“ฉันรู้ว่าคุณไม่ใช่คนธรรมดา” จางฉีโม่กล่าว “ฉันแค่กังวลว่าคุณจะไม่รังเกียจฉัน และการที่ฉันอยู่เคียงข้างคุณก็มีแต่จะทำให้คุณต้องเดือดร้อน…”
จางฉีโม่กล่าวด้วยท่าทางโศกเศร้า
เธอรู้ว่าหลินอิ่งไม่ใช่คนธรรมดา และพลังของเขานั้นไม่สามารถจินตนาการได้
การที่เธออยู่ข้างกายหลินอิ่ง แต่เธอไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ เป็นเแค่ตัวถ่วงของหลินอิ่ง
สิ่งที่ประสบในคราวนี้คือตัวอย่างที่ชัดเจน
เพราะเธอ หลินอิ่งเกือบถูกศัตรูลอบสังหารและเกือบถูกฆ่าตาย
“ฉีโม่ ต่อไปคุณอย่าพูดเช่นนี้อีกแล้ว” หลินอิ่งกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “เรื่องระหว่างเราคนสองคน ยังไม่ถึงขั้นเป็นตัวถ่วง”
ตอนแรก ที่หลินอิ่งกลับไปที่เมืองชิงหยูนนั้นเขาไม่มีอะไรเลย
ฉีโม่เลือกที่จะเชื่อมั่นใจในตัวเขา
ดังนั้น หลินอิ่งจะไม่ทำให้ฉีโม่ต้องผิดหวัง
จางฉีโม่พยักหน้า ดวงตาของเธอประกายความสุข เธอเข้าใจความตั้งใจของหลินอิ่ง
“แล้วเสิ่นซานและเจียงฉีล่ะ? ช่วงที่ผมหมดสติไป มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า??” หลินอิ่งมองไปที่จางฉีโม่และถามอย่างเคร่งขรึม
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้น” จางฉีโม่กล่าว “เสิ่นซานและเจียงฉีทั้งสองไปที่เมืองชิงหยูนแล้ว โดยบอกว่าพวกเขาจะไปช่วยคุณจัดการเรื่องธุรกิจบางอย่าง และวางแผนที่จะย้ายคุณไปโรงพยาบาลฝั่งโน้น”
หลินอิ่งพยักหน้า เหมือนนึกอะไรบางอย่างและถามว่า “ฉีโม่โทรศัพท์มือถือของผมยังอยู่อีกไหม?”
เขาไม่รู้ว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เขาหมดสติหรือไม่
คิดที่จะโทรหาลูกน้องที่ตี้จิงและเพื่อสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ทางโน้น
“โทรศัพท์ของคุณพังไปแล้ว” จางฉีโม่กล่าว สีหน้าของเธอกังวลเล็กน้อย “คุณไม่ต้องรีบขนาดนั้น ฟื้นแล้วก็กังวลเรื่องธุรกิจทันที”
“พักผ่อนก่อนเถอะ คุณได้รับอาการบาดเจ็บสาหัสหนัก และควรจะพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลอีกสองสามวัน”
หลินอิ่งยิ้มและกล่าวว่า “ผมไม่ชินกับการนอนอยู่ในโรงพยาบาล ผมรู้อาการของตนเองดี มันไม่มีอะไรผิดปกติ”
“ถึงเป็นเช่นนั้น คุณก็ต้องรอให้แพทย์ตรวจร่างกายเสร็จก่อน แล้วดูว่าคุณจะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้หรือไม่” จางฉีโม่กล่าวอย่างกังวล
“เมื่อเช้าฉันโทรหาคุณเสิ่นซาน แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงโทรไม่ติด” จางฉีโม่นึกอะไรขึ้นมาได้และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันอยากจะถามเขาเกี่ยวกับเรื่องการย้ายโรงพยาบาลให้คุณ แต่โทรไปหลายครั้งก็ไม่มีคนรับสาย ซึ่งมันค่อนข้างแปลก”
“เสิ่นซานไม่รับสายของคุณ?” หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วดวงตาของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
หลินอิ่งรู้จักนิสัยของเสิ่นซานเป็นอย่างดี เสิ่นซานเป็นคนที่จงรักภักดีมาก และเป็นคนชุดแรกที่ติดตามตนเอง
ถ้าไม่เกิดปัญหาใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รับสายของฉีโม่
หรือว่าจะเกิดปัญหาอะไรจริง ๆ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลินอิ่งก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน
เขามองไปที่ฉีโม่และกล่าวเบา ๆ ว่า “ฉีโม่ พวกเราไม่ได้ทานอาหารด้วยกันมานานแล้ว คืนนี้ไปทานอาหารเย็นด้วยกัน ผมจะออกไปจัดการเรื่องบางอย่างก่อน”
“ได้ค่ะ” จางฉีโม่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ฉันจะไปถามคุณหมอหลิวว่าคุณจะสามารถไปตรวจร่างกายได้เมื่อไหร่?”
หลินอิ่งพยักหน้า เดินไปไม่กี่ก้าว และพบว่ามีอาการเจ็บที่กระดูก
เขามองผ้าพันแผลที่แขน และรอยยิ้มที่ขมขื่นก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก
หลังจากการต่อสู้นองเลือดกับท่านมังกรดำแล้ว อาการบาดเจ็บส่งผลต่อการเคลื่อนไหวพื้นฐานของเขาจริง ๆ
สภาพร่างกายตอนนี้ จำเป็นต้องสวมผ้าพันแผลเป็นเวลามากกว่าสิบวัน
ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่สามารถใช้กำลังภายในได้
หลินอิ่งเดินช้า ๆ สองก้าว ฉีโม่รีบเดินมาช่วยพยุงหลินอิ่งจากด้านหลัง
“คุณเดินช้า ๆ หน่อย คุณเพิ่งฟื้น ไม่ต้องรีบเดินไปไหนมาไหน” จางฉีโม่มองไปที่หลินอิ่งและกล่าวอย่างกังวล
หลินอิ่งยิ้มและพยักหน้า
เมื่อเดินออกจากห้องพักผู้ป่วย กู่ชางไห่ก็เดินมาจากด้านข้างของทางเดิน ยืนโค้งอยู่ข้างหน้าหลินอิ่ง แสดงถึงความนอบน้อม
ในช่วงเวลาที่หลินอิ่งหมดสติ กู่ชางไห่ได้แอบปกป้องคุ้มครองอยู่ใกล้ห้องพักผู้ป่วยของหลินอิ่ง
เขารู้ว่าเรื่องนี้มีความสำคัญมาก และถึงกับตัดขาดการติดต่อกับตระกูลนิ่งที่ตี้จิง และช่วงไม่กี่วันมานี้เขาถึงกับไม่รับสายของนิ่งซวน
หลังจากผ่านการต่อสู้บนยอดภูเขาเจียงเยว่แล้ว เขารู้ดีว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสหลินอิ่งนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ดังนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา กู่ชางไห่จึงปกป้องคุ้มครองหลิงอิ่งอย่างลับๆ และเขาไม่ได้ปรากฏตัวออกมา
แม้แต่จางฉีโม่ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากู่ชางไห่คอยปกป้องคุ้มครองอยู่
“ขอแสดงความยินดีกับผู้อาวุโสที่ฟื้นแล้ว ผมกู่ชางไห่อยู่ที่นี่เพื่อรอรับคำสั่งของผู้อาวุโส” กู่ชางไห่กล่าวด้วยความนอบน้อม
จางฉีโม่มองกู่ชางไห่ด้วยท่าทางที่แปลกใจเล็กน้อย หลายวันที่ผ่านมาเธอไม่ได้สังเกตเห็นกู่ชางไห่ เธอรู้ว่ายอดฝีมือคนนี้แอบคุ้มครองความปลอดภัยของหลินอิ่งอยู่อย่างลับ ๆ
“หลินอิ่ง ฉันจะไปถามคุณหมอหลิวเกี่ยวกับการตรวจร่างกายของคุณก่อน พวกคุณคุยกันก่อน” จางฉีโม่กล่าว เธอรู้ว่าหลินอิ่งจะต้องสั่งให้ลูกน้องทำอะไรสักอย่าง เธอจึงเดินจากไปชั่วคราว
“อืม คุณไปเถอะ” หลินอิ่งพยักหน้า
จางฉีโม่เดินไปที่ทางเข้าลิฟต์ หลินอิ่งมองกู่ชางไห่ด้วยดวงตาที่เคร่งขรึมและถามว่า “สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เรื่องที่ผมให้คุณจับตัวเหวินเทียนเฟิ่ง คุณทำภารกิจเสร็จแล้วหรือยัง”
“ผู้อาวุโส ผมได้ปฏิบัติตามคำสั่งของคุณเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่คุณหมดสติ ผู้ที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในภูเขาเจียงเยว่ถูกฆ่าตายทั้งหมด ตอนนี้ผมได้กักขังเหวินเทียนเฟิ่งไว้ในวิลล่าแห่งหนึ่งในอำเภอเจียงเยว่” กู่ชางไห่กล่าวด้วยความนอบน้อม
“คุณทำได้ดีมาก” หลินอิ่งพยักหน้า
ก่อนหน้านั้นเขาได้สั่งให้กู่ชางไห่จับเป็นเหวินเทียนเฟิ่ง เพียงเพื่อที่จะสอบถามข้อมูลบางอย่างจากเหวินเทียนเฟิ่ง
นอกจากนั้น ยังมีความแค้นที่ฆ่าพ่อ และความแค้นการทำลายตระกูล
เขาจะต้องฆ่าเหวินเทียนเฟิ่งด้วยมือตนเอง
“แล้วสถานการณ์ทางเสิ่นซานและเจียงฉีเป็นยังไงบ้าง ทำไมถึงติดต่อพวกเขาไม่ได้” หลินอิ่งถามหลังจากหยุดไปชั่วขณะ
“เรื่องนี่….” กู่ชางไห่ลังเลเล็กน้อย
กู่ชางไห่กล่าวว่า “ผู้อาวุโส ผมได้รับข้อมูลข่าวกรองจากทางตี้จิงว่า มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่อ้างว่าเป็นคนของตระกูลของคุณ ชื่อหลินชิงเย่ยึดครอบครองธุรกิจของคุณในตี้จิง และทำร้ายหยูจื๋อเฉิงและนิ่งซวน”
“ที่ตี้จิง โกลาหลวุ่นวายเป็นอย่างมาก”
“นอกจากนั้น ข้อมูลข่าวกรองที่ผมได้รับล่าสุด คือหลินชิงเย่ได้มาถึงเมืองชิงหยูนแล้ว และกำลังสืบหาที่อยู่ของคุณ ขาดการติดต่อจากเสิ่นซานและเจียงฉีสองวันแล้ว คาดว่าพวกเขาน่าจะถูกหลินชิงเย่จับตัวไป”
กู่ชางไห่รายงานด้วยท่าทางเคร่งขรึม
กู่ชางไห่ได้ยินเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในตี้จิงและเมืองชิงหยูน
เขาใช้เครือข่ายข่าวกรองจากตระกูลนิ่งอยู่ตลอดเวลาเพื่อรวบรวมข่าวจากทั่วทิศ
ข่าวที่ได้มาเหล่านั้นไม่เป็นผลดีต่อผู้อาวุโสหลินอิ่งเป็นอย่างยิ่ง
“หลินชิงเย่? เป็นคนของตระกูลหลินแห่งลังยา?” หลินอิ่งกล่าวด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ
เขาคาดอยู่แล้วว่าคนของตระกูลหลินแห่งลังยาจะต้องมาสร้างเรื่องวุ่นวายแน่
กู่ชางไห่เหลือบมองหลินอิ่ง และเมื่อเขาเห็นสีหน้าที่สงบนิ่งของหลินอิ่ง ทำให้เขาก็รู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก สมกับที่เป็นผู้อาวุโสหลินอิ่ง ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ เขายังคงสงบสติอารมณ์ได้
กู่ชางไห่กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ถูกต้อง ผมได้ทำการสอบสวนแล้ว หลินชิงเย่เป็นคนหนุ่มที่โดดเด่นมีชื่อเสียงในตระกูลหลินแห่งลังยา ตอนนี้เขามาถึงเมืองชิงหยูนแล้ว และกำลังสืบหาที่อยู่ของคุณ เขาขู่ว่าจะจับคุณกลับไปตระกูลหลิน”