ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 652 สู้ตาย

บทที่ 652 สู้ตาย

สั่นสะเทือนกลางอากาศ

เสียงระเบิดดังสนั่น

สีหน้าของหลินอิ่งนิ่ง เอามือไพล่หลังและยืนอยู่ที่เดิม

กำลังภายในที่แข็งแกร่ง เหมือนสัตว์อสูรดุร้าย พุ่งเข้ามาตรงหน้า

หลินอิ่งขยับข้อมือและเหยียดหลังมือออกไป

เขาปล่อยพลังชี่กังออกมา พลังฝ่ามือที่ร้ายกาจรุนแรง ระเบิดคลื่นลมและทะลวงเข้าไป

ยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานสองคน กำลังปล่อยพลังฝ่ามือต่อสู้กันกลางอากาศ

บูม!

เสียงระเบิดดังสนั่น คลื่นแรงสั่นสะเทือนทำให้อากาศแตกเป็นเสี่ยง ๆ กลายเป็นคลื่นที่น่าสะพรึงกลัวและโหมกระหน่ำ ทำให้ก้อนกรวดที่อยู่บนพื้นแตกออกเป็นผงทันที

ความรุนแรงพุ่งเข้ามาทางด้านหน้า กระจายเป็นวงกว้าง หลินอิ่งกำลังต้านรับพลังที่ทรงพลัง ทำให้ร่างกายของเขาก็สั่นเล็กน้อย

ความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวนั้นเร็วราวกับรถไฟความเร็วสูง พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าจะเป็นหลินอิ่ง ก็อาจจะต้านรับไม่ไหว

หลังจากสูดหายใจลึก ๆ ทั้งสองคนต่อสู้กันกลางอากาศต่อ ทำให้เกิดคลื่นรุนแรงที่ปะทุออกมาปกคลุมไปทั่ว และทำลายทุกอย่างที่อยู่รอบ ๆ

หลินอิ่งถูกแรงสั่นสะเทือนจนถอยออกไปไกลมากกว่าสามสิบเมตร

เขาโซเซ และมีร่องรอยของความเคร่งขรึมอยู่ในดวงตา

ขณะนี้ มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของหลินอิ่ง

ฝ่ามือที่แข็งแกร่งของท่านมังกรดำ ได้สร้างความเสียหายอย่างมากและเป็นภัยคุกคามต่อหลินอิ่งในช่วงเวลาที่ร่างกายอ่อนแอที่สุด

เป็นครั้งแรก ที่เขาต่อสู้กับคนอื่นนับตั้งแต่เขาลงมาจากภูเขา จนได้รับบาดเจ็บภายใน

“โอ๊ย”

ท่านมังกรดำที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งส่งเสียงคำรามออกมาเบา ๆ

เขาเป็นศูนย์กลางของการระเบิดพลัง และถูกชะล้างด้วยพลังชี่กังที่รุนแรง ราวกับว่าถูกใบมีดมากมายทิ่มแทง ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด เสื้อคลุมสีดำถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ

ใต้เสื้อคลุมสีดำนั้น ยังมีชุดเกราะทองที่แปลกประหลาด ที่ถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ เช่นกัน

มีเลือดไหลออกมาจากผิวหนัง

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ……”

หลังจากเสียงคำรามที่เจ็บปวด ท่านมังกรดำก็หัวเราะอย่างน่าสะพรึงกลัวอีกครั้ง

หลังจากต่อสู้กัน เขาได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่าหลินอิ่ง แต่ตอนนี้เขาค่อยยังชั่วแล้ว

“ผมไม่ได้เจอศัตรูที่ทรงพลังเช่นนี้มานานแล้ว ช่วงเวลาแห่งวิกฤตที่เกิดจากฝ่ามือนั้นช่างน่าตื่นเต้นและน่าจดจำจริง ๆ” ท่านมังกรดำกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“หลินอิ่ง คุณยังสามารถรับได้อีกกี่ฝ่ามือ? ตอนนี้คุณสามารถรักษาสถานะได้อีกนานแค่ไหน?”

หลินอิ่งมองท่านมังกรดำด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย และมือที่อยู่ข้างหลังสั่นเล็กน้อย

ใช่ การต่อสู้คืนนี้ เขารู้สึกกดดันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

หากยังคงต่อสู้ต่อไป ไม่รู้ว่าจะชนะหรือพ่ายแพ้ หรือตนเองอาจจะตายจากการต่อสู้คราวนี้

ฝีมือของมังกรดำนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

ในช่วงเวลาที่ร่างกายตนเองอ่อนแอ เขาบังคับตนเองรักษาสถานภาพให้อยู่ในระดับรายการแห่งฟ้าโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งนั้น

“หลินอิ่ง ผมจะถามคุณเป็นครั้งสุดท้ายว่า! คุณจะมอบเคล็ดลับของแก๊งมังกรออกมาหรือไม่ คุณมั่นใจว่าจะไม่ร่วมมือกับผมหรือ?”

ท่านมังกรดำถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม และน้ำเสียงของเขายังคงเต็มไปด้วยความโกรธ

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกทำร้ายจนเสื้อคลุมฉีกขาด และทั่วทั้งร่างกายนั้นเต็มไปด้วยเลือด

อาการบาดเจ็บของเขาค่อนข้างรุนแรง

ถ้าไม่ใช่เพราะศักยภาพทางร่างกายของเขาแข็งแกร่งกว่าคนปกติทั่วไปแล้ว ฝ่ามือเมื่อสักครู่ของหลินอิ่ง คงจะทำให้ร่างกายของเขาเละและกระดูกแตกหักไปหมดแล้ว

หากยังต่อสู้ต่อไป ท่านมังกรดำเองก็ไม่มั่นใจว่า

เขาและหลินอิ่งที่อยู่ในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอนั้น ฝีมือจะสูสีกันไหม?……

“ผมจะไม่พูดคำพูดเดิมเป็นครั้งที่สอง”

หลินอิ่งกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ

“ถ้าคุณต้องการเคล็ดลับของแก๊งมังกร ก็ย่อมได้ แค่ขอถามคุณว่า คุณจะรับไหวหรือ!”

หลังจากกล่าวจบ หลินอิ่งเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เขาเร็วราวกับสายฟ้า และพุ่งไปที่ท่านมังกรดำอย่างรวดเร็ว

เมื่อฉีโม่ปลอดภัยแล้ว ทำให้รู้สึกหลินอิ่งไม่มีข้อจำกัดอีกต่อไป

คนคนนี้จงใจวางแผนทำร้ายตนเอง และกระตุ้นต่อมโมโหของตนเองโดยการลักพาตัวฉีโม่

นอกจากนี้ เขายังคุมความลับเรื่องฐานะตัวตนของตนเองไว้อีกด้วย

คืนนี้ ถ้าท่านมังกรดำไม่ตาย ตนเองก็ตาย!

การต่อสู้ครั้งนี้ จะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายตาย!

ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ต้องฆ่าคนคนนี้ให้ตาย!

“ฮึ่ม!”

ท่านมังกรดำฮึ่มคำหนึ่งอย่างเย็นชา ดวงตาของเขาเผยเจตจำนงสังหาร

“คุณดื้อรั้นมาก! ผมให้โอกาสคุณแล้วมากมาย มันถึงได้ทำให้คุณกำเริบเสิบสานขนาดนี้”

“ในเมื่อคุณอยากรนหาที่ตาย วันนี้ผมจะทำลายบูโดของคุณ จากนั้นค่อย ๆ ทรมานจนคุณยอมมอบเคล็ดลับของแก๊งมังกรให้ผม! คุณรอรับความเจ็บปวดทรมานไม่รู้จบเถอะ!”

หลังจากที่ท่านมังกรดำกล่าวด้วยความโกรธ จากนั้นพุ่งไปหาหลินอิ่งด้วยความเร็วราวกับสายลม

บูม!

บูม!

บูม!

เมื่อคนสองคนปะทะกันใกล้ ๆ มันคือการต่อสู้ที่ใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน

ระหว่างพวกเขายังคงใช้กลยุทธ์การฆ่าที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดเพื่อโจมตีกันและกัน และเสียงต่อสู้ดังสนั่นต่อเนื่อง

เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด หลังจากนั้นก็มีกลุ่มเลือดกระจายกลางอากาศ

หลินอิ่งใช้ฝ่ามือซัดไปที่ร่างของท่านมังกรดำหลายฝ่ามือ ทำให้กระดูกของเขาฉีกขาดและมีเลือดสด ๆไหลออกมา

ท่านมังกรดำนั้นแข็งแกร่งมากจนไม่กลัวความเจ็บปวด เขาฝืนต้านรับพลังฝ่ามือของหลินอิ่ง แล้วก็เอื้อมมือออกไปคว้ามันอย่างดุเดือด

ภายในเวลาไม่ถึงนาที พวกเขาต่อสู้ไปหลายสิบรอบแล้ว

หลินอิ่งมีบาดแผลหลายแห่งบนร่างกาย และบนไหล่ของเขามีบาดแผลลึกจนสามารถมองเห็นกระดูกได้อย่างชัดเจน

ยอดฝีมือไร้เทียมทานสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด โดยไม่คำนึงถึงบาดแผลทางร่างกาย และยืนกรานที่จะฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย

เมื่อทักษะฝีมือของคนสองคนมีความสมดุล พวกเขาไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ทันที แต่ก็ยังอยากจะฆ่าอีกฝ่าย ดังนั้นพวกเขาจึงต่อสู้กันจนมีสภาพเช่นนี้

ไม่ว่าจะใช้วิธี ฟัน แทง เกี่ยว จับ เตะ

ท่านมังกรดำใช้หมัดและเท้าประสานเข้ากับร่างกาย เขาปล่อยพลังหมัดออกไปอย่างต่อเนื่อง กระแทกร่างกายของหลินอิ่งอย่างรุนแรง

ส่วนพลังหมัดที่โจมตีไม่ถูกร่างกายของหลินอิ่ง ไปกระทบกับพื้นดินจนทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว

ส่วนพลังหมัดที่โจมตีถูกร่างกายของหลินอิ่ง ทำให้หลินอิ่งได้รับบาดเจ็บจนเลือดกระเซ็นเหมือนสายฝนที่โปรยปราย

หลินอิ่งทนความเจ็บปวดทั้งหมด ขณะที่ต้านรับการโจมตีของท่านมังกรดำ เขาก็โจมตีกลับเช่นกัน

ฝ่ามือของเขาคมยิ่งกว่าใบมีด ซัดไปที่ร่างกายของท่านมังกรดำจนได้รับบาดเจ็บ และเลือดสด ๆไหลลงสู่พื้น

รอบบริเวณที่ทั้งสองคนกำลังต่อสู้กัน ทำให้เกิดการระเบิดขึ้นอากาศ และพื้นดินสั่นสะเทือน ตอนนี้พวกเขาต่อสู้กันจนถึงจุดเดือดแล้ว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท