิงนิ่งซวนหวงชิงซาน หรงหยัง

ลูกน้องที่ทำงานให้กับหลินอิ่ง มารวมตัวกันเกือบหมด

นี่ก็เป็นครั้งแรกที่หลินอิ่งเรียกสมาชิกของตี้จิงมารวมตัวกัน

เพราะว่า สองวันหลังจากนี้ ก็คือการประชุมสุดยอดเทียนหลง เขาจะต้องเข้าร่วมอย่างแน่นอน

ทุกฝ่ายก็ตกลงกันหมดเรียบร้อยแล้ว

เนื่องจากคนเหล่านี้ได้ทำงานร่วมกัน จึงเคยเจอหน้ากันไม่มากก็น้อย

หลินอิ่งดื่มชาไปหนึ่งคำ วางแก้วชาลง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ”ไหนว่ามา เรื่องที่ให้พวกนายไปทำ เป็นยังไงบ้าง”

หยูจื๋อเฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง”ท่านอิ่ง ทางฝั่งของเขตหัวหยาง เสถียรลงแล้วครับ ผมกับหรงหยัง ก็จัดการกับตระกูลชั้นสูงอันดับสองส่วนใหญ่ในตี้จิงไปหมดแล้วครับ อันนี้คือใบรายชื่อ เป็นรายชื่อของตระกูลชั้นสูงที่ตัดสินว่าจะสนับสนุนคุณในการประชุมสุดยอดเทียนหลงครับ”

หลินอิ่งพยักหน้า เขาให้หยูจื๋อเฉิงจัดการกับผู้มีอำนาจอิทธิพลพื้นเมืองของตี้จิง แล้วก็จัดการกับอำนาจอิทธิพลของตระกูลสวีที่เขตหัวหยางด้วย

เห็นได้ชัดเจนว่า หยูจื๋อเฉิงจัดการได้อย่างลงตัวเหมาะสมมาก

“ประธานหลิน ทางด้านของเมืองเทียนหลง ดูโดยรวมไม่มีปัญหาอะไร ทุกอย่างเรียบร้อยเสร็จสรรพแล้วครับ”นิ่งซวนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง”ผมจัดการข้อเสนอใหญ่ในการประชุมสุดยอดเทียนหลงเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ”

“การประชุมสุดยอดเทียนหลงจะเริ่มขึ้นในอีกสองวัน”หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างช้าๆ”พวกนายไปประชุมด้วยกันกับฉัน เตรียมของทั้งหมดไว้ให้เรียบร้อย”

“รับทราบครับ!”

พวกเขาพยักหน้าตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน

หลินอิ่งสายตานิ่งลึก มองทอดออกไปยังเขาเขียวขจีที่อยู่ไกลออกไป

สถานการณ์โดยรวมของตี้จิงในตอนนี้ก็อยู่ในกำมือของตัวเองเรียบร้อยแล้ว

กำลังคนของสำนักยุทธ์เชียนต้าเหอก็จัดการกวาดล้างจนเกลี้ยงอย่างลับๆแล้ว

ชีซิงกรุ๊ปกับตระกูลสวีก็ไม่กล้าโผล่หัวออกมาต่อสู้

เมืองเทียนหลงได้ครอบครองช่องทางส่วนใหญ่ไว้เรียบร้อยแล้ว

ถึงขนาดที่ กลุ่มผู้มีอำนาจทางการเงินของต่างประเทศ ตระกูลโครเมียร์ก็ไปจัดการเรียบร้อยแล้วด้วย

ขอแค่ในการประชุมสุดยอดเทียนหลง ทำให้ตระกูลสวีลงจากแท่นมาอย่างสง่าผ่าเผยให้ได้ในทีเดียวก็พอ

ตระกูลนี้ ก็จะสูญหายไปจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของตี้จิง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท