ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 610 ไร้เทียมทาน

บทที่ 610 ไร้เทียมทาน

“คุณยังหลงเหลือพลังอีกหรอ”

มุซาชิ จูโตะมือถือมีดเบญจมาศ สายตาจดจ้องไปยังตัวหลินอิ่ง พร้มก้าวถอยหลังด้วยสีสีหน้าเต็มไปด้วยความระแวดระวัง

ชายระดับผู้นำของสำนักงานใหญ่สำนักยุทธ์เชียน ตอนนี้เหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผากอย่างไม่หยุดหย่อน

เขาเริ่มตื่นตระหนก พร้อมทั้งสูญเสียความมั่นใจเดิมที่คิดจะต่อกรกับหลินอิ่งไปแล้ว

หลังจากที่ผ่านการต่อสู้อันทรหด พลังภายในของมุซาชิ จูโตะก็ได้หายไปเกือบหมดแล้ว และไม่ได้มีท่าทีเหมือนในช่วงสุดยอดของพลัง ไม่มีแม้แต่พลังที่จะปล่อยการโจมตีออกมา

เดิมคิดว่าเพียงแค่ทั้งสามล้อมเพื่อลดระดับความแข็งแกร่งได้ก็จะสามารถจัดการกับหลินอิ่งแล้ว

แต่ผลที่ตามมากลับเป็นว่าหลินอิ่งยังคงสามารถรักษาระดับพลังต่อสู้ที่มีประสิทธภาพเอาไว้ได้ แต่พวกเขากลับตรงข้ามกันพลังค่อยๆ ถดถอย ……

“พวกคุณสามารถรั้งผมมาได้นานขนาดนี้ ถือว่าไม่เลวแล้วล่ะ” หลินอิ่งหลินอิ่งพูดอย่างเลี่ยงๆ พร้อมกับค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปหา มุซาชิ จูโตะ

คนที่อยู่ในช่วงอ่อนแออย่างหลินอิ่ง ความแข็งแกร่งของพลังนั้นได้ลดลงมาจนถึง อีกทั้งสถานะร่างกายยังไม่มั่นคงอีกด้วย จึงทำให้เขาไม่มีมีพลังที่จะระเบิดฆ่าพวกมุซาชิ จูโตะ ได้ในคราวเดียว

แต่ถึงอย่างนั้น ความแข็งแกร่งแบบนี้ก็ยังถือเป็นความสุดยอดที่มีอยู่ในโลกธรรม

การที่พวกมุซาชิ จูโตะสามารถรั้งมาจนถึงระดับนี้ได้ ก็ถือว่าไม่ธรรมดามากแล้ว

“คุณ……” มุซาชิ จูโตะถอยหลังไปทีละก้าวๆ

“วันนี้ต่อให้คุณจะเก่งกาจระดับไหน ก็อย่าเพิ่งคิดว่าคุณชนะแล้ว ถึงผมจะฆ่าคุณไม่ได้ แต่ว่าได้บรรลุจุดประสงค์แล้ว !” มุซาชิ จูโตะพูดด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก

“ทางด้านการประชุมสุดยอด ตระกูลสวีได้กุมสถานการณ์เอาไว้ได้แล้ว คุณพลาดโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว !” มุซาชิ จูโตะยิ้มเยาะ “หลินอิ่ง เวลายังอีกยาวไกล สักวันหนึ่ง คุณจะต้องตายในกำมือของ สำนักยุทธ์เชียน”

“เหอะ” หลินอิ่งหัวเราะเยาะออกมาแววตาเต็มไปด้วยจิตสังหารที่รุนแรง “คุณคิดว่าคุณจะยังหนีรอดได้อีกหรือไง?”

“ฮ่าๆ ๆ !” มุซาชิ จูโตะหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “คิดจะรั้งผมไว้?คุณยังห่างชั้นเกินไป!”

พรืด!

ทันทีที่คำพูดนั้นออกมา ร่างของหลินอิ่งก็โหมกระหน่ำเข้าไปราวกับพายุทอร์นาโดที่รุนแรง รัศมีพลังของเขานั้นน่าเกรงขามอย่างมาก !

“หืม?”

สีหน้าของมุซาชิ จูโตะตกใจภายใต้ความตื่นตระหนก มีดถูกกวาดแกว่งปะทะกับลมว่างเปล่า มีดเบญจมาศเรียวยาวประกายคมแสงอันเยือกเย็น เงามีดแยกร่างกลายเป็นคลื่นพลังอันเยือกเย็นรุนแรงดั่งพายุ!

บูม!

เสียงโครมครามดังขึ้นมา ระเบิดกลายเป็นเศษหินกระจัดกระจายไปทั่ว ฝุ่นคละคลุ้งตรงบริเวณที่ทั้งสองยืนอยู่ ราวกับว่าทั้งสองกำลังอยู่ในกระแสน้ำวนกำลังเกิดการระเบิดหลายร้อยลูก

เสียงหึ่งๆ ดังสนั่น

มือทั้งสองของมุซาชิ จูโตะที่กำลังจับมีดเบญจมาศที่กำลังสั่นสะท้านไม่หยุดนิ่งจนตัวเขาสั่นเทาอย่างบ้าคลั่ง

หลินอิ่งจับใบมีดด้วยมือเปล่าพร้อมกับบิดมีดเบญจมาศนั้นด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก อากาศที่ปั่นป่วน บวกกับพลังภายในที่กำลังระเบิดคลื่นแผ่ซ่านเข้าไปตามใบมีด

“เอื้อก……”

มุซาชิ จูโตะร้องครวญออกมาด้วยเสียงทุ้มหนัก ใบหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด มือทั้งสองยังคงสั่นไม่หยุด พร้อมกับเลือดสดๆ ที่พุ่งออกมาจากปาก

“เป็นไปได้อย่างไร!คุณยังมีพลังล้ำลึกขนาดนี้อีกหรอ!” มุซาชิ จูโตะพูดด้วยใบหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ

“หลินอิ่ง คุณเป็นยอดฝีมือระดับไหนกันแน่?”

ดวงตาของมุซาชิ จูโตะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และอยากจะหนีออกไปจากที่นี่ แต่ว่าพลังร่างกายของเขาเหมือนจะถูกพลังบางที่มองไม่เห็นกำลังกลืนกิน จนไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวได้อีก!

เหตุการณ์แบบนี้จะแปลกเกินไปแล้ว

จากการวิเคราะห์การต่อสู้ในเวลาก่อนหน้านี้ พลังการต่อสู้ทั้งหมดที่หลินอิ่งได้แสดงออกมา ควรจะไร้ขีดจำกัดเทียบเท่ากับระดับรายการแห่งฟ้า ดังนั้นเขาถึงได้มีความมั่นใจว่าจะค่อยๆ ชะลอกำลังของหลินอิ่งลงแล้วค่อยฆ่าทิ้งซะ

แต่ว่าพื้นฐานของหลินอิ่งนั้นดูเหมือนจะไร้ขีดจำกัด มีความสุดยอดมายิ่งกว่าระดับรายการแห่งฟ้าหลายเท่าตัวเลย ไม่ว่าจะเข้าต่อสู้กันสักกี่รอบ สุดท้ายก็ยังสามารถรักษาระดับความแข็งแกร่งเอาไว้ได้

มุซาชิ จูโตะที่ท่องยุทธภพมานับสิบปี ฆ่าคนไปแล้วนับไม่ถ้วน นี่ถือเป็นเหตุการณ์แรกที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน ……

สายตาของหลินอิ่งเยือกเย็น ไม่ได้สนใจคำพูดของมุซาชิ จูโตะเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่จู่ๆ จะสบถคำคำหนึ่งออกมา

“ตาย!”

บูม!

หลังจากที่หลินอิ่งสะบัดข้อมือ ทันใดนั้นก็เกิดคลื่นเสียการระเบิดที่ทะลุเข้าไปในหู !

พลังภายในอันดุดันสะท้านออกมา ทำให้มีดเบญจมาศไร้เทียมทานที่อยู่ในมือของมุซาชิ จูโตะแตกกระจายกลายเป็นผุยผงโปรยปรายลงพื้นทันที

“อ้าก!”

มุซาชิ จูโตะส่งเสียงครวญออกมา ร่างกายของเขาเหมือนกับลูกบอลที่ลมยางแตกระเบิด กระดอนไปไกลถึงหลายสิบเมตรพลางกระแทกลงไปกับพื้นอย่างแรง

“คุณ!คุณ……แค่กๆ !”

ดวงตาของมุซาชิ จูโตะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจ้องมองไปยังหลินอิ่ง พร้อมกับกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทว่าเขากลับกระอักเลือดสดๆ ออกมาเสียก่อน

ร่างกายของเขาเหี่ยวแห้งลงอยู่ตรงนั้นด้วยความรวดเร็วที่น่าเหลือเชื่อ พร้อมกับกระดักแตกดังขึ้นมา

“เอื้อก!”

ในตอนสุดท้ายมุซาชิร้องครวญเจ็บปวดออกมาอย่างสิ้นหวัง ดวงตาเต็มไปด้วยความสำนึกผิดความเกลียดชังและความแคลงใจ ก่อนที่สุดท้ายเขาจะทรุดตัวลงไปกับพื้น สิ้นสุดชีวิตลง

ผู้นำรุ่นที่หนึ่งของสำนักยุทธ์เชียนตายลงไปเสียอย่างนั้น

จนกระทั่งตอนที่ตาย เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าหลินอิ่งเป็นสิ่งมีชีวิตระดับไหนกันแน่

ทำไม ถึงได้กล้าไปหมิ่นประประมาทยอดฝีมือที่ยากจะหยั่งรู้ได้อย่างหลินอิ่งด้วยนะ!

ถ้าให้โอกาสเขาได้เริ่มใหม่อีกครั้ง เขาจะไม่มีทางมาประจันหน้ากับหลินอิ่งเด็ดขาด ……

แต่น่าเสียดาย ชีวิตของเขาได้จบลงไปแล้ว……

“อ๊าๆ ๆ ๆ ๆ !”

เหอซานจินส่งเสียงร้องหวาดกลัวอย่างมากออกมา ดวงตาทั้งสองจ้องมองไปยังหลินอิ่งด้วยความสยอง ร่างกายสั่นเทาอย่างบ้าคลั่ง เพราะได้ถูกภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำลายความกล้าของเขาไปหมดแล้ว

หลินอิ่งในตอนนี้ น่ากลัวเกินไปแล้ว……

หลินอิ่งสีหน้าเรียบนิ่ง สายตาเย็นชา เดินเข้าไปตรงหน้าของเหอซานจิน

“ไม่ อย่าฆ่าผมเลย !คุณชายอิ่ง ผม ผมก็แค่ไม่มีตัวเลือก!” เหอซานจินพูดด้วยเสียงที่ลุกลนอย่างมาก “คุณเองก็รู้ดีว่าคนท่องยุทธภพล้วนไร้หนทางทั้งนั้น !ผมกับคุณไม่เคยมีความแค้นต่อกัน ผมเองก็ไม่ได้จงใจที่จะผิดใจกับคุณ การช่วยเหลือ ตระกูลสวีเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้เท่านั้น!”

“ไว้ชีวิตผมเถอะ!”

เหอซานจินร้องวิงวอนของความเมตตาอย่างไม่ยอมหยุดด้วยความที่ถูกหลินอิ่งทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว

ในสายตาของเขา ชายลึกลับที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่เหมือนปีศาจซึ่งไม่มีใครสามารถเทียบได้

“คุณคือคนจากหุบเฉินเฟิง?” หลินอิ่งถามด้วยหน้าที่นิ่งเฉย

“ใช่แล้ว!คุณชายอิ่ง ผมเป็นจากหุบเฉินเฟิง อาจารย์ของผมคือท่านเฉินเฟิง!ขอให้คุณโปรดแก่หน้าของอาจารย์ไว้ชีวิตผมด้วยเถอะ อย่าได้ทำให้เรื่องมันเกิน ……” เหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผากเหอซานจินไปหมด พร้อมกับการพูดร้องขอชีวิตอย่างหนักแน่น

“ท่านเฉินเฟิง ผมเคยได้มีโอกาสเจอกับเขามาแล้ว” หลินอิ่งพูดอย่างเรื่อยเปื่อย “ถ้าเกิดว่าผมไม่ไว้หน้าตาแก่คนนั้นล่ะ?”

ท่านเฉินเฟิง เป็นชายในตำนานที่รู้จักกันดีในแวดวงลึกลับ ทั้งยังเคยเป็นสุดยอดยอดฝีมือของรายการแห่งฟ้าด้วย

แต่ว่าหลังจากนั้นไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด ความแข็งแกร่งของเขาเสื่อมถอยลง จนถูกคัดออกจากรายการแห่งฟ้า

ช่วงนั้นในตอนที่หลินอิ่งยังเด็กได้ทำการล่าสังหารเหล่า ท่านเฉินเฟิงคนนี้ก็เป็นชายคนหนึ่งที่พ่ายแพ้ไป

“คุณ คุณรู้จักอาจารย์ของผม?” เหอซานจินพูดด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ ราวกับว่าได้มองเห็นเส้นทางรอดแล้ว “คุณชายอิ่ง วันนี้ถ้าคุณปล่อยผมไป ผมจะกลับไปรายงานกับอาจารย์ และพวกเราชาวหุบเฉินเฟิงจะให้การตอบแทน ……”

“แต่ถ้าคุณจะไม่ไว้หน้าอาจารย์ของผมจริงๆ แบบนั้นมันก็ไม่มีผลอะไรกับคุณเลย เกียรตสูงศักดิ์นี้ของอาจารย์ ถ้าคุณฆ่าผม เขาจะต้องมาตามแก้แค้นคุณแน่นอน” เหอซานจินพูดด้วยเสี่ยงสั่น “คุณเองก็คงจะไม่อยากถูกสุดยอดยอดฝีมือระดับรายการแห่งฟ้าเล็งเป้าหรอกใช่ไหม?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท