ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 637 อยากช่วยชีวิตภรรยาของแกไหม?

บทที่ 637 อยากช่วยชีวิตภรรยาของแกไหม?

“ว่าไงนะ?”

พอได้ฟังคำพูดที่น่าสะพรึงกลัวของเหวินเทียนเฟิ่ง จางฉีโม่ก็รู้สึกสั่นกระส่ายไปทั้งตัว ช็อกตกใจ

“คุณคิดจะฆ่าหลินอิ่ง?”จางฉีโม่พูดถามขึ้นด้วยความตกใจกลัว”ฆ่าคนมันผิดกฎหมายนะ”

“เหอะๆ ช่างเป็นเด็กที่ไร้เดียงสาจริงๆนะ”เหวินเทียนเฟิ่งยิ้มอย่างชั่วร้าย ยื่นมือออกมาจิบไวน์ไปอีกหนึ่งแก้วอย่างช้าๆ

“แล้วเธอรู้หรือเปล่าว่าหลินอิ่งฆ่าพี่ชายแท้ๆของฉัน?”เหวินเทียนเฟิ่งมองมายังจางฉีโม่อย่างโหดเหี้ยม

พูดพลาง เหวินเทียนเฟิ่งก็หยิบมีดเล็กๆบนโต๊ะออกมาหนึ่งเล่ม ค่อยๆเดินตรงมายังจางฉีโม่

“คุณ คุณจะทำอะไร?”จางฉีโม่ถามขึ้นด้วยความตกใจกลัว มองท่าทางที่ผิดปกติของเหวินเทียนเฟิ่ง ในใจรู้สึกหวาดกลัว

หญิงวัยกลางคนตรงหน้านี้ ท่าทางที่แสดงออกมาเห็นได้ชัดว่ามีความวิปริตทางจิตใจอยู่ไม่น้อย

เหวินเทียนเฟิ่งยิ้มอย่างเยือกเย็น ถือมีดเล็กๆที่แหลมคม ลูบไล้ไปมาตรงหน้าและลำคอของจางฉีโม่

“ช่างเป็นใบหน้าที่งดงามจริงๆ ทำให้ผู้หญิงมากมายต่างก็อิจฉาริษยาสินะ? ถ้าไม่เห็นว่าเธอยังมีประโยชน์อยู่ล่ะก็ ฉันจะกรีดหน้าเธอจนเละยับเยินไปแล้ว”

เหวินเทียนเฟิ่งก้มหน้า มองจางฉีโม่อย่างโหดเหี้ยม พร้อมกับพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น

“ไหนพูดมาซิ ในช่วงหลายปีที่เธออยู่ด้วยกันกับหลินอิ่ง รู้ความลับของหลินอิ่งบ้างไหม”เหวินเทียนเฟิ่งเล่นมีด พูดขึ้นอย่างช้าๆไมรีบไม่ร้อน

“มีเห็นมันนั่งสมาธิฝึกฝนศิลปะการต่อสู้บ้างไหม? มีเห็นมันแอบซ่อนของอะไรเอาไว้ไหม?”

“ฉัน ฉันไม่รู้……”จางฉีโม่พยายามสงบนิ่ง พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

เธอไม่รู้ความลับของหลินอิ่งจริงๆ

แถมต่อให้รู้ เธอก็ไม่มีทางพูดออกไปแน่นอน

หลินอิ่งมีความสำคัญมากอยู่ภายในใจของเธอ

“ถ้าไม่รู้อะไรเลยล่ะก็ ฉันก็จะกรีดหน้าของเธอ”เหวินเทียนเฟิ่งพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน ใช้มีดจ่อไว้ที่แก้มของจางฉีโม่ ค่อยๆไถลเลื่อนอย่างช้าๆ

จางฉีโม่เหงื่อไหลอาบเต็มหน้าผาก สีหน้าท่าทางประหม่าและวิตกกังวล

ตั้งแต่เกิดมา เธอยังไม่เคยเจอกับเหตุการณ์ที่อันตรายแบบนี้มาก่อน

เกิดเสียงดัง ตึ้ง ขึ้นมา

จู่ๆประตูก็ถูกผลักเปิดออก มีชายใส่หน้ากากที่น่าเกลียดน่ากลัว คลุมดำทั้งตัวเดินเข้ามาหนึ่งคน

“นายหญิงเหวิน หยุดหยอกล้อกับผู้หญิงคนนี้ได้แล้ว”ชายชุดดำพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม”เรื่องงานธุรกิจสำคัญที่สุด ถ้าเกิดคุณทำเธอบาดเจ็บ ทำให้แผนของนายท่านเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้น คุณจะรับผิดชอบไหวไหม?”

“เหอะ”เหวินเทียนเฟิ่งเก็บมีดกลับไป หันตัวมองไปยังชายชุดดำด้วยสีหน้าท่าทางขี้เล่น”ฉันก็แค่อยากจะเห็นท่าทางที่ตื่นตระหนกของผู้หญิงของหลินอิ่งเท่านั้นเอง นายจะจริงจังขนาดนี้ทำไม? นายชอบเธอเหรอ? ”

“ผู้ชายแบบพวกนายนี่นะ ถ้านายเกิดอารมณ์ขึ้นมาล่ะก็ นายก็จัดการเธอเลยสิ ฉันจะเคลียร์ห้องให้นายเอง”เหวินเทียนเฟิ่งพูดขึ้นด้วยสีหน้าขี้เล่น

พอจางฉีโม่ได้ฟังคำพูดของเหวินเทียนเฟิ่งแล้ว สีหน้าก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว รู้ว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้มาดีแน่นอน

“คุณต้องเข้าใจให้แน่ชัดก่อนว่า ก่อนที่หลินอิ่งจะเข้ามา พวกเราไม่สามารถทำอะไรกับผู้หญิงคนนี้ได้เลย นี่เป็นคำสั่งเด็ดขาดของนายท่าน”

ชายชุดดำไม่สนใจไม่แยแส น้ำเสียงเยือกเย็นราวกับหุ่นยนต์ พูดขึ้นอย่างเย็นชา

“นายหญิงเหวิน ผมรู้ว่าคุณกับหลินอิ่งมีความแค้นเกลียดชังต่อกันอยู่ลึกๆ ในใจรู้สึกโกรธเกลียดสุดๆ แต่ว่าแผนการของนานท่าน สำคัญกว่าคุณ”ชายชุดดำพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น

“นายท่านต้องการที่จะเอาของที่ตัวของหลินอิ่ง นี่จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหลินอิ่ง ไม่ใช่ว่าบีบคั้นหลินอิ่งถึงขั้นที่ให้ตายพินาศไปด้วยกันอย่างที่ต้องการ”

“ฉันรู้อยู่แล้วน่า”เหวินเทียนเฟิ่งกัดฟันพูดขึ้น”ถ้าฉันไม่เชื่อฟังที่นายท่านสั่งมาล่ะก็ ป่านนี้ให้ผู้ชายสิบกว่าคนจัดการกับผู้หญิงของหลินอิ่งไปนานแล้ว แล้วให้หลินอิ่งมาเห็นภาพนี้กับตาของตัวเอง!แล้วค่อยทำลายหน้าของผู้หญิงของมันให้ยับเยิน ให้หลินอิ่งได้รู้ว่าการที่มาเป็นปฏิปักษ์กับฉัน จะลงเอยแบบไหน!”

คำพูดนี้ พูดออกมาได้โหดร้ายน่ากลัวอย่างผิดปกติมากๆ ทำให้ชายชุดดำขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ รู้สึกว่าจิตใจของผู้หญิงนี้ชั่วร้ายที่สุด

“นายหญิงเหวิน คุณช่วยใจเย็นลงก่อน ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองไว้ อีกเดี๋ยว คุณยังต้องพูดคุยเจรจากับหลินอิ่งอีกนะ”ชายชุดดำพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“แถมบนโลกใบนี้ไม่มีศัตรูที่ถาวร มีแค่ผลประโยชน์เท่านั้น คุณคงจะเข้าใจเหตุผลนี้ดีนะ”

“หลินอิ่ง ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะกลายเป็นพวกพ้องที่สำคัญของนายท่าน อาจจะกลายเป็นผู้ช่วยที่สำคัญของท่านมังกรดำก็ได้……”

“ขอแค่หลินอิ่งยอมจำนนต่อนายท่าน นายท่านต้องการคนที่เก่งกาจโหดเหี้ยมทำสงครามไปทั่วทุกสารทิศแบบนี้หนึ่งคน”

ชายชุดดำพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา”ก่อนที่เรื่องยังไม่ลงตัว อย่าเพิ่งทำอะไรที่สุดโต่งรุนแรงเกินไป”

“เหอะ นี่นายกำลังสั่งสอนฉันอยู่เหรอ? ท่านนายพลงูของฉัน?”เหวินเทียนเฟิ่งยิ้มอย่างเย้ยหยัน”คิดที่จะประจบประแจงเจ้านายในอนาคตของนายแล้วอย่างนั้นเหรอ? กลัวว่าหลินอิ่งจะกลายเป็นพวกพ้องที่สำคัญของนายท่าน กลายเป็นเจ้านายระดับสูงของนายอย่างนั้นเหรอ?”

“ฉันจะบอกนายให้นะ นายอย่าฝันไปเลย ฉันเข้าใจนิสัยของหลินอิ่งดี คนคนนี้ไม่มีทางยอมใครง่ายๆหรอก ต่อให้เป็นท่านมังกรดำ ก็ไม่มีทางยอมจำนนให้เขาแน่นอน”

“นี่เป็นแผนการของนายท่าน ผมแค่ปฏิบัติตามก็เท่านั้น” ท่านนายพลงูพูดขึ้นอย่างทรงพลังและน่าเกรงขาม”ให้เวลาคุณหนึ่งนาที รีบสงบนิ่งลง พวกเราจะทำการยื่นคำขาดให้กับหลินอิ่ง”

“ข้อมูลข่าวกรองช่วงนี้ หลินอิ่งกลับถึงมณฑลตุงไห่ มุ่งหน้ามาอำเภอเจียงเยว่แล้ว หยุดยืดเยื้อเวลาได้แล้ว จะส่งผลต่อแผนของนายท่านได้”

พอได้ฟังแบบนั้น เหวินเทียนเฟิ่งก็ไม่ได้พูดอะไรอีก นั่งลงจิบไวน์ไปหนึ่งคำ หายใจไม่เสถียร หลับตาสงบสติอารมณ์

เธอรู้ดีว่า นายพลงูตรงหน้านี้ เป็นหัวหน้าที่เก่งกาจโดดเด่นภายใต้บังคับบัญชาของท่านมังกรดำ

กลุ่มคนลูกน้องของท่านมังกรดำพวกนั้น แต่ละคนล้วนแต่เย็นชาเหมือนกับหุ่นยนต์ ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนกับคนทั่วไป แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น

หลังจากผ่านไปสามนาที

นายพลงูก็ลงมือ ติดตั้งอุปกรณ์เทคโนโลยีมากมายหลายชิ้นทันที ลากหน้าจอจากในห้องมา

หลังจากที่เสียงตี๊ดๆหวึ่งๆดังขึ้นมาสองที

ดูเหมือนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะส่งสัญญาณออกมา โทรออกไปยังสายหนึ่งสาย

“ใคร?”

มีเสียงของชายหนุ่มที่เยือกเย็นดังขึ้นมาจากลำโพงภายในห้อง

“เหวินเทียนเฟิ่ง”

เหวินเทียนเฟิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งเฉย

“หลินอิ่ง แกไม่อยากรู้เหรอว่าภรรยาของแกอยู่หรือเปล่า?”

“แกเป็นคนจับจางฉีโม่ไปเหรอ?”

หลินอิ่งน้ำเสียงเยือกเย็น ท่ามกลางเสียงที่ทุ้มต่ำ แฝงไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้าเอาไว้

“ใช่ จางฉีโม่อยู่ในมือของฉัน แกอยากช่วยภรรยาของแกไหมล่ะ?”

“แกทำขนาดนี้ อยากได้อะไรกันแน่?”หลินอิ่งถามขึ้นอย่างสงบนิ่ง

“แกเดาสิ”เหวินเทียนเฟิ่งยิ้มอย่างเย้ยหยัน

“ถ้าจางฉีโม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว ฉันจะทำให้แกต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น

“เหอะๆ จนป่านนี้แล้ว แกยังกล้าขู่ฉันอีกเหรอ?”เหวินเทียนเฟิ่งพูดอย่างเย้ยหยันด้วยน้ำเสียงดูถูก”ถ้าแกอยากช่วยภรรยาของแกล่ะก็ ก็ปฏิบัติตามแผนการและคำสั่งของพวกเราซะ”

“แน่นอนว่า ก่อนหน้านี้ ฉันจะให้แกได้ฟังเสียงของจางฉีโม่ก็ได้”เหวินเทียนเฟิ่งค่อยๆพูดขึ้น”แล้วก็ให้แกได้เห็นเธอสักหน่อย ว่าสภาพเป็นยังไง……”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท