ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 646 ศึกระดับรายการแห่งฟ้า

บทที่ 646 ศึกระดับรายการแห่งฟ้า

สองผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทาน ได้เข้าปะทะกันอย่างรวดเร็ว

เสียงดังโครมคราม ราวกับสายฟ้าที่กำลังร้องคำราม

จนที่ตรงนั้นเกิดพายุหมุนที่รุนแรงขึ้น แรงลมทำให้หินก้อนใหญ่นั้นถูกพัดจนกระเด็น ฝุ่นควันลอยคลุ้งไปทั่ว

มองจากไกลๆ ก็เห็นเพียงร่างของทั้งคู่สวนกันไปมาราวกับสายฟ้า สู้กันจนพื้นดินนั้นพังทลายลงไปเรื่อยๆ และก่อให้เกิดเสียงดังกึกก้องอันน่าสะพรึงกลัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ร่างกายของท่านมังกรดำนั้น เคลื่อนราวกับสายฟ้า ที่เร็วทั้งรุนแรง ไล่ล่าตามฆ่าหลินอิ่ง ในการเคลื่อนที่ทุกครั้ง จะก่อให้เกิดพายุหมุนขึ้น ทำให้พื้นดินโดยรอบแตกออกเป็นทาง

เสื้อคลุมสีดำของเขาเคลื่อนไหวโดยที่ไม่มีแรงลม รอบตัวก็มีชี่กังที่แทบจะกลายเป็นของแข็งไหลเวียนอยู่

ชี่กังที่ทรงพลังและน่าเกรงขามนี้ ถ้าคนทั่วไปโดนเข้าแม้แต่นิดเดียว ก็จะแยกสลายเป็นก้อนเนื้อทันที

ส่วนหลินอิ่งนั้น ก็ได้ระเบิดชี่กังคลุมตัวที่น่าสะพรึงกลัวออกมา ร่างกายดูเป็นธรรมชาติ เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ และเข้าปะทะกับท่านมังกรดำไปหลายกระบวนท่า

การต่อสู้ระหว่างทั้งคู่ ได้เหนือจินตนาการไปแล้ว ท่ามกลางสายฟ้าและก้อนหินที่ระเบิด ทำให้พื้นดินของรัศมีโดยรอบกว่าร้อยเมตรเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่เป็นสิบหลุม ฉากที่เกิดขึ้นตรงนั้นสั่นสะเทือนกึกก้องอย่างแรง

ส่วนคนที่อยู่ใกล้เคียง ไม่สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของคนทั้งสองได้อย่างชัดเจนได้เลย แม้แต่ร่างกายยังมองตามด้วยตาเปล่าไม่ทันเลย

ใครที่เป็นฝ่ายได้เปรียบ ยิ่งไม่มีทางรู้เข้าไปใหญ่

รู้แค่เพียงว่า ลมพายุที่ซัดเข้ามาเป็นลูกๆ นั้น ทำเอาทุกคนที่กำลังมองดูอยู่ไม่กล้าเข้าไปใกล้เลย ต่างพากันถอยห่างออกไปเป็นร้อยเมตร

เพราะในใจของทุกคนต่างรู้ดี ว่าการต่อสู้ระหว่างหลินอิ่งกับท่านมังกรดำนั้น ต่อให้เป็นลูกหลงจากพลัง มันก็มากพอที่จะปลิดชีพของตนได้ จึงจำเป็นต้องถอยออกไปให้ไกล

โครมคราม!

การต่อสู้ที่เกิดขึ้นตรงใจกลาง ได้ดำเนินมาถึงในจุดที่น่าสะพรึงกลัวแล้ว

แค่การต่อสู้เพียงไม่กี่อึดใจ พื้นดินก็เละเทะจนเหมือนโดนระเบิดหลายสิบกิโลมาระเบิดใส่ รอยแตกร้าวเป็นแอ่งๆ ถูกชี่กังกระแทกจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ ส่วนคนทั้งสองนั้น ยังคงแลกหมัดกันอย่างไม่หยุด รุนแรงจนทำให้เกิดลมพายุซัดมาเป็นช่วงๆ

“นี่เพิ่งจะเริ่มต้นก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่รุนแรงแบบนี้แล้ว นี่นะเหรอการต่อสู้ของผู้ที่อยู่ในระดับรายการแห่งฟ้า ……”

ร้อยกว่าเมตรที่ไกลออกไป นายพลงูที่เลือดไหลออกจากมุมปาก ถูกหัวกะทิองครักษ์มังกรดำสองคนประคองไว้ จ้องมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่ตกตะลึง แล้วกำลังพูดพึมพำกับตัวเอง

ในตอนนี้ ในหัวของเขา นอกจากตะลึง ก็ยังเป็นความตะลึงอยู่ดี

กำลังรบของหลินอิ่งกับท่านมังกรดำนั้น แข็งแกร่งเกินไป เหมือนจะเกินกว่าที่เขาคาดการณ์ไปแล้ว

การใช้กระบวนท่าที่น่าเกรงขามและรุนแรงโจมตีใส่กันแบบนี้ ถ้าให้เขาเข้าไปลองดูสักหน่อยละก็ ไม่ต้องถึงสิบกระบวนท่าหรอก เขาคงพ่ายแพ้อย่างราบคาบแน่นอน

แต่ท่านมังกรดำกับหลินอิ่งนั้น กลับโจมตีอย่างง่ายดายเหมือนกำลังกินข้าวกินน้ำอยู่เลย

ต้องรู้ก่อนว่า นี่เป็นแค่การหยั่งเชิงกันในช่วงแรกเท่านั้น ทั้งสองยังไม่ได้งัดไพ่ตายในมือออกมาใช้เลย

แต่มันก็ก่อให้เกิดสถานการณ์ที่น่ากลัวถึงขนาดนี้แล้ว

ถ้ารอจนทั้งสองสู้กันจนถึงช่วงสำคัญ แล้วมันจะออกมาในสภาพไหนกันนะ?

“ระดับรายการแห่งฟ้า……” เหวินเทียนเฟิ่งที่อยู่ข้างๆ เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ หรี่ตาแล้วจ้องมองการต่อสู้ระหว่างท่านมังกรดำกับหลินอิ่ง ความตกใจในแววตานั้นไม่อาจปกปิดได้เลย

เธอนั้นเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ในโลกของเธอนั้น ไม่เคยมีคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้อยู่เลย

คนเป็นๆ ที่มีเลือดมีเนื้อ กลับมีพลังการทำลายล้างที่น่ากลัวถึงเพียงนี้

นี่มันเป็นยอดมนุษย์ที่อยู่ในหนังชัดๆ

“นายพลงู ระดับรายการแห่งฟ้า มันคืออะไรกันแน่?” เหวินเทียนเฟิ่งถามไปด้วยความสงสัย

“รายการแห่งฟ้า คุณไม่มีทางเข้าใจหรอก” นายพลงูพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม ” “มันคือสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งเกียรติยศสูงสุดในแวดวงลึกลับ”

คนที่สามารถก้าวไปถึงจุดนั้นได้ ก็สามารถถูกยกย่องให้เป็นปรมาจารย์ได้เลย เป็นปรมาจารย์ที่แท้จริง” นายพลงูพูดออกมาอย่างช้าๆ พร้อมกับสายตาที่เป็นประกาย

ระดับขั้นของหลินอิ่งกับท่านมังกรดำนั้น ก็คือระดับขั้นที่เขาคอยไล่ตามไขว่คว้าอย่างยากลำบากแต่ก็ไม่เคยเอื้อมถึงมาก่อนเลย เป็นการไขว่คว้าในด้านบูโดของเขา

“ฉันไม่เข้าใจจริงๆ นั่นแหละ” เหวินเทียนเฟิ่งพูดออกมาช้าๆ “งั้น นายพลงู คุณพอจะมองเห็นอะไรบ้างมั้ย? นายท่านกำลังเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบรึเปล่า?”

นายพลงูหรี่ตามองไปยังคนทั้งสองที่กำลังเคลื่อนไหวราวกับสายฟ้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มลึกว่า “การต่อสู้ที่อยู่ในระดับนี้ มันเกินกว่าที่ผมจะสามารถคาดการณ์ได้แล้ว ตาเปล่าก็มองการกระทำของนายท่านกับหลินอิ่งไม่ทันแล้วนอกจากจะเคยฝึกใช้สายตาที่หยั่งรู้ถึงจะรู้ได้ แต่น่าเสียดายที่ผมยังไม่ถึงขั้นนั้น”

“แต่ว่า ด้วยความสามารถที่โดดเด่นของนายท่าน การจะจัดการกับหลินอิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องยาก พวกเรารอดูอีกสักพัก ก็น่าจะดูออกแล้ว” นายพลงูพูดออกมาอย่างใจเย็น แต่ในใจกลับกำลังตื่นเต้นมาก

เขาไม่ค่อยได้เห็นนายท่านจัดการด้วยตนเองมากนัก

เมื่อก่อนที่คอยติดตามไปจัดการกับพวกยอดฝีมือระดับรายการแห่งดินนั้น ถ้านายท่านลงมือ มันก็แทบจะเป็นการปลิดชีพในชั่วพริบตาเลย

พวกที่อยู่ต่ำกว่ารายการแห่งฟ้า เมื่อมาอยู่ต่อหน้านายท่านแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับมดปลอดที่น่าสงสาร ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้สวนกลับ

แต่หลินอิ่งที่อยู่ในช่วงอ่อนแอนั้น ยังคงแสดงฝีมือที่แข็งแกร่งขนาดนี้ออก แล้วยังสามารถสู้ได้อย่างทัดเทียมกับนายท่านได้อีกด้วย

นี่จึงทำให้นายพลงูรู้สึกตกใจมาก ความรู้สึกเทิดทูนในความแข็งแกร่งอันไร้ที่ติของท่านมังกรดำที่อยู่ในใจเขานั้น ได้ถูกสั่นคลอนเข้าแล้ว

นายท่านมังกรดำจะสามารถเอาชนะหลินอิ่งได้ง่ายๆ จริงเหรอ?

เรื่องนี้มันแฝงไปด้วยความน่าสงสัย

ถ้าเกิดนายท่านแพ้ เขาเองก็น่าจะจบสิ้นเหมือนกัน……

“ก็จริง วิธีการของนายท่านนั้น ฉันเคยเห็นมากับตาแล้ว ต่อให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากแค่ไหนก็ยังสามารถผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย” เหวินเทียนเฟิ่งพูดพร้อมกับหวนคิดถึงเรื่องราวอะไรบางอย่าง แววตาก็ดูมั่นใจมาก

“ได้ยินพวกคุณบอกว่า หลินอิ่งนั้นมันบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว อย่างมากก็ต้านได้อีกไม่นานเท่านั้น พอสู้กันไปเรื่อยๆ มันต้องต้านนายท่านไม่ไหวแน่นอน”

“สิ่งที่คุณพูดมามันถูกแล้ว ด้วยพื้นฐานที่นายท่านมี ต่อให้เป็นพวกรายการแห่งฟ้าทั่วไประดับล่างก็ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับนายท่านตรงๆ เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลินอิ่งที่บาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว” นายพลงูแสดงออกอย่างเห็นด้วย เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองอีกนิด

“เฮ้อ นายท่านนั้นตั้งใจจะจับเป็นหลินอิ่งให้ได้ ถ้าทำตามแผนเดิมที่วางไว้ ใช้ความตายของจางฉีโม่มาข่มขู่ ไม่แน่หลินอิ่งอาจจะยอมจำนน แล้วส่งของออกมาอย่างว่าง่าย และคงไม่ต้องมาวุ่นวายเหมือนตอนนี้หรอก” เหวินเทียนเฟิ่งพูดด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่

ในความรู้สึกของเธอนั้น ไม่อยากที่จะดำเนินตามแผนนี้เลยสักนิด เพราะแผนนี้มันเสี่ยงเกินไป ที่สำคัญ เธอก็ไม่มีทางยินดีที่จะให้หลินอิ่งเข้าร่วมกับกองกำลังของท่านมังกรดำแน่นอน

เพราะถ้าหลินอิ่งเกิดร่วมมือกับท่านมังกรดำเข้าจริงๆ งั้นตำแหน่งที่ได้ก็ต้องอยู่เหนือกว่าเธอแน่นอน

เป้าหมายของเหวินเทียนเฟิ่งคืออยากให้หลินอิ่งตาย และยังต้องตายอย่าทรมานด้วย

“คุณเองก็หยุดบ่นได้แล้ว การตัดสินใจของนายท่าน เป็นสิ่งที่คุณจะเข้าใจได้รึไง?” นายพลงูจ้องมองเหวินเทียนเฟิ่งด้วยสายตาที่ไม่ชอบใจ พร้อมกับตำหนิด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์

เหวินเทียนเฟิ่งทำหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่กล้าตอบโต้อะไร

“เราก็ยึดตามแผนการที่นายท่านวางไว้แต่แรกดีกว่า ไปจับตาดูจางฉีโม่ให้ดี” นายพลงูค่อยๆ พูดออกมา หมุนตัวแล้วเดินไปยังบ้านที่อยู่ทางด้านหลัง

“เอื้อกอ้า!”

ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ไฟของบ้านหลังที่ขังตัวประกันไว้ก็ดับลงจนมืดไปทั้งหลัง เหมือนไฟฟ้าในบ้านถูกใครบางคนตัดไป

ในเวลาเดียวกัน ก็ได้มีเสียงร้องโอดครวญดังมาจากด้านใน

“นี่มัน!” นายพลงูทำหน้าตกใจ เหมือนจะนึกอะไรได้อย่างกะทันหัน และไม่สนใจร่างกายที่บาดเจ็บ พุ่งตัวเข้าไปในบ้านที่มืดมิดทันที

“ท่านนายพลงู มียอดฝีมือบุกเข้ามาครับ มันตั้งใจจะเข้ามาช่วยจางฉีโม่……”

ที่ภายในบ้าน ได้มีเสียงที่ร้องขอชีวิตของหัวกะทิองครักษ์มังกรดำหลายคนดังขึ้น เหมือนได้เจอกับศัตรูตัวฉกาจเข้าแล้ว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท