ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 668 สงบสติอารมณ์ได้

บทที่ 668 สงบสติอารมณ์ได้

“ฉันรู้ว่าคุณไม่ใช่คนธรรมดา” จางฉีโม่กล่าว “ฉันแค่กังวลว่าคุณจะไม่รังเกียจฉัน และการที่ฉันอยู่เคียงข้างคุณก็มีแต่จะทำให้คุณต้องเดือดร้อน…”

จางฉีโม่กล่าวด้วยท่าทางโศกเศร้า

เธอรู้ว่าหลินอิ่งไม่ใช่คนธรรมดา และพลังของเขานั้นไม่สามารถจินตนาการได้

การที่เธออยู่ข้างกายหลินอิ่ง แต่เธอไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ เป็นเแค่ตัวถ่วงของหลินอิ่ง

สิ่งที่ประสบในคราวนี้คือตัวอย่างที่ชัดเจน

เพราะเธอ หลินอิ่งเกือบถูกศัตรูลอบสังหารและเกือบถูกฆ่าตาย

“ฉีโม่ ต่อไปคุณอย่าพูดเช่นนี้อีกแล้ว” หลินอิ่งกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “เรื่องระหว่างเราคนสองคน ยังไม่ถึงขั้นเป็นตัวถ่วง”

ตอนแรก ที่หลินอิ่งกลับไปที่เมืองชิงหยูนนั้นเขาไม่มีอะไรเลย

ฉีโม่เลือกที่จะเชื่อมั่นใจในตัวเขา

ดังนั้น หลินอิ่งจะไม่ทำให้ฉีโม่ต้องผิดหวัง

จางฉีโม่พยักหน้า ดวงตาของเธอประกายความสุข เธอเข้าใจความตั้งใจของหลินอิ่ง

“แล้วเสิ่นซานและเจียงฉีล่ะ? ช่วงที่ผมหมดสติไป มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า??” หลินอิ่งมองไปที่จางฉีโม่และถามอย่างเคร่งขรึม

“ไม่มีอะไรเกิดขึ้น” จางฉีโม่กล่าว “เสิ่นซานและเจียงฉีทั้งสองไปที่เมืองชิงหยูนแล้ว โดยบอกว่าพวกเขาจะไปช่วยคุณจัดการเรื่องธุรกิจบางอย่าง และวางแผนที่จะย้ายคุณไปโรงพยาบาลฝั่งโน้น”

หลินอิ่งพยักหน้า เหมือนนึกอะไรบางอย่างและถามว่า “ฉีโม่โทรศัพท์มือถือของผมยังอยู่อีกไหม?”

เขาไม่รู้ว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เขาหมดสติหรือไม่

คิดที่จะโทรหาลูกน้องที่ตี้จิงและเพื่อสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ทางโน้น

“โทรศัพท์ของคุณพังไปแล้ว” จางฉีโม่กล่าว สีหน้าของเธอกังวลเล็กน้อย “คุณไม่ต้องรีบขนาดนั้น ฟื้นแล้วก็กังวลเรื่องธุรกิจทันที”

“พักผ่อนก่อนเถอะ คุณได้รับอาการบาดเจ็บสาหัสหนัก และควรจะพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลอีกสองสามวัน”

หลินอิ่งยิ้มและกล่าวว่า “ผมไม่ชินกับการนอนอยู่ในโรงพยาบาล ผมรู้อาการของตนเองดี มันไม่มีอะไรผิดปกติ”

“ถึงเป็นเช่นนั้น คุณก็ต้องรอให้แพทย์ตรวจร่างกายเสร็จก่อน แล้วดูว่าคุณจะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้หรือไม่” จางฉีโม่กล่าวอย่างกังวล

“เมื่อเช้าฉันโทรหาคุณเสิ่นซาน แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงโทรไม่ติด” จางฉีโม่นึกอะไรขึ้นมาได้และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันอยากจะถามเขาเกี่ยวกับเรื่องการย้ายโรงพยาบาลให้คุณ แต่โทรไปหลายครั้งก็ไม่มีคนรับสาย ซึ่งมันค่อนข้างแปลก”

“เสิ่นซานไม่รับสายของคุณ?” หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วดวงตาของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

หลินอิ่งรู้จักนิสัยของเสิ่นซานเป็นอย่างดี เสิ่นซานเป็นคนที่จงรักภักดีมาก และเป็นคนชุดแรกที่ติดตามตนเอง

ถ้าไม่เกิดปัญหาใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รับสายของฉีโม่

หรือว่าจะเกิดปัญหาอะไรจริง ๆ?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลินอิ่งก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน

เขามองไปที่ฉีโม่และกล่าวเบา ๆ ว่า “ฉีโม่ พวกเราไม่ได้ทานอาหารด้วยกันมานานแล้ว คืนนี้ไปทานอาหารเย็นด้วยกัน ผมจะออกไปจัดการเรื่องบางอย่างก่อน”

“ได้ค่ะ” จางฉีโม่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ฉันจะไปถามคุณหมอหลิวว่าคุณจะสามารถไปตรวจร่างกายได้เมื่อไหร่?”

หลินอิ่งพยักหน้า เดินไปไม่กี่ก้าว และพบว่ามีอาการเจ็บที่กระดูก

เขามองผ้าพันแผลที่แขน และรอยยิ้มที่ขมขื่นก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก

หลังจากการต่อสู้นองเลือดกับท่านมังกรดำแล้ว อาการบาดเจ็บส่งผลต่อการเคลื่อนไหวพื้นฐานของเขาจริง ๆ

สภาพร่างกายตอนนี้ จำเป็นต้องสวมผ้าพันแผลเป็นเวลามากกว่าสิบวัน

ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่สามารถใช้กำลังภายในได้

หลินอิ่งเดินช้า ๆ สองก้าว ฉีโม่รีบเดินมาช่วยพยุงหลินอิ่งจากด้านหลัง

“คุณเดินช้า ๆ หน่อย คุณเพิ่งฟื้น ไม่ต้องรีบเดินไปไหนมาไหน” จางฉีโม่มองไปที่หลินอิ่งและกล่าวอย่างกังวล

หลินอิ่งยิ้มและพยักหน้า

เมื่อเดินออกจากห้องพักผู้ป่วย กู่ชางไห่ก็เดินมาจากด้านข้างของทางเดิน ยืนโค้งอยู่ข้างหน้าหลินอิ่ง แสดงถึงความนอบน้อม

ในช่วงเวลาที่หลินอิ่งหมดสติ กู่ชางไห่ได้แอบปกป้องคุ้มครองอยู่ใกล้ห้องพักผู้ป่วยของหลินอิ่ง

เขารู้ว่าเรื่องนี้มีความสำคัญมาก และถึงกับตัดขาดการติดต่อกับตระกูลนิ่งที่ตี้จิง และช่วงไม่กี่วันมานี้เขาถึงกับไม่รับสายของนิ่งซวน

หลังจากผ่านการต่อสู้บนยอดภูเขาเจียงเยว่แล้ว เขารู้ดีว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสหลินอิ่งนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

ดังนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา กู่ชางไห่จึงปกป้องคุ้มครองหลิงอิ่งอย่างลับๆ และเขาไม่ได้ปรากฏตัวออกมา

แม้แต่จางฉีโม่ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากู่ชางไห่คอยปกป้องคุ้มครองอยู่

“ขอแสดงความยินดีกับผู้อาวุโสที่ฟื้นแล้ว ผมกู่ชางไห่อยู่ที่นี่เพื่อรอรับคำสั่งของผู้อาวุโส” กู่ชางไห่กล่าวด้วยความนอบน้อม

จางฉีโม่มองกู่ชางไห่ด้วยท่าทางที่แปลกใจเล็กน้อย หลายวันที่ผ่านมาเธอไม่ได้สังเกตเห็นกู่ชางไห่ เธอรู้ว่ายอดฝีมือคนนี้แอบคุ้มครองความปลอดภัยของหลินอิ่งอยู่อย่างลับ ๆ

“หลินอิ่ง ฉันจะไปถามคุณหมอหลิวเกี่ยวกับการตรวจร่างกายของคุณก่อน พวกคุณคุยกันก่อน” จางฉีโม่กล่าว เธอรู้ว่าหลินอิ่งจะต้องสั่งให้ลูกน้องทำอะไรสักอย่าง เธอจึงเดินจากไปชั่วคราว

“อืม คุณไปเถอะ” หลินอิ่งพยักหน้า

จางฉีโม่เดินไปที่ทางเข้าลิฟต์ หลินอิ่งมองกู่ชางไห่ด้วยดวงตาที่เคร่งขรึมและถามว่า “สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เรื่องที่ผมให้คุณจับตัวเหวินเทียนเฟิ่ง คุณทำภารกิจเสร็จแล้วหรือยัง”

“ผู้อาวุโส ผมได้ปฏิบัติตามคำสั่งของคุณเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่คุณหมดสติ ผู้ที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในภูเขาเจียงเยว่ถูกฆ่าตายทั้งหมด ตอนนี้ผมได้กักขังเหวินเทียนเฟิ่งไว้ในวิลล่าแห่งหนึ่งในอำเภอเจียงเยว่” กู่ชางไห่กล่าวด้วยความนอบน้อม

“คุณทำได้ดีมาก” หลินอิ่งพยักหน้า

ก่อนหน้านั้นเขาได้สั่งให้กู่ชางไห่จับเป็นเหวินเทียนเฟิ่ง เพียงเพื่อที่จะสอบถามข้อมูลบางอย่างจากเหวินเทียนเฟิ่ง

นอกจากนั้น ยังมีความแค้นที่ฆ่าพ่อ และความแค้นการทำลายตระกูล

เขาจะต้องฆ่าเหวินเทียนเฟิ่งด้วยมือตนเอง

“แล้วสถานการณ์ทางเสิ่นซานและเจียงฉีเป็นยังไงบ้าง ทำไมถึงติดต่อพวกเขาไม่ได้” หลินอิ่งถามหลังจากหยุดไปชั่วขณะ

“เรื่องนี่….” กู่ชางไห่ลังเลเล็กน้อย

กู่ชางไห่กล่าวว่า “ผู้อาวุโส ผมได้รับข้อมูลข่าวกรองจากทางตี้จิงว่า มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่อ้างว่าเป็นคนของตระกูลของคุณ ชื่อหลินชิงเย่ยึดครอบครองธุรกิจของคุณในตี้จิง และทำร้ายหยูจื๋อเฉิงและนิ่งซวน”

“ที่ตี้จิง โกลาหลวุ่นวายเป็นอย่างมาก”

“นอกจากนั้น ข้อมูลข่าวกรองที่ผมได้รับล่าสุด คือหลินชิงเย่ได้มาถึงเมืองชิงหยูนแล้ว และกำลังสืบหาที่อยู่ของคุณ ขาดการติดต่อจากเสิ่นซานและเจียงฉีสองวันแล้ว คาดว่าพวกเขาน่าจะถูกหลินชิงเย่จับตัวไป”

กู่ชางไห่รายงานด้วยท่าทางเคร่งขรึม

กู่ชางไห่ได้ยินเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในตี้จิงและเมืองชิงหยูน

เขาใช้เครือข่ายข่าวกรองจากตระกูลนิ่งอยู่ตลอดเวลาเพื่อรวบรวมข่าวจากทั่วทิศ

ข่าวที่ได้มาเหล่านั้นไม่เป็นผลดีต่อผู้อาวุโสหลินอิ่งเป็นอย่างยิ่ง

“หลินชิงเย่? เป็นคนของตระกูลหลินแห่งลังยา?” หลินอิ่งกล่าวด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ

เขาคาดอยู่แล้วว่าคนของตระกูลหลินแห่งลังยาจะต้องมาสร้างเรื่องวุ่นวายแน่

กู่ชางไห่เหลือบมองหลินอิ่ง และเมื่อเขาเห็นสีหน้าที่สงบนิ่งของหลินอิ่ง ทำให้เขาก็รู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก สมกับที่เป็นผู้อาวุโสหลินอิ่ง ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ เขายังคงสงบสติอารมณ์ได้

กู่ชางไห่กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ถูกต้อง ผมได้ทำการสอบสวนแล้ว หลินชิงเย่เป็นคนหนุ่มที่โดดเด่นมีชื่อเสียงในตระกูลหลินแห่งลังยา ตอนนี้เขามาถึงเมืองชิงหยูนแล้ว และกำลังสืบหาที่อยู่ของคุณ เขาขู่ว่าจะจับคุณกลับไปตระกูลหลิน”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท