ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 647 ทหารมือดี

บทที่ 647 ทหารมือดี

“นี่หลินอิ่งมันใช้ไม้นี้เลยเหรอ?”

เหวินเทียนเฟิ่งทำหน้าตกใจ พร้อมกับมองไปที่บ้านด้วยความร้อนรน และแสดงสายตาที่โหดเหี้ยมออกมา

“นี่พวกแกทำอะไรกันอยู่? กล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ใกล้เคียงภูเขาเจียงเยว่มันจับภาพของคนที่บุกเข้ามาไม่ได้รึไง?” เหวินเทียนเฟิ่งจ้องไปที่หัวกะทิองครักษ์มังกรดำหลายคนแล้วตำหนิอย่างไม่ชอบใจ

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เพื่อรับมือกับหลินอิ่ง ก็ได้เตรียมการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้วแท้ๆ

สั่งให้องครักษ์มังกรดำส่วนหนึ่งไปเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่ภูเขาเจียงเยว่ จับตาดูทางเข้าทุกทาง แถมยังติดตั้งเรดาร์อีกเป็นกอง แต่ก็ยังปล่อยให้คนของหลินอิ่งลอบเข้ามาได้อีก

และเธอเองก็ถือว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมหลินอิ่งถึงใช้แผนซ้อนแผนยอมต่อสู้กับท่านมังกรดำอย่างดุเดือด เป้าหมายก็เพื่อดึงตัวนายท่านเอาไว้ จากนั้นเตรียมทหารมือดีให้ลอบเข้ามาเพื่อช่วยเหลือตัวประกัน

“นายหญิงเหวิน……นี่มันเป็นเรื่องผิดพลาด ต้องเป็นเพราะข้อมูลตกหล่นแน่นอนครับ” องครักษ์มังกรดำคนหนึ่งพูดออกมาด้วยความร้อนรน “เรานึกไม่ถึงว่าในมณฑลตุงไห่หลินอิ่งมันจะยังมียอดฝีมือลึกลับคอยช่วยเหลืออีก……”

ก่อนหน้านี้ตอนที่ตรวจสอบข้อมูลของหลินอิ่ง ก็ได้รู้ว่าที่ตี้จิงนั้นหลินอิ่งได้มียอดฝีมือลึกลับหลายคนที่อยู่ใต้อาณัติ

แต่ในมณฑลตุงไห่นั้น อำนาจของหลินอิ่งถูกจำกัดไว้แค่ระดับโลกธรรมเท่านั้น มีลูกน้องที่คอยจัดการวงการธุรกิจกับโลกแห่งความมืดอยู่สองคน แต่ก็ไม่เคยเห็นยอดฝีมือลึกลับปรากฏตัวมาก่อนเลย

การที่ตอนนี้จู่ๆ ก็มีการชิงตัวตัวประกันเกิดขึ้น มันก็ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าก่อนที่จะมาหลินอิ่งได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว

เพราะว่า ยอดฝีมือระดับหัวกะทิทั่วไปไม่มีทางหลบพ้นจากการเฝ้าระวังที่แน่นหนาขององครักษ์มังกรดำแน่นอน ต้องเป็นยอดฝีมือลึกลับที่มีฝีมือระดับหนึ่งจึงจะสามารถลอบเข้ามาในภูเขาเจียงเยว่โดยไม่มีมาใครรู้ได้ หลบหลีกจากสายตาของหน่วยเฝ้าระวังขององครักษ์มังกรดำได้ทุกคน

นี่มันต้องเป็นข้อมูลชิ้นโตที่คลาดเคลื่อนแน่นอน

ก่อนที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกเขาต่างก็ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ว่าในอำเภอเจียงเยว่ที่เล็กๆ แบบนี้ หลินอิ่งจะพายอดฝีมือระดับนี้มาด้วย

ต้องเข้าใจว่า หลินอิ่งนั้นลงจากเครื่องบินคนเดียว จนมาถึงที่เมืองชิงหยูน นี่คือข้อมูลที่พวกเขาสามารถมั่นใจได้

“มีแต่พวกไร้ประโยชน์ทั้งนั้น ถึงได้ทำงานได้สะเพร่าขนาดนี้ รอนายท่านจัดการกับหลินอิ่งเสร็จ ภายใต้ความโกรธที่เหลือล้น ดูซิว่าพวกไร้ค่าอย่างพวกแกจะแก้ตัวยังไง และต้องรับผิดชอบแบบไหน!” เหวินเทียนเฟิ่งตะคอกออกมาด้วยความโมโห สีหน้าก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว

ท่านมังกรดำกำลังสู้กับหลินอิ่งในช่วงสำคัญ

ถ้าเกิดตัวประกันที่สำคัญอย่างจางฉีโม่ถูกช่วยไปได้ พวกเขาก็จะเป็นฝ่ายที่ได้รับผลกระทบ

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ มันจะส่งผลกับแผนการที่ท่านมังกรดำวางไว้ คนที่ดำเนินการอย่างพวกเขา ก็คงไม่มีจุดจบที่น่าดูสักเท่าไหร่

“ยังยืนบื้ออยู่ทำไม? พวกไร้ประโยชน์! รีบไปช่วยนายพลงูสิ! ถ้าตัวประกันเกิดถูกช่วยไปได้ พวกแกก็เตรียมตัวตายได้เลย!” เหวินเทียนเฟิ่งพูดด้วยความเดือดดาลอย่างถึงที่สุด ตำหนิองครักษ์มังกรดำหลายคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ครับ……”

หัวกะทิองครักษ์มังกรดำตอบด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น จากนั้นก็พุ่งไปข้างหน้า กลายร่างเป็นสายลม พุ่งตัวเข้าไปในอาคาร

ในขณะเดียวกัน

ภายในห้องที่อยู่ชั้นสาม โถงทางเดินที่มืดสนิท สภาพที่เละเทะ กำแพงโดยรอบมีแต่รูที่ถูกโจมตีใส่จนยับเยิน

ยังมีชายหนุ่มชุดดำอีกหลายคนที่ล้มกองอยู่บนพื้น นอนชักกระตุกกันเป็นแถบ แต่ละคนเหมือนถูกการโจมตีที่รุนแรงมากๆ โจมตีใส่ เลือดสดๆ อาบท่วมไปทั้งตัว

เห็นได้ชัดว่า ที่แห่งนี้ไม่ได้มีการต่อสู้ที่รุนแรงเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง

พวกหัวกะทิองครักษ์มังกรที่คอยเฝ้าจางฉีโม่เอาไว้ ต่างก็ถูกคนเข้ามาทำร้ายอย่างรวดเร็ว ลงไปนอนกับพื้น

พรึ่บพับ

นายพลงูเดินอยู่บนโถงทางเดินด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว แววตานั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความเดือดดาลและความแปลกใจ และยังรู้สึกตื่นเต้นไปในเวลาเดียวกัน

เสียงปั้งดังขึ้น!

นายพลงูถีบประตูออกในทีเดียว ภายในห้องที่เรียบหรู ว่างเปล่าไม่มีใคร มีเพียงชายชุดดำสองสามคนที่กำลังนอนเลือดกลบปากอยู่บนพื้น

ส่วนจางฉีโม่ที่เคยถูกล็อกไว้ที่เก้าอี้ ตอนนี้ได้หายตัวไปแล้ว

กำแพงที่ห่างออกไปไม่ไกล ได้ปรากฏรูขนาดใหญ่ขึ้น ราวกับมันถูกใครบางคนโจมตีจนมันพังทลายลง แล้วพาตัวประกันหนีออกไปจากด้านใน

“นี่มัน!”

นายพลงูจ้องมองรูขนาดใหญ่ตรงกำแพงด้วยสายตาที่เคร่งขรึม ส่วนสีหน้าที่แสดงออกมานั้นทั้งโกรธทั้งตกใจ

“เศษสวะ! มีแต่พวกเศษสวะทั้งนั้น! แค่ผู้หญิงคนเดียวยังขังไว้ไม่ได้?”

นายพลงูหันมองไปยังหัวกะทิองครักษ์มังกรดำที่นอนอยู่บนพื้นอย่างกะทันหัน ยืนมือไปดึงตัวขึ้นมาคนหนึ่ง บีบไปที่คอของชายหนุ่มชุดดำนั้นอย่างแรง แล้วถามด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น

“นี่พวกแกทำงานกันยังไง? ใครเป็นคนมาช่วยจางฉีโม่ไป?”

“ท่านนายพลงู……เป็น เป็นตาแก่คนหนึ่งที่อายุมากแล้ว ฝีมือบูโดของมันแข็งแกร่งมาก ข้าน้อยคิดว่า อย่างน้อยก็น่าจะอยู่ในระดับรายการแห่งดินครับ” ชายหนุ่มชุดดำแววตาร้อนรน และพูดตะกุกตะกักไปว่า “พวกข้าน้อยได้ขวางอย่างสุดชีวิตแล้ว แต่ก็ขวางมันเอาไว้ไม่ได้……”

“ตาแก่ที่มีอายุ? ยอดฝีมือระดับรายการแห่งดิน?”

สีหน้าของนายพลงูเคร่งขรึมลงไป รู้สึกว่าเรื่องมันชักจะยุ่งยากขึ้นมาแล้ว

“ท่านนายพลงูครับ ข้าน้อยก็นึกไม่ถึงว่าจะมียอดฝีมือระดับนี้บุกเข้ามาเหมือนกัน หลังจากที่มันช่วยเหลือตัวประกันแล้ว มันก็พังกำแพงแล้วหนีไป นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่นาทีเอง ข้าน้อยคิดว่ามันน่าจะยังหนีไปได้ไม่ไกล……ท่านนายพล……” ชายหนุ่มชุดดำพูดออกมาด้วยความร้อนรน

“เพิ่งหนีไปอย่างนั้นเหรอ?” นายพลงูแสดงแววตาที่เป็นประกายดุร้ายออกมา

“แกมันแค่เศษสวะ กะอีแค่ถ่วงเวลามันไว้ยังทำไม่ได้ แล้วจะเก็บไว้ทำไมอีก?”

“เอื้อกอ้า!”

พูดจบ เสียงร้องครวญครางที่ชัดเจนก็ได้ดังออกมาจากภายในห้อง

นายพลงูยกมือขึ้นมาหักคอของชายหนุ่มชุดดำคนนั้น เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมมาก สีหน้าก็ดูเหี้ยมโหดมากๆ เหมือนกัน

“รีบตามมันออกไป ยังไงวันนี้ก็ต้องจับตัวกลับมาให้ได้ ถ้าจางฉีโม่ถูกช่วยออกไปจากภูเขาเจียงเยว่ละก็ พวกแกทุกคนได้ตายแน่!”

หลังจากคำพูดที่ทุ้มลึกของนายพลงูสิ้นสุดลง บรรดาหัวกะทิองครักษ์มังกรดำที่อยู่ด้านหลังเขาก็เคลื่อนไหว ต่างพากันพังกำแพงกระโดดพุ่งตัวลงไป แล้วทำการไล่ล่าทันที

ส่วนนายพลงูนั้นก็ได้เคลื่อนไหว เปลี่ยนกลายเป็นสายลมกรรโชก ไล่ล่าตามทางที่เป็นแตกร้าวไป

ในตอนนี้ แรงกดดันที่อยู่ในใจเขานั้นมีมากอย่างถึงที่สุด

เมื่อกี้ก็เพิ่งไปสู้กับหลินอิ่งด้วยการบังคับตัวเอง มันได้ทำร้ายไปจนถึงรากฐานของเขาแล้ว กำลังยังไม่ถึงครึ่งของช่วงพีคๆ เลย

แล้วดันมาพลาดในช่วงเวลาสำคัญ โดยการถูกชิงตัวจางฉีโม่ไปอีก?

แถมยังเป็นยอดฝีมือระดับรายการแห่งดินที่บุกเข้ามาอีก?

นี่ถ้าไม่สามารถชิงตัวประกันกลับมาได้ หลังจากที่การต่อสู้ของท่านมังกรดำกับหลินอิ่งสิ้นสุดลง คนแรกที่จะโดนเอามาเชือดก็คือเขา……

แต่ในสภาพที่บาดเจ็บหนักแบบนี้ แล้วต้องเจอกับยอดฝีมือระดับรายการแห่งดินหนึ่งคน นายพลงูเองก็ไม่มีความมั่นใจเลย

หนึ่งนาทีหลังจากนั้น

ถนนในเขาที่อยู่บนเขาหลังตึกสูง

กู่ชางไห่พาจางฉีโม่วิ่งหนีด้วยความเร็วสูง เพราะอยากที่จะออกจากโลกแห่งนี้ให้เร็วที่สุด ลงเขาไปยังจุดที่รถที่เป็นกำลังสนับสนุนจอดอยู่

“คะ คุณคือ?” จางฉีโม่เพิ่งได้สติขึ้นมา แล้วจ้องมองกู่ชางไห่ด้วยสายตาที่ยังพร่ามัว และถามออกไป

“คุณนายหลิน คุณไม่ต้องถามอะไรแล้วครับ ผมเป็นคนของคุณหลิน ตั้งใจมาช่วยคุณโดยเฉพาะเลยครับ” กู่ชางไห่พูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง “คนพวกนั้นได้ตามเรามาแล้ว ตอนนี้คุณยังไม่ได้ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็น”

“คนของหลินอิ่งอย่างนั้นเหรอ?” จางฉีโม่ตั้งสติได้แล้ว สีหน้าก็ดูดีขึ้นมาบ้าง แล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถามไปว่า “ละแล้วหลินอิ่งล่ะ? เขาอยู่ที่ไหน?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท