ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 642 เรียกท่านมังกรดำออกมาพบผม

บทที่ 642 เรียกท่านมังกรดำออกมาพบผม

หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง

ณ ภูเขาเจียงเยว่ บนถนนที่คดเคี้ยว มีรถเบนท์ลีย์สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ตรงนั้น

ฮาเดสเปิดประตูรถออก หลินอิ่งก้าวลงจากรถ แล้วเดินขึ้นยอดเขาไปเพียงลำพัง

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ฮาเดสได้นั่งอยู่ตรงฝั่งคนขับ เฝ้ารอการกลับมาของหลินอิ่ง

กู่ชางไห่นั้นได้เข้าป่าจากอีกฝั่งหนึ่ง และหายไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่หลินอิ่งมอบหมายให้กู่ชางไห่ไปทำก็คือ ให้เขาเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในที่ลับตา แล้วหาจังหวะเคลื่อนไหวอีกที

แผนลับในครั้งนี้ มีเป้าหมายสำคัญก็คือการช่วยเหลือฉีโม่ให้ได้ในช่วงเวลาสำคัญ

ไม่นาน หลินอิ่งก็เดินขึ้นเขาไปตามทาง จนพบกับหุบเขาเล็กๆ ในนั้น ภายใต้แสงจันทร์ที่เบาบาง ยังคงสามารถมองเห็นบ้านที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างเฉพาะกิจที่อยู่ไกลออกไป

ท่ามกลางพื้นดินเรียบๆ ที่กว้างขวางนั้น ได้มีชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดสีดำยืนอยู่ ทุกคนต่างก็จ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาอันโหดเหี้ยมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร

รวมๆ แล้วมีประมาณสามสิบคนเห็นจะได้ ที่มือของที่คนต่างก็สวมถุงมือที่สะท้อนแสงสีเงินอ่อนๆ ออกมา

และยังมีหญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวดูเป็นผู้ดีมีความรู้ยืนอยู่ท่ามกลางของคนกลุ่มนั้น จ้องมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าที่จะยิ้มไม่ยิ้ม

แวบแรกที่เห็นหลินอิ่งก็นึกออกแล้ว ว่าเธอก็คือเหวินเทียนเฟิ่งที่มีความแค้นอันใหญ่หลวง

และที่ข้างๆ ของเหวินเทียนเฟิ่งยังมีชายชุดดำที่สวมหน้ากากสัมฤทธิ์ยืนอยู่อีกคน

หลินอิ่งทำหน้าเรียบเฉย สีหน้าไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมาแม้แต่นิดเดียว

“ฉีโม่อยู่ไหน?” หลินอิ่งถามเบาๆ

“ฮึฮึ หลินอิ่ง แกมาตามนัดจริงๆ ด้วย” เหวินเทียนเฟิ่งพูดด้วยความขบขัน “คงคิดไม่ถึงสินะ ว่าการที่ได้มาเจอกันอีกครั้ง จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้”

“แกคงจะยังไม่ลืมหรอกนะ ว่าตอนอยู่ที่ตี้จิง แกสังหารพี่เหวินเทียนเจียวยังไง?” เหวินเทียนเฟิ่งถามด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น

มุมปากของหลินอิ่งได้ปรากฏรอยยิ้มที่ไม่สบอารมณ์ออกมา

ผู้หญิงที่จิตใจเหี้ยมโหดอย่างเหวินเทียนเฟิ่ง เขาไม่อยากไปเสวนากับเธอเลยสักนิด

แล้วยังจะมาถามหาการตายของพี่ชายของเธออีก?

ตอนอยู่ที่ตี้จิง เหวินเทียนเฟิ่งนี่แหละที่สั่งคนไปฆ่าเหวินเทียนเจียวเอง เหตุผลก็เพื่อฆ่าคนปิดปาก กลัวว่าเหวินเทียนเจียวที่ถูกเขาจับไปจะถูกบีบจนเปิดเผยความลับออกมา

แต่ผู้หญิงคนนี้กลับเอาเรื่องการตายของพี่ชาย มาป้ายความผิดให้เขา มันชักจะน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ

“หลินอิ่ง แกอยากเจอหน้าเมียแกใช่มั้ย? ถ้าอยากเจอ ก็มาขอร้องฉันสิ” เหวินเทียนเฟิ่งพูดขบขันด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

หลินอิ่งขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ “คุณยังไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะต่อรองอะไรกับผม เรียกท่านมังกรดำออกมาพบผม”

พูดตามตรง เขาไม่ได้เห็นทุกคนตรงนี้อยู่ในสายตาเลย

มีแค่ท่านมังกรดำคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์ที่จะพูดกับเขาได้

ในใจของหลินอิ่งนั้นรู้ดี ถ้าท่านมังกรดำไม่ได้สั่ง ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรฉีโม่แน่นอน

และจุดประสงค์ของท่านมังกรดำก็ชัดเจนมาก ซึ่งก็คือการได้รับการสืบทอดแก๊งมังกรจากเขานั่นเอง

คนคนนี้วางแผนเตรียมการมาเนิ่นนาน แล้วจะยอมเผยช่องโหว่ออกมาในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ได้ยังไงล่ะ

ก่อนที่จะได้รับการสืบทอดแก๊งมังกรจากเขา ท่านมังกรดำก็ไม่มีทางกล้าทำให้เขาโกรธเด็ดขาด

“ฮึฮึฮึ หลินอิ่ง ถึงตอนนี้แล้วแกยังกล้าทำตัวยโสอีกเหรอ?” เหวินเทียนเฟิ่งจ้องมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าที่ไม่ชอบใจ “เมื่อมาถึงเจาเจียงเยว่แล้ว แกคิดว่าตัวเองยังสามารถกลับไปอย่างปลอดภัยได้อีกรึไง? แกคิดว่าคำพูดของตัวเองยังใช้ได้อยู่อีกรึไง?”

หลินอิ่งส่ายหน้า ไม่ได้สนใจเหวินเทียนเฟิ่ง เหลือบตา มองไปยังผู้ชายที่สวมหน้ากากสัมฤทธิ์คนนั้น

“คุณคือหัวหน้าองครักษ์มังกรดำคนปัจจุบันอย่างนั้นเหรอ?” หลินอิ่งถามออกมาเบาๆ

แววตาของนายพลงูกระตุกไปทีหนึ่ง ในใจของเขากำลังตื่นเต้นมาก ไม่รู้ทำไม ตอนที่เผชิญหน้ากับหลินอิ่งตรงๆ ถึงต้องรู้สึกกระวนกระวายใจตลอดด้วย รู้สึกกังวลเหมือนกำลังจะได้เจอกับสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวมากๆ

ความรู้สึกแบบนี้ เหมือนกำลังเผชิญหน้ากับมังกรหรือพยัคฆ์ที่ดุร้ายอยู่ บรรยากาศที่ส่งออกมานั้นทำให้อยากที่จะจำนนด้วยความหวาดกลัว

“ถ้าใช่แล้วมันจะทำไม?” นายพลงูพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

เขาเป็นองครักษ์มังกรดำคนปัจจุบันจริง การที่เรื่องนี้จะถูกหลินอิ่งคาดการได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอะไร

อีกอย่าง ถ้าไม่มีการทรยศของอาจารย์ต้ากู้ละก็ ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งที่ยืนอยู่หน้าเขาตอนนี้ ก็น่าจะเป็นคนที่เขาต้องเรียกขานว่าท่านประมุขแก๊งแน่นอน

การต้องมาเผชิญหน้ากับคนแบบนี้ ถึงแม้จะรู้ว่าตอนนี้หลินอิ่งยังอยู่ในช่วงที่กำลังอ่อนแอ แต่ในใจของเขาก็ยังรู้สึกกดดันไม่น้อยเลย

“หลินอิ่ง สิ่งที่นายท่านต้องการ คุณได้เอามาด้วยมั้ย?” นายพลงูเปลี่ยนเรื่องแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

มุมปากของหลินอิ่งปรากฏรอยยิ้มที่ไม่ชอบใจออกมา แล้วพูดไปว่า “สิ่งที่ท่านมังกรดำต้องการ มันได้สลักอยู่ในสมองของผมแล้ว”

“ถ้าเขาอยากได้ ก็ต้องถามผมก่อน”

“หือ?” น้ำเสียงของนายพลงูดูไม่ชอบใจ และพูดออกไปอย่างเคร่งขรึมว่า “หลินอิ่ง นายท่านต้องการอะไร คุณน่าจะรู้ดีแก่ใจ อย่าคิดทำอะไรตุกติก ไม่อย่างนั้น ภรรยาของคุณก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น!”

“ที่สำคัญ ถ้าไม่ใช่เพราะนายท่านถูกใจคุณ อยากที่จะร่วมมือกับคุณละก็ คืนนี้ เราก็สามารถจับตัวคุณไว้ แล้วบังคับให้คุณยอมเปิดปากคายความลับพวกนั้นออกมาก็ได้!”

พอได้ยินคำพูดที่มีแต่การข่มขู่ของนายพลงู สีหน้าของหลินอิ่งก็ยังไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไร

“ร่วมมือ? ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าท่านมังกรดำของพวกคุณนั้นจะร่วมมือกับผมยังไง?” หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ “จับภรรยาของผมไป บังคับให้ผมมอบของที่ต้องการให้ แล้วยังคิดที่จะร่วมมือกับผมอีกเนี่ยนะ?”

นายพลงูพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง “หลินอิ่ง นายท่านถูกใจคุณค่าในฐานะของคุณ และถูกใจความสามารถที่คุณมี ถ้าคุณยอมให้ความร่วมมือดีๆ โดยการมอบของที่นายท่านอยากได้ออกมา แบบนั้น ทุกอย่างค่อยคุยกันง่ายหน่อย”

“ส่วนภรรยาของคุณ เราก็จะยอมปล่อยเธอกลับไปอย่างปลอดภัย ต่อไป คุณก็สามารถยืมกำลังของนายท่านเพื่อทวงคืนแก๊งมังกรได้”

“คำมั่นที่นายท่านจะให้กับคุณก็คือการแบ่งแก๊งมังกรกันอย่างเท่าเทียม”

“แบ่งแก๊งมังกรกันอย่างเท่าเทียมอย่างนั้นเหรอ?” หลินอิ่งจ้องมองนายพลงูด้วยความรู้สึกสนใจขึ้นมานิดหน่อย ไม่รู้ว่าท่านมังกรดำกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่

อยากแบ่งแก๊งมังกรกับเขาคนละครึ่ง ความคิดนี้ถือว่าใช้ได้เลย รู้ว่าเขาต้องอยากที่จะคิดคด อยากที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของแก๊งมังกรแน่ๆ

ส่วนท่านมังกรดำนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูงมาก ไม่อยากที่จะอยู่ภายใต้การปกครองของอาจารย์กู้ต้า

ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ยอมปิดบังอาจารย์กู้ต้ากับพวกระดับสูงของแก๊งมังกรเพื่อมาจัดการกับเขาเพียงลำพังหรอก

“สถานการณ์ของแก๊งมังกรตอนนี้ พวกอาจารย์กู้ต้านั้นไม่กลัวอดีตท่านประมุขแก๊งหวนคืนกลับมารึไง?” หลินอิ่งพูดออกมาช้าๆ

เขาไม่รู้ว่าตอนนี้อาจารย์นั้นเป็นยังไง จึงได้ลองถามหยั่งเชิงดู” อดีตท่านประมุขแก๊งอย่างนั้นเหรอ?” น้ำเสียงของนายพลงูดูลังเลไปแวบหนึ่ง แล้วพูดออกไปว่า “อดีตท่านประมุขแก๊งได้หายสาบสูญไปนานแล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่จะล้มเหลวในการปลีกวิเวก จนตายไปแล้ว……”

“คุณไม่ต้องอ้างชื่อของอดีตท่านประมุขแก๊งมาข่มขู่กันเลย”

“และผมก็สามารถบอกคุณได้อีกว่า มีความเป็นไปได้สูงที่อดีตท่านประมุขแก๊งจะเสร็จอาจารย์กู้ต้าที่โหดเหี้ยมไปแล้ว ถ้าคุณอยากแก้แค้นให้อาจารย์ของคุณละก็ มาร่วมมือกับนายท่านซะ รับรองว่ามันต้องเป็นการตัดสินใจอันชาญฉลาดแน่นอน” นายพลงูพูดออกมาอย่างช้าๆ

หลินอิ่งทำหน้าเรียบเฉย แต่ในใจนั้นกลับกำลังวุ่นวายอย่างมาก

อาจารย์จะถูกลอบทำร้ายจนตายเลยอย่างนั้นเหรอ?

พูดตามตรง หลินอิงนั้นไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน

ระดับบูโดของอาจารย์นั้นอยู่เหนือมนุษย์จนไม่อาจจินตนาการได้แล้ว

สิ่งที่จะเป็นไปได้ก็มีแค่ได้รับบาดเจ็บระหว่างที่ปลีกวิเวกจนตายเท่านั้น

“จะคุยเรื่องร่วมมือกันก็ย่อมได้ แต่ต้องเรียกท่านมังกรดำออกมาพบผม คุณไม่มีคุณสมบัติมากพอ” หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย

“ฮึ หลินอิ่ง เรื่องถึงขั้นนี้แล้ว คุณยังคิดจะวางตัวเป็นท่านประมุขแก๊งอยู่อีกเหรอ?” นายพลงูขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ

“ถ้าต้องการเข้าพบนายท่าน ก็ต้องดูว่าคุณเหลือน้ำยาอีกเท่าไหร่!”

พูดจบ นายพลงูก็โบกมือ กลุ่มของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาก็เคลื่อนไหวราวกับพายุ พุ่งเข้ามาหวังที่จะปลิดชีพหลินอิ่งอย่างพร้อมเพรียงกัน!

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท