ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 632 ถูกคนพูดตำหนิ

บทที่ 632 ถูกคนพูดตำหนิ

มณฑลตุงไห่ อำเภอเจียงเยว่

นี่เป็นอำเภอเล็กๆที่อยู่ห่างไกลออกไปภายในมณฑลตุงไห่ แล้วก็เป็นบ้านเกิดที่ตากับยายของจางฉีโม่อาศัยอยู่ด้วย

ณ ถนนริมแม่น้ำ ชุมชนหลิวเยว่

โซน3ตึก6ชั้น15

ภายในห้องรับแขกที่ตกแต่งหรูหรา มีกลุ่มชายวัยกลางคนนั่งอยู่

ครอบครัวของจางฉีโม่ก็อยู่ในนั้นด้วย กำลังนั่งล้อมโต๊ะอาหาร

อำเภอเจียงเยว่ เป็นบ้านของลู่หย่าฮุ่ย แม่ของจางฉีโม่

แต่บ้านนี้ก็เป็นบ้านของลู่ฉ่ายเชีย ลูกพี่ลูกน้องของลู่หย่าฮุ่ยเหมือนกัน

ครอบครัวของลู่หย่าฮุ่ย ช่วงนี้กลับจากเมืองชิงหยูนมายังบ้านฝ่ายหญิง

หลักๆก็เพราะว่าสภาพจิตใจของจางฉีโม่ไม่ดี ไม่อยากที่จะอยู่เมืองชิงหยูน อยากจะออกมาปล่อยใจผ่อนคลายอารมณ์สักหน่อย ก็เลยกลับมาที่อำเภอเจียงเยว่พร้อมกับพ่อแม่

เมืองชิงหยูน มีความทรงจำมากมายของเธอกับหลินอิ่ง

ทุกครั้งที่จางฉีโม่เดินบนถนน เห็นสิ่งต่างๆแล้วคิดถึงเขา ควบคุมอารมณ์ที่อยู่ในจิตใจเอาไว้ไม่อยู่

จนถึงวันนี้ จางฉีโม่ยังคงปรับตัวตอนที่ไม่มีหลินอิ่งคอยอยู่เคียงข้างกายไม่ได้

ถึงขนาดที่ ละทิ้งบริษัทเครื่องประดับฉีซื่อลง ไม่ไปเข้าร่วมการประชุมของบริษัทอีกเลย ขนาดเสิ่นซานกับเจียงฉีมาเชิญถึงที่ ก็ปฏิเสธกลับไปทุกครั้ง

วิลล่าที่วิลล่าหิมะมังกรที่หลินอิ่งมอบให้ บ้านที่อยู่ที่ชุมชนสุ่ยหยวน จางฉีโม่ก็ย้ายออกมาแล้ว ไม่ได้กลับไปอีก

แต่ในทางกลับกัน พ่อแม่ ลู่หย่าฮุ่ยกับจางซิ่วเฟิง ยืนกรานไม่ยอมย้ายออก จะอยู่ที่วิลล่าหิมะมังกรให้ได้

ถึงยังไงพวกเขาก็เคยร่ำรวยมีเงินทองใช้มากมายมาก่อน พวกเขาสองสามีภรรยาจึงรับไม่ได้กับชีวิตที่ยากจนตกต่ำลง เลยคิดที่จะประจบประแจงเอาใจทางฝั่งของหลินอิ่งจากงานที่จางฉีโม่ทำมาโดยตลอด

ตั้งแต่รู้ว่าหลินอิ่งเป็นคุณชายใหญ่ของตี้จิง ท่าทีของลู่หย่าฮุ่ยก็เปลี่ยนไปไม่น้อย

“เห้อ ฉีโม่ ป้าได้ยินมาว่าตอนนี้เธอไม่มีงานแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ทำซะจนบริษัทที่เมืองชิงหยูนพังล้มเหลวอย่างนั้นเหรอ?”จู่ๆ ที่โต๊ะก็มีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเปิดปากพูดขึ้น เธอแต่งตัวดูแพง ใส่เงินใส่ทอง ดูท่าทางเหมือนมีอำนาจทางการเงินไม่น้อย มองสำรวจจางฉีโม่ด้วยสายตาขี้เล่น”ป้าน่ะนะ มีความคิดที่อยากจะช่วยแนะนำงานให้กับเธอนะ เธอจะเต็มใจหรือเปล่าไม่รู้”

จางฉีโม่ก้มหน้ากินข้าว ราวกับไม่มีกะจิตกะใจจะไปสนเรื่องนี้

“ขอบคุณป้ามากค่ะ ตอนนี้ฉันยังไม่มีกะจิตกะใจจะไปทำงานชั่วคราว”

“ไม่มีกะจิตกะใจจะไปทำงาน? มันได้ยังไงกัน? พ่อแม่ของเธอก็ไม่ได้ทำธุรกิจแล้ว ในบ้านก็ต้องกินต้องใช้กันไม่ใช่เหรอ?”หญิงวัยกลางคนพูดต่อ”ฉันได้ยินมานะว่าเธอกับหลินอิ่งคนไร้ค่าอะไรนั่นหย่ากันแล้วไม่ใช่เหรอ? ความสัมพันธ์ของป้ากับคนที่อำเภอเจียงเยว่ไม่เลวเลยนะ รู้จักคุณชายเถ้าแก่ที่ร่ำรวยหลายคน ครั้งก่อนคนเขามองดูเธออยู่ไกลๆ ต่างก็รู้สึกพอใจทั้งนั้น เธออยากจะเจอหน้าทำความรู้จักกันสักหน่อยไหม?”

จางฉีโม่มองต่ำลงเล็กน้อย ส่ายหัว พร้อมกับพูดขึ้น”ป้าคะ เรื่องพวกนี้ไม่ต้องให้คุณมาเป็นกังวลหรอกค่ะ”

“เห้อ จะไม่กังวลได้ยังไงกันล่ะ? ป้าก็เห็นพ่อแม่ของเธอลนลานกระวนกระวายตลอดทั้งวัน วิ่งแจ้นกลับมาบ้าน อยู่ที่เมืองชิงหยูนต่อไปไม่ได้แล้ว”

หญิงวัยกลางคนชำเลืองตามองไปยังลู่หย่าฮุ่ย พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าขี้เล่น

พอได้ฟังแบบนี้ ลู่หย่าฮุ่ยสีหน้าก็ดูไม่ดี รู้ว่าลูกพี่ลูกน้องคนนี้กำลังจงใจยั่วยุเธออยู่

คนที่พูดคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของลู่หย่าฮุ่ยลู่ฉ่ายเชีย

ลู่ฉ่ายเชียแต่งงานกับเถ้าแก่ของบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่งในอำเภอเจียงเยว่ เป็นคนรุ่นเดียวกันที่มีตำแหน่งทรงพลังมากที่สุดในบ้านของลู่หย่าฮุ่ยมาโดยตลอด

จนกระทั่งต่อมา หลังจากที่จางฉีโม่เปิดบริษัทในเมืองชิงหยูนแล้ว ลู่หย่าฮุ่ยถึงจะได้มีตำแหน่งในบ้านขึ้นมา เริ่มมีอำนาจในการพูด

แถม นิสัยของเธอก็ชอบเงินและอำนาจความฟุ่มเฟือย ชอบโอ้อวดต่อหน้าของลู่ฉ่ายเชียอยู่บ่อยครั้ง

ตอนนี้ในตระกูลเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมาก พอวิ่งแจ้นกลับมาที่บ้าน ก็ต้องถูกคนพูดวิจารณ์ตำหนิเป็นธรรมดา

“แฮ่มๆ พี่สามเอ๋ย พูดแบบนี้ไม่ได้สิ ไม่ใช่ว่าตระกูลของพวกเราใช้ชีวิตอยู่ในเมืองชิงหยูนต่อไปไม่ได้สักหน่อย แต่เพราะช่วงนี้ฉีโม่สภาพจิตใจไม่ค่อยดี มาปล่อยตัวปล่อยใจผ่อนคลายอารมณ์เท่านั้น”ลู่หย่าฮุ่ยไอแห้งสองที พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง”พอฉีโม่จิตใจดีขึ้นแล้ว ก็กลับเมืองชิงหยูนไปดูแลจัดการบริษัทต่อแล้ว บริษัทเครื่องประดับฉีซื่อยังอยู่ดี ยังไม่ได้ล้มละลายไป”

“อ๋อ เป็นแบบนี้เองเหรอ?”ลู่ฉ่ายเชียยิ้มขี้เล่น มองไปยังลู่หย่าฮุ่ย”ฉันจะบอกให้นะหย่าฮุ่ย เธอจะตายอยู่แล้วอย่ามาห่วงหน้าตาอยู่เลย ไอ้เฉียนของบ้านฉันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเส้นสายเครือข่ายเลยในเมืองชิงหยูน ได้ยินคนบอกมาหมดแล้ว่า บริษัทเครื่องประดับฉีซื่อนั่นเปลี่ยนผู้ถือหุ้นไปตั้งนานแล้ว ไม่ใช่ของครอบครัวพวกเธอแล้วนี่”

“เรื่องนี้ ปิดบังฉันไม่ได้หรอก”ลู่ฉ่ายเชียพูดยิ้มๆ”ไม่อย่างนั้นล่ะก็ จากนิสัยของเธอ จะยอมย้ายออกไปจากวิลล่าของวิลล่าหิมะมังกรเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีปัญญาอะไรเกิดขึ้น?”

“เอ่อ……”ลู่หย่าฮุ่ยสีหน้าดูไม่ดี ถูกพูดตรงๆใส่แบบนี้จนอับอายขายขี้หน้าจนหมด

“พี่สาม เรื่องในที่นี้คุณไม่เข้าใจ ชื่อในใบรับรองของวิลล่าในวิลล่าหิมะมังกรหลังนั้น ก็ยังเป็นชื่อของฉีโม่”ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นด้วยท่าทางรู้สึกละอายอยู่ภายในใจไม่น้อย”แถมบริษัทก็อยู่ภายใต้ชื่อของฉีโม่ด้วย ไม่ได้ดูแย่แบบที่คุณคิดสักหน่อย คุณจะต้องได้ฟังข้อมูลมาผิดแน่นอน”

“ได้ยินมาผิด?”ลู่ฉ่ายเชียยิ้มขี้เล่น สายตาที่มองไปยังจางฉีโม่ แฝงไปด้วยความดูถูกดูแคลน”ฉันจะบอกให้นะ หย่าฮุ่ย พวกเราตระกูลลู่ล้วนแต่เป็นคนซื่อตรงทั้งนั้น อย่าเอาแต่คิดแต่เรื่องที่จะร่ำรวยเฟื่องฟูขึ้นมาแค่ในชั่วพริบตา เอาแต่ให้ฉีโม่เรียนรู้แต่จะเกาะผู้ชายรวยมันไม่ดีหรอกนะ”

“ฉันที่เป็นป้า ก็หวังดีทั้งนั้น อยากจะหาคนที่ดีๆให้กับฉีโม่สักคน จัดหางานดีๆให้สักงาน ให้เธอได้มีครึ่งชีวิตที่เหลือที่ดีๆ”

ลู่ฉ่ายเชียพูดขึ้นด้วยท่าทางหวังดี”ในครอบครัวตกต่ำลงแล้วก็ตกต่ำลงไปสิ แค่พูดออกมา คนครอบครัวเดียวก็เต็มใจที่จะช่วย จะเอาแต่เสแสร้งว่าชีวิตของตัวเองไม่ได้ตกต่ำลงไปทำไม?”

“ไม่ใช่!ป้า อะไรคือเกาะผู้ชายรวย? นี่คุณหมายความว่าอะไร?”จู่ๆจางฉีโม่ก็ตอบสนองกลับมา เงยหน้ามองไปยังลู่ฉ่ายเชีย ถามขึ้นด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“เห้อ ฉีโม่ ขอโทษนะ ป้าพูดตรงเกินไปหน่อย แต่ว่านะ ป้าก็หวังดีกับเธอทั้งนั้น”ลู่ฉ่ายเชียแสร้งทำเป็นสายตาล้อเล่น พูดขึ้น แกล้งทำเป็นพูดขึ้น”นิสัยแม่ของเธอฉันรู้และเข้าใจทั้งนั้น ใช่ไหม? อันนี้ฉันไม่พูดเยอะแล้วกัน”

“ครอบครัวของพวกเธอสามัญธรรมดามาตลอด จู่ๆเธอก็ร่ำรวยขึ้นมา แถมยังเปิดบริษัทเครื่องประดับที่ใหญ่ขนาดนั้นอีก คนของบ้านเกิดนี้ก็ต่างพากันพูดซุบซิบ พากันมาถามฉันว่า เธอไปได้กับประธานใหญ่คนไหนหรือเปล่ากันทั้งนั้น”

“ตอนนี้ บริษัทในตระกูลก็ล้มละลายแล้ว ฉันน่ะ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าสาเหตุอะไร ก็เลยถามสักหน่อย พอคนตระกูลลู่ถามขึ้นมาอีก ฉันก็จะได้มีคำตอบไปอธิบายแล้วไม่ใช่หรือไง”ลู่ฉ่ายเชียพูดขี้เล่นเหมือนจะเน้นอะไรบางอย่าง

ใช่แล้ว จากที่คนของตระกูลลู่คิดแล้ว จางฉีโม่จะต้องเจอกับความโชคดีอะไรโดยบังเอิญแน่นอน ไม่มีเหตุผลที่จู่ๆจะมีชื่อเสียงมากขนาดนั้นขึ้นมาในเมืองชิงหยูน

ไม่ใช่ว่าไปจับ”คนรวย”ได้หรือไง?

“พี่สาม พวกคุณเข้าใจผิดหมดแล้ว นี่ไม่ได้เป็นแบบที่พวกคุณคิดเลยสักนิด!”ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง”ฉีโม่น่ะเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์ พวกคุณอย่ามาพูดอะไรมั่วซั่วข้างนอกแบบนี้นะ”

“บริษัทเครื่องประดับนั่นของฉีโม่ แล้วก็วิลล่าพวกนั้น ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ลูกเขยของฉันหามาทั้งนั้น ไปเกาะผู้ชายรวยที่ไหนกัน? อย่ามาพูดมั่วซั่วนะ”

“ลูกเขย? ลูกเขยนั่นน่ะเหรอ? หลินอิ่ง ลูกเขยไร้ค่าที่แต่งเข้าบ้านมาน่ะนะ? “ลู่ฉ่ายเชียพูดถามขึ้นด้วยสีหน้าขี้เล่น

“หลินอิ่งหามาเองทั้งนั้น”ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้น”ลูกเขยคนนั้นของฉัน เขาเป็นถึงคุณชายใหญ่ที่มีชื่อเสียงของตี้จิงเชียวนะ”

“ฮ่าๆๆๆ!”ลู่ฉ่ายเชียกุมปากหลุดขำออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่”หย่าฮุ่ยเอ๋ย เธอหยุดพูดพล่ามกับพวกเราได้แล้ว ชื่อเสียงของลูกเขยไร้ค่าแบบหลินอิ่งนั่น อื้อฉาวมาจากเมืองชิงหยูนจนมาถึงอำเภอเจียงเยว่แล้ว ยังจะมาคุณชายใหญ่ของตี้จิงอีก?”

“น้องหย่าฮุ่ย เมื่อก่อนเธอก็ชอบพูดต่อหน้าพวกเราบ่อยๆ บอกว่าหลินอิ่งน่าสมเพชอย่างนั้น ไร้ค่าอย่างนี้ เหลืออดเหลือทนแล้วไม่ใช่หรือไง? แล้วตอนนี้มาคุณชายใหญ่ของตี้จิง? สรุปแล้วอันไหนมันคือความจริงอันไหนมันปลอมกันแน่?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท