ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 628 ไว้หน้าแม่เฒ่า

บทที่ 628 ไว้หน้าแม่เฒ่า

ปังๆๆ ๆๆ ๆๆ !

ภายในห้องโถงรับแขกมีเสียงระเบิดที่น่าสะพรึงกลัวดังขึ้น

หลินหวูเว่ยกับหลินเจว๋ออกแรงในขณะเดียวกัน ระหว่างฝ่ามือสองคู่ ระเบิดพลังที่ดุเดือดรุนแรงราวกับคลื่นโหมกระหน่ำออกมา พยายามจู่โจมไปยังหลินอิ่ง

หลินอิ่งสีหน้าเย็นชา ปล่อยสองฝ่ามือซ้ายขวาออกไปพร้อมกัน จับสองคนนั้นเอาไว้ ยื้อพลังภายในกัน

รอบตัวของเขา มีคลื่นพลังที่มองไม่เห็นระเบิดออกมา ร่างกายของพวกหลินหวูเว่ยที่สะเทือนก็สนั่นหวั่นไหว ระหว่างกระดูกมีเสียงราวกับเสียงฟ้าร้องดังขึ้น

ต่อมา ในห้องโถง จู่ๆ ก็มีคลื่นเสียงสูงแหลมราวกับเสียงคำรามของมังกรดังขึ้น ร้องคำรามอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

ก้องกังวาน!

เหมือนกับระเบิดที่ระเบิดออกมา เกิดเสียงดังกระหึ่ม มีพลังรุนแรงที่มองไม่เห็นถล่มห้องโถงรับแขกทั้งชั้น กำแพงทั้งสี่ด้านพังทลายและแตกเป็นเสี่ยงๆ เศษหินเศษอิฐปลิวว่อน

สักพัก ภายในก็มีฝุ่นควันตลบอบอวลขึ้นมาเต็มไปหมด แทบจะบดบังทัศนวิสัยการมองเห็นของทุกคนไปจนหมด

ส่วนหยูจื๋อเฉิงกับเหล่าบรรดาผู้เก่งกาจทหารลับ ก็ถูกลูกหลงกระเด็นถอยลอยออกไปข้างนอกหลายสิบเมตร

ผู้คนมองดูฉากที่โหดร้ายน่าอนาถภายในห้องโถง ฝุ่นควันลอยตลบอบอวลไปทุกที่ สีหน้าตกใจขึ้นมา

“ท่านอิ่ง!ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“ประธานหลิน!”

หยูจื๋อเฉิงพาผู้แข็งแกร่งทหารลับหนึ่งกลุ่ม พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว สีหน้าของทุกคนต่างก็รีบร้อนลนลาน

หลินอิ่งเป็นบุคคลสำคัญ เป็นหัวหน้าใหญ่ของพวกเขา จะให้เกิดอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้นแม้แต่นิดเดียวไม่ได้

โดยเฉพาะพวกคนที่ประสงค์ร้าย คนที่เรียกตัวเองว่าคนของตระกูลหลินอะไรนั่น แต่ละคนดูชั่วร้ายทั้งนั้น แถมยังไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้ท่านอิ่งอยู่ในสถานการณ์อะไร

“แค่กๆๆ ……”

มีเสียงไอแห้งทำลายบรรยากาศที่นิ่งเงียบ

ในเวลานี้ ฝุ่นควันในห้องโถงค่อยๆ จางหายไป เผยให้เห็นถึงรูปร่างคนสองคนที่ยืนโซซัดโซเซ

หลินหวูเว่ยกับหลินเจว๋ต่างถูกซัดจนถอยไปอยู่ตรงมุมกำแพง แนบติดผนังปูนยับเยินไปหมด สองคนเลือดท่วมตัว เปื้อนเขลอะไปด้วยเศษฝุ่นเศษปูน ดูสภาพแล้วน่าอัปยศสิ้นดี

“อุ๊บ!”

หลินหวูเว่ยกระอักเลือดออกมา สีหน้าซีดขาวอ่อนแอ มองออกไปด้วยสายตาตกใจ

หลินอิ่งสีหน้าไร้อารมณ์ ค่อยๆ เดินออกมาจากกลุ่มฝุ่นควันอย่างช้าๆ สองมือไขว้หลังอยู่อย่างนั้น

เขาปัดฝุ่นที่ไหล่ มองหลินหวูเว่ยด้วยสายตาเยือกเย็น

“พลังแค่นี้ ยังกล้ามาร้องเอะอะโวยวายอีก?”หลินอิ่งพูดถามขึ้นอย่างนิ่งเฉย

ภายใต้น้ำเสียงที่นิ่งเฉย แฝงไปด้วยเจตนาฆ่าที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ สะเทือนใจของพวกหลินหวูเว่ยทั้งสองคน นิ่งเงียบไม่กล้าส่งเสียง

“นี่แก!แกอายุน้อยแท้ๆ ทำไมพลังภายในถือหนาแน่นแข็งแกร่งขนาดนี้!”

สายตาของหลินหวูเว่ยเต็มไปด้วยความตกใจกลัว ถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ก่อนหน้านี้เขาดูจากผิวเผิน หลินอิ่งมากสุดก็เป็นแค่ยอดฝีมือระดับกลางของระดับโลกเท่านั้น

แต่ พลังภายในที่หลินอิ่งระเบิดออกมานี้ มันลึกซึ้งคาดเดาไม่ได้เหมือนกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ มันทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนจมดิ่งในน้ำหายใจไม่ออก ไม่มีที่สิ้นสุด ให้ความรู้สึกกว้างใหญ่เกินต้านทาน นี่มันเกินขีดบูโดของระดับพวกเขาไปแล้ว!

ในใจของหลินหวูเว่ยไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถเชื่อได้

หลินอิ่งเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง? อายุยี่สิบกว่าๆ เท่านั้น ต่อให้ฝึกฝนการต่อสู้ตั้งแต่ในครรภ์ ก็ไม่น่าจะสามารถเรียนรู้พลังภายในที่ลึกซึ้งคาดเดาไม่ได้นี้ได้หรอกใช่ไหม?

น่าขำ ก่อนหน้านี้เขายังคาดเดาอย่างหลับหูหลับตาอยู่เลย ว่าหลินอิ่งมีแผลเต็มตัว ดูอ่อนแอ ถูกเขามองทะลุทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว

หลังจากที่ปะทะต่อสู้กันแล้วเพิ่งจะรู้ว่า ภายใต้ผิวน้ำนิ่งๆ แบบหลินอิ่งนี้ ไม่รู้ว่ามีสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวแบบไหนหลบซ่อนเอาไว้อยู่!

“พี่ พี่ห้า……ผม ผมรับมือไม่ไหว ไม่ไหวจริงๆ คุณช่วยสนับสนุนด้วยเถอะ……”หลินเจว๋สีหน้าซีดขาว พูดสั่นกระส่ายอยู่ข้างๆ

เขาสั่นกระส่ายไปทั้งตัว เลือดไหลตรงมุมปาก ราวกับว่ากำลังเผชิญกับการโจมตีที่สยองขวัญที่ไม่สามารถต้านทานได้

เสียงดังปึง หลังจากที่พูดจบ หลินเจว๋ก็ประคองตัวเองไม่ไหว อ่อนแรงร่วงหล่นลงไปที่พื้น มือเท้าชักกระตุกไม่หยุด

เขาในตอนนี้ สีหน้าท่าทีเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและสยดสยอง ไร้ซึ่งท่าที่ที่เย่อหยิ่งและเหนือกว่าเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ถูกหลินอิ่งอัดจนสูญเสียความมั่นใจและความตั้งใจไปจนหมด

ถึงขนาดที่ ความกล้าที่จะเงยหน้าสบตากับหลินอิ่งยังไม่มี

โหดร้ายเกินไปแล้ว!

พลังภายในที่หลินอิ่งระเบิดออกมาเมื่อตะกี้ มันช่างมากมายมหาศาลจริงๆ มันเจาะทะลุกระดูกผิวหนัง อวัยวะภายใน ถึงขนาดที่จนถึงตอนนี้ร่างกายเลือดเนื้อยังแบกรับความเจ็บปวดจากส่วนที่เหลืออยู่ สั่นกระส่ายไม่หยุด

ทั้งตัวและหัวใจของเขาใจสั่นด้วยความหวาดกลัว

“นี่มัน……หลินอิ่ง แกไปได้รับพลังอะไรมาโดยบังเอิญ? ถึงสามารถมีบูโดระดับนี้ได้?”หลินหวูเว่ยจ้องเขม็งหลินอิ่งพร้อมกับพูดถามขึ้น”ต่อให้แกมีพลังความแข็งแกร่ง แล้วแกจะฉีกหน้า มีปัญหากับตระกูลหลินแห่งลังยาจริงๆ เหรอ?”

การมีอยู่ของหลินอิ่ง มันน่าเหลือเชื่อมาก

เขาหลินหวูเว่ยและหลินเจว๋ ล้วนแต่มีพลังบูโดระดับสูงของระดับโลกกันทั้งนั้น ภายในกลุ่มสันโดษ ก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถเหมือนกัน

แต่แค่เจอหน้ากัน ก็ถูกคนรุ่นหลังแบบหลินอิ่งเล่นงานจนเกือบจะพิการ!

แถมยังเป็นตอนที่หลินอิ่งอ่อนแออีกด้วย……

ขอบเขตพลังที่แท้จริงของหลินอิ่งคนนี้มันสูงถึงไหนกันแน่?

หลินอิ่งแค่หัวเราะอย่างเย้ยหยันออกมา เดินตรงไปยังพวกหลินหวูเว่ยทีละก้าวๆ

“แก แกคิดจะทำอะไร?”หลินเจว๋มองหลินอิ่งด้วยความตกใจหน้าถอดสี พูดขึ้นด้วยสีหน้าตกใจกลัว

หลินอิ่งเดินตรงไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่สนใจหลินเจว๋ที่กำลังตกใจกลัว

“ฉัน ฉันเป็นน้าแท้ๆ ในสายเลือดของแกนะ แก แกจะลงมือฆ่าฉันอย่างนั้นเหรอ?”หลินเจว๋พูดขึ้นด้วยสีหน้าซีดขาว กลัวตายไปเรียบร้อยแล้ว

“ผมบอกแล้ว ว่าจะทำลายศิลปะการต่อสู้ของคุณ ผมก็จะทำให้ได้”

หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งเฉย

พูดจบ หลินอิ่งก็ฟาดขาเข้าไป อัดไปตรงตำแหน่งตันเถียนของหลินเจว๋เข้าอย่างแรง ตัวเขาลอยกระเด็นขึ้นจากพื้นทันที ลอยออกไปสิบกว่าเมตร กระแทกกับกำแพงคอนกรีตอย่างแรงจนเป็นหลุมลงไป

ตึง!

หลินเจว๋ตกลงบนพื้น กระอักเลือดออกมาอยู่หลายครั้ง สีหน้าของเขาเจ็บปวดจนต้องร้องคำรามออกมา

“อ๊ากๆๆ ๆๆ ๆ !”

“แก แกกล้าทำลายบูโดของฉัน!”

หลินเจว๋ร้องแผดเสียงดังลั่น ร้องตะโกนออกมาด้วยสีหน้าท่าทางผิดปกติ สิ้นหวังแล้วก็ไม่ยอม

สำหรับยอดฝีมือของสันโดษแบบเขาแล้ว การสูญเสียศิลปะการต่อสู้ มันเลวร้ายซะยิ่งกว่าการที่เขาถูกฆ่าเสียอีก!

เพราะว่านี่หมายความว่าเขาสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว

“หลินอิ่ง!แกมันบ้าไปแล้วจริงๆ !คนของตระกูลหลินแห่งลังยา แกกล้ามาทำลายได้ง่ายๆ ขนาดนี้เลยเหรอ?” หลินหวูเว่ยมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าช็อกตกใจ แล้วก็ตกใจกับพฤติกรรมที่บ้าระห่ำขนาดนี้ของเขาด้วยเช่นกัน

คนของตระกูลหลินแห่งลังยา เป็นการมีอยู่ที่คนธรรมดาทั่วไม่กล้าเผชิญหน้าด้วย!

ทำลายศิลปะการต่อสู้? นี่มัน นี่มันเท่ากับกำลังเหยียบลงไปที่หน้าของตระกูลหลินชัดๆ !

“แกนี่ไม่เข้าใจกฎเลยนะจริงๆ !ต่อให้หลินเจว๋จะผิดสักแค่ไหน แต่นั่นก็เป็นผู้อาวุโสของแก!แกหยาบคายไร้ซึ่งความเคารพแบบนี้ ตระกูลหลินจะต้องจับแกไปดำเนินตามกฎของตระกูลแน่ๆ !”

หลินหวูเว่ยพูดขึ้นด้วยความรู้สึกที่ทั้งตกใจทั้งโกรธ

“พวกคุณทั้งสองคน มันกระดูกคนละเบอร์ แล้วยังจะมาพูดเรื่องกฎกับผมอีก?”หลินอิ่งมองหลินหวูเว่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“ไม่ใช่แค่เขา ศิลปะการต่อสู้ของคุณ ก็จะถูกทำลายเช่นกัน”

พูดจบ หลินอิ่งก็เดินตรงไปยังหลินหวูเว่ยอย่างช้าๆ

ตระกูลหลินแห่งลังยามาถึงก็ทำท่าทีหยิ่งยโสทะนงตัว มาถึงก็บอกว่าอยากได้แผ่นดินที่ตนเองอุตส่าห์ฟีฟ่าผ่านสงครามโชกเลือดในตี้จิงกว่าจะได้มา?

จะมาแย่งชิงกิจการธุรกิจไปหน้าตาเฉย?

ถ้าไม่สั่งสอนบทเรียนที่แสนสาหัสให้กับพวกเขา ตระกูลหลินแห่งลังยาก็จะไม่เข้าใจว่าควรจะเสวนากับตนเองยังไง

“ไม่!ไม่ได้นะ!”หลินหวูเว่ยสีหน้าตกใจกลัว ถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว”หลินอิ่ง แกอย่ามาทำอะไรตามอำเภอใจนะ!จะดีจะร้ายยังไงฉันก็เป็นน้าของแกนะ เป็นหลานชายของทวดแก ต่อให้แกไม่ไว้หน้าฉัน ก็ควรจะไว้หน้าแม่เฒ่าของแกสิ พวกเราเป็นตัวแทนของแม่เฒ่ามาหาแกโดยเฉพาะนะ!”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท