ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 640 ก่อนเกิดสงครามใหญ่

บทที่ 640 ก่อนเกิดสงครามใหญ่

“นายท่าน การเอาชนะหลินอิ่งมันถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลไปครับ ท่านวางใจได้เลย ขอแค่หลินอิ่งมาที่ภูเขาเจียงเยว่ ผมรับประกันได้เลยว่า ไม่มีทางทำให้มันได้หนีออกไปง่ายๆแน่นอน”นายพลงูพูดรายงานออกมาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

นิ่งชะงักไปสักพัก เขาก็พูดขึ้นต่อ”หลินอิ่งในตอนนี้อ่อนแอแล้วจริงๆ ขนาดรับมือกับมุซาชิ จูโตะแห่งสำนักยุทธ์เชียนยังใช้พลังขนาดนั้น การที่มาเผชิญกับกับดักมากมายของพวกเราที่ภูเขาเจียงเยว่ด้วยพลังแค่นี้ มันไม่มีทางหนีพ้นแน่นอน”

ใช่แล้ว ในใจของนายพลงู การที่เผชิญหน้ากับหลินอิ่งที่กำลังอ่อนแอ เขามีความมั่นใจอย่างมาก แทบจะเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

ไม่ว่ายังไง เขาเคยเห็นหลินอิ่งเผชิญหน้ากับมุซาชิ จูโตะที่ตี้จิงมาแล้วกับตาของตัวเอง การต่อสู้ยากเย็นสุดๆ กว่าจะจัดการพวกของมุซาชิ จูโตะลงได้

ตัวนายพลงูเอง เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่านมังกรดำ เคยฝึกฝนอบรมให้เป็นพิเศษ พลังบูโดไร้ขีดจำกัดก็เกือบเทียบเท่ารายการแห่งฟ้า ในอนาคตก็มีความหวังอย่างมากว่าจะสามารถทะยานขึ้นถึงระดับรายการแห่งฟ้าได้

ถ้าพูดถึงคุณสมบัติตามอายุ ตัวนายพลงูเอง ถือว่าเป็นชายมีพรสวรรค์ของแวดวงลึกลับของประเทศหลุง เป็นสิ่งของที่หายาก มีความมั่นใจในตัวเองอยู่พอสมควร

“นายพลงู นายอย่ามั่นใจมากเกินไป หลินอิ่งคนนี้ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่อ่อนแอ แต่ ก็จะดูถูกมันไม่ได้เด็ดขาด”ท่านมังกรดำค่อยๆพูดขึ้น

“อย่างน้อย นายคนเดียว ก็ยังจัดการกับมันไม่ได้หรอก”

“เอ่อ……นายท่าน”นายพลงูน้ำเสียงไม่เข้าใจ พูดถามขึ้น”ดูจากการต่อสู้กันของหลินอิ่งกับมุซาชิ จูโตะเมื่อครั้งที่แล้วแล้ว พลังของมันไม่ได้อยู่ในระดับของรายการแห่งฟ้าเลยนะครับ”

“ดูจากระดับในตอนนั้น แค่ผมคนเดียวก็มีความมั่นใจมากแล้วว่าจะสามารถจัดการมันได้”นายพลงูพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“นายพลงู หลินอิ่งอยู่ในระยะวัฏจักรขึ้นลงไม่เสถียร”ท่านมังกรดำค่อยๆพูดขึ้น”ต่อให้หลินอิ่งจะสภาวะอ่อนแอขนาดไหน ไม่มีพลังระดับรายการแห่งฟ้า ก็ไม่มีทางจัดการมันได้อยู่ดี”

“แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่อ่อนแอ ไม่มีพลังระดับรายการแห่งฟ้าก็จัดการไม่ได้……”นายพลงูครุ่นคิด พูดถามขึ้นอย่างช่วยไม่ได้”นายท่าน แล้วถ้าเกิดหลินอิ่งอยู่ในช่วงที่เฟื่องฟูเต็มที่จะมีขีดจำกัดขนาดไหนกันเชียว?”

นายพลงูรู้ว่านายท่านมังกรดำมีพลังระดับรายการแห่งฟ้า ถึงขนาดที่อยู่เหนือรายการแห่งฟ้าด้วยซ้ำ

ท่านมังกรดำ ก็เป็นคนที่เขาเคยเห็นมาโดยปกติอยู่แล้ว ผู้แข็งแกร่งด้านบูโดที่แข็งแกร่งที่สุด

ส่วนหลินอิ่งในช่วงที่เฟื่องฟูที่สุด

นายพลงูแอบสอดแนมการต่อสู้ของหลินอิ่งมาจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว ยังคงไม่สามารถระบุและตัดสินได้ว่าผู้แข็งแกร่งที่ลึกลับอายุน้อยคนนี้จริงๆแล้วอยู่ในระดับไหนกันแน่

เพราะว่าทุกการต่อสู้ของหลินอิ่งในแต่ละครั้ง ล้วนแต่ชนะทุกครั้ง แทบจะมองความลึกตื้นของบูโดใดๆไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

แค่เห็นหลินอิ่งตามฆ่ากงจิ่วอย่างกล้าหาญที่แม่น้ำตี้เมื่อครั้งที่แล้ว บดขยี้ทำลายเรือ เดินออกมาจากระเบิดอย่างสะอาดสะอ้านไม่แปดเปื้อนแม้แต่น้อย ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของผู้ชายคนนี้แล้ว

ภาพเหตุการณ์นั้น ทิ้งความช็อกตกใจเอาไว้ภายในจิตใจของนายพลงูอย่างฝังลึก

“หลินอิ่งที่เฟื่องฟู……”นายท่านมังกรดำพูดพึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

หลินอิ่งที่อยู่ขั้นสูงสุด จะแข็งแกร่งขนาดไหนกันเชียว?

นี่เป็นคำถามยากที่ท่านมังกรดำเองก็ไม่อาจตัดสินได้

อย่างน้อย การทำให้ท่านมังกรดำหวาดกลัวไม่น้อย ยอมละทิ้งผลประโยชน์มากมาย หลีกเลี่ยงล่าถอย แล้วก็ไม่กล้าไปเผชิญหน้าตรงๆ ทำได้แค่หลบซ่อนคิดวางแผนการอยู่ในอย่างลับๆแบบนี้

เด็กหนุ่มแบบหลินอิ่งคนนี้ ในฐานะทายาทแก๊งมังกรเพียงคนเดียวที่ท่านประมุขแก๊งรุ่นก่อนกำหนดเอาไว้

แม้ว่าในแก๊งมังกร ก็มีเพียงแค่คนระดับสูงเท่านั้นที่รู้ถึงการมีอยู่ของคนคนนี้ คนหลายระดับในแก๊งมังกรไม่มีใครที่รู้ผลงานโดยละเอียดของเขาเลยสักคน ลึกลับมากๆ

แถม ภายในแวดวงลึกลับของประเทศหลุง หลินอิ่งชื่อนี้ก็ไร้ชื่อเสียงไม่เป็นที่รู้จัก ก็เหมือนกับคนเหี้ยมโหดที่โดดเด่นเกินผู้คน

แต่ ท่านมังกรดำก็สามารถคิดตระหนักได้

ท่านประมุขแก๊งคนก่อนในฐานะที่เป็นเทพผู้ไร้เทียมทานที่สามารถบังคับสั่งการได้ทั้งโลก สายตาระดับนั้น ทายาทที่เขาเลือกจะมีความต่างกันสักแค่ไหนกันเชียว?

หลินอิ่งอยู่อย่างสันโดษมาเป็นเวลาหลายปี หลังจากที่กลับออกมาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าพลังเทพนั้น ต้องฝึกฝนถึงความแข็งแกร่งระดับไหน

“หลินอิ่งที่ขั้นสูงสุด เป็นคนที่ไม่สามารถจะไปเป็นศัตรูได้เลย”ท่านมังกรดำค่อยๆพูดขึ้น”คนคนนี้ ไต่ขึ้นไปอยู่ด้านบนขีดจำกัดรายการแห่งฟ้าเรียบร้อยแล้ว……”

“ด้านเหนือรายการแห่งฟ้า จะเป็นขีดจำกัดแบบไหนกัน?”นายพลงูพูดถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ภายในแวดวงลึกลับ พลังระดับรายการแห่งฟ้า แทบจะเข้าใกล้ระดับตำนานแล้ว

เป็นที่ทราบกันดีว่าคนที่สามารถอยู่ด้านเหนือรายการแห่งฟ้าได้ มีแค่เพียงอาจารย์กู้ต้าคนเดียวเท่านั้น เทียนหวางกู้ที่เป็นที่รู้จักไปทั่ว

“เหนือรายการแห่งฟ้า……”ท่านมังกรดำค่อยๆพูดขึ้น”นั่นเป็นขีดจำกัดที่นายไม่สามารถจินตนาการหรือคาดเดาได้เลย……”

“นายพลงู นั่นไม่ใช่เรื่องที่นายควรจะไปคาดเดา ตอนนี้ สิ่งที่นายควรคิดก็คือจะทำยังไงถึงไต่ขึ้นไปถึงระดับรายการแห่งฟ้าได้ ค้นหาพลังที่พุ่งทะยานถึงขีดจำกัดรายการแห่งฟ้าได้……”

“บูโด สิ่งที่ต้องห้ามที่สุดก็คืออยู่ไกลเกินเอื้อม”

พอได้ฟังการชี้แนะของท่านมังกรดำแล้ว นายพลงูก็เริ่มครุ่นคิดอย่างช่วยไม่ได้

“ใช่แล้ว นายท่าน ผมเข้าใจแล้วครับ”นายพลงูพูดขึ้นด้วยความเคารพ

ในใจของเขาก็ไม่สามารถที่จะจินตนาการได้ ว่าหลินอิ่งมีความสามารถที่น่าทึ่งยังไงบ้าง ถึงสามารถไต่ไปถึงระดับพลังรายการแห่งฟ้าด้วยอายุเพียงแค่ยี่สิบกว่าๆเท่านั้น

ตัวนายพลงูเองก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าระดับสูงสุดของรายการแห่งฟ้าเป็นยังไง แต่ว่า เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า การที่จะก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับรายการแห่งฟ้า มันยากขนาดไหน!

ภายในแวดวงลึกลับ ยอดฝีมือของรายการแห่งฟ้าล้วนแต่หายากมากๆ เป็นช่องว่างที่ไม่สามารถข้ามผ่านไปได้ ถ้าเกิดไต่ขึ้นมาได้แล้ว นั่นก็คือสามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์จนเก่งกล้าแล้ว

ระดับรายการแห่งฟ้า ก็เป็นพลังที่สายตาโลกธรรมไม่สามารถเข้าใจได้ มีพลังเหนือธรรมชาติที่น่าเหลือเชื่อมากมายหลายประเภท

“นายพลงู พอหลินอิ่งมาถึงภูเขาเจียงเยว่แล้ว นายก็อาจจะได้เห็น ว่าอะไรคือการต่อสู้ของพลังระดับรายการแห่งฟ้า……”ท่านมังกรดำค่อยๆพูดขึ้น ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้งเอาไว้

……

ในขณะเดียวกัน

ณ อำเภอเจียงเยว่

ร้านอาหารโบราณแห่งหนึ่ง ในถนนสายเก่าที่คึกคักพลุกพล่าน

ในห้องน้ำชาชั้นสอง หลินอิ่งนั่งอยู่บนที่นั่ง สีหน้าของเขาไร้อารมณ์ สองตาแฝงไปด้วยความเยือกเย็นที่ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว

ฝั่งตรงข้าม เสิ่นซานกับเจียงฉีกำลังนั่งอยู่ด้วยท่าทางกระวนกระวายอยู่ไม่สุข

ทั้งสองคนรู้สึกอึดอัดอยู่ไม่สุข สีหน้าท่าทางเคร่งเครียด

พวกเขาทั้งสองคนรู้สึกได้ว่า ภายใต้สีหน้าท่าทางที่นิ่งสงบของหลินอิ่ง แอบซ่อนไปด้วยความอาฆาตที่น่าสะพรึงกลัวไว้แค่ไหน

เรื่องที่คุณนายหลินถูกลักพาตัวไป เท่ากับมากระตุกหนวดเสือของประธานหลินชัดๆ

“ท่านหลิน……เรื่องนี้ผมประมาทเลินเล่อเอง เชิญท่านลงโทษผมเลยครับ” เสิ่นซานเปิดปากพูดขึ้นก่อน สีหน้ารู้สึกผิด ลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดขึ้น”ทุกสิ่งทุกอย่างของผม ท่านหลินเป็นคนสร้างให้กับผมทั้งหมด ถ้าท่านหลินโกรธ ก็มาลงโทษผมเถอะครับ ผมยอมแบกรับรับผิดชอบทั้งหมดเอง”

“ประธานหลิน เรื่องนี้ผมก็มีส่วนรับผิดชอบ……ผมไม่คัดค้านอะไร ให้ประธานหลินจัดการได้เลยครับ”

เจียงฉีก็ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน พูดก้มหน้าด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

พวกเขาทั้งสองคนล้วนแต่เป็นบุคคลที่ทรงพลังของมณฑลตุงไห่แท้ๆ ผลที่ได้กลับปกป้องคุ้มกันคุณนายหลินไม่ได้เลย ไปพูดที่ไหน มีแต่ขายขี้หน้าที่นั่น

หลินอิ่งไม่ได้พูดอะไร ยกแก้วชาขึ้นมา ค่อยๆจิบไปหนึ่งคำ

เขาไม่ได้ลงโทษเจียงฉีกับเสิ่นซาน

เพราะว่าคนที่ลงมือคือท่านมังกรดำ ผู้มีอำนาจอิทธิพลใหญ่ที่มาจากแวดวงลึกลับ ขนาดตระกูลฉีแห่งตี้จิงยังไม่อาจรับมือกับพลังที่ดุร้ายรุนแรงนั่นได้ ถูกฆ่าตายยกตระกูล แล้วนับประสาอะไรกับพวกเขาทั้งสองคน

คนในโลกธรรม เผชิญหน้ากับคนระดับนั้นแบบท่านมังกรดำ ไม่มีที่ที่จะให้ลงมือสวนกลับเลยด้วยซ้ำ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท