ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 684 คำขาดสุดท้าย

บทที่ 684 คำขาดสุดท้าย

ลำพังไม่ได้ตัวหลินอิ่งก็ช่างเถอะ แต่นี่กลับเสียนายพลไปคนหนึ่ง

ถึงขนาดที่หากผู้อาวุโสสองโทรมาถามเกี่ยวกันเรื่องนี้โดยเฉพาะ ก็ทำให้หลินสวนถูรู้สึกไม่มีศักดิ์ศรี

“เอ่อ……”ชายหนุ่มชุดสูทมีสีหน้าละอาย”จากที่ได้ยินมา คือคุณชายเก้าแพ้ให้กับลูกน้องของหลินอิ่ง จึงหนีไปฝึกตนด้วยความอับอายและโกรธเคือง เมื่อฝึกจนเป็นนักศิลปะการต่อสู้แล้ว ค่อยออกจากเขามาท้าสู้หลินอิ่ง……”

“ปู่เจ็ดคุณก็รู้ ว่าคุณชายเก้านิสัยแบบนี้ หมกมุ่นในบูโด ทนต่อความอัปยศไม่ได้”ชายหนุ่มชุดสูทพูด

“ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ความ!”หลินสวนถูเย้ยหยัน”นี่เป็นลูกไม้ยั่วยุของหลินอิ่ง ก็คือเก็บกวาดเขาซะราบคาบ”

“ช่างเถอะ อย่างชิงเย่ ไม่อาจคาดหวังให้เขาทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้”หลินสวนถูพูดเย้ยหยัน

“แต่ฉินเหิงเยว่นั่นเขาก็อยู่กับชิงเย่ ทำไมไม่ห้าม?แล้วทำไมออกโรงไปจับหลินอิ่ง?”

“ตาแก่นั่นมีความคิดอะไรอื่นหรือเปล่า?จะประจบทั้งสองฝ่าย?”

หลินสวนถูยิ่งพูดยิ่งโมโห สายตาฉายความดุดันออกมา

เขาได้รับข้อมูลเรื่องหลินชิงเย่ไปมณฑลตุงไห่ เพื่อพูดคุยกับหลินอิ่งแล้ว

ผลลัพธ์ทำเอาประหลาดใจจริงๆ

อีกทั้งลูกน้องของหลินอิ่งสามารถเอาชนะหลินชิงเย่ได้ ทำเอาหลินสวนถูตกตะลึงเช่นกัน

ฝีมือบูโดของหลินชิงเย่นั้นเขารู้ดี ระดับสูงในการจัดอันดับ ยังคงการฝึกแบบดั้งเดิมของศิลปะการต่อสู้ตระกูลหลิน ยอดฝีมือธรรมดาๆ ไม่อาจรับมือได้

ได้ยินมาว่าคู่ต่อสู้เป็นแค่คนแก่เลือดลมไม่ค่อยดีระดับต่ำ?

เพียงแค่ได้เรียนรู้อุบายจากหลินอิ่งไม่กี่อย่าง ก็ทำให้ให้เอาชนะหลินชิงเย่ได้?

พูดตามตรงตอนเพิ่งได้ยินข่าวนี้ หลินสวนถูแทบไม่อยากจะเชื่อ

เมื่อคิดอย่างละเอียด ก็รู้สึกหวาดกลัวสุดๆ

ทันทีที่หลินอิ่งนั่นโผล่มา คิดไม่ถึงว่าจะมีความสามารถในการกลับสถานการณ์เช่นนี้

ฝีมือบูโดของเด็กหนุ่มนี่ เกรงว่าถึงระดับที่คาดเดาได้ยากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่ได้เป็นรองหลินสวนถู

“ที่คุณโทรหากับฉินเหิงเยว่ก่อนหน้านี้ ตาแก่นั่นอธิบายว่าไง?”หลินสวนถามขึ้น

ฉินเหิงเยว่มีท่าทีคลุมเครือมาก ทั้งไม่ห้ามหลินชิงเย่หนีออกจากบ้าน และไม่ลงมือจับตัวหลินอิ่ง คิดจะทำอะไร?

ประจบหลินอิ่งงั้นเหรอ?

ชายหนุ่มชุดสูทเหงื่อออกหน้าผาก พูดอย่างตึงเครียด:”ปู่เจ็ด ทางด้านผู้อาวุโสฉินอธิบายมาว่า เขาแค่ทำตามคำชี้แนะของแม่เฒ่า”

“เขาไม่ได้พูดอย่างอื่นอีกเหรอ?”หลินสวนถูถามน้ำเสียงเยือกเย็น

“ไม่มีครับ ผู้อาวุโสฉินพูดแค่ว่าทุกอย่างที่เขาทำ ล้วนทำตามคำชี้แนะของแม่เฒ่า”ชายหนุ่มชุดสูทตอบอย่างตึงเครียด

“ฮ่าๆ ตาแก่นี่ อาศัยความไว้ใจของแม่เฒ่าทำทุกอย่างที่ต้องการ!”หลินสวนถูพูดน้ำเสียงเยือกเย็น”ไม่อธิบายอะไรเลย แถมยังเอาแม่เฒ่ามาข่มฉันอีก”

“ดูเหมือนเขาไม่เห็นอำนาจของฉันและผู้อาวุโสสองในสายตา ให้ท้ายความอวดดีของหลินอิ่งเช่นนี้ นี่เขากำลังซื้อใจหลินอิ่งงั้นเหรอ?”

หลินสวนถูยิ้มเยาะออกมา เดือดอย่างเห็นได้ชัด

ขณะกำลังโกรธ สายตาหลินสวนถูก็ฉายความเยือกเย็นออกมา

การกระทำของฉินเหิงเยว่มันน่าโมโหเสียจริง แต่ว่าทำไมถึงไม่มีข่าวรั่วไหลออกมา

หลินอิ่งมีฝีมือที่ไม่ธรรมดาจริงๆ

ไม่งั้น จากความเฉียบขาดของฉินเหิงเยว่ ไม่มีทางให้หลินอิ่งทำเรื่องที่ทำให้ผู้อาวุโสสองขุ่นเคืองแน่นอน

เรื่องไหนสำคัญไม่สำคัญ ฉินเหิงเยว่สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน

อย่างที่ว่ากันว่า เมื่อเรื่องผิดปกติต้องมีปีศาจแน่นอน

“ปู่เจ็ด ยังไงผู้อาวุโสฉินก็เป็นคนที่แม่เฒ่าส่งมา ไม่อยู่ข้างเราก็ไม่มีอะไรต้องพูดถึง แต่จะจัดการหลินอิ่งคนนั้นยังไงต่างหากที่เป็นเรื่องด่วนที่ต้องจัดการ”ชายหนุ่มชุดสูทพูด”ผู้อาวุโสสองเริ่มทนไม่ไหวแล้ว ให้พวกเรารีบรวบเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง ให้หลินอิ่งไร้ที่พึ่ง กลับตระกูลหลินอย่างไม่เหลืออะไร”

“ไม่เลว ไม่ว่ายังไงเรื่องเร่งด่วนก็คือกวาดอำนาจทั้งหมดของหลินอิ่งให้เกลี้ยง ถึงเสือจะดุแค่ไหน แต่ไม่เขี้ยวก็ไร้ประโยชน์”หลินสวนถูพูดเสียงหนักแน่น

“ทางด้านเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง นิ่งซวน เป็นยังไงบ้าง?”หลินสวนถูพูดเสียงเย็นชา”สืบได้แล้วไหมว่าปกติเขาอยู่ที่ไหน?และลงมือได้เมื่อไหร่?”

“ปู่เจ็ด สืบจนรู้แล้วครับ พวกเรารู้ความเคลื่อนทั้งหมดของนิ่งซวนแล้ว สามารถลงมือได้ทุกเมื่อ เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้หลินอิ่งทิ้งยอดฝีมือไว้ที่ตี้จิงสองคน สามารถแฝงกายอยู่กับนิ่งซวนได้ตลอดเวลา เกรงว่ายากที่จะจับตัวเขา”ชายหนุ่มชุดสูทพูดสีหน้าจริงจัง

“คนสองคนที่หลินอิ่งทิ้งไว้ที่ตี้จิงนับว่ามีฝีมือ แต่ก็เป็นแค่คนที่เคยแพ้ฉัน ไม่จำเป็นต้องกังวล”หลินสวนถูพูดอย่างคร่าวๆ “รอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว รีบลงมือเลย ตอนนี้ไปหานิ่งซวนนั่น ให้คำขาดสุดท้ายกับเขา”

“ถ้าให้รอจนหลินอิ่งกลับตี้จิง ไม่รู้ว่าจะมีตัวแปรอะไรขึ้นบ้าง รีบรวบเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงให้ได้ก่อนหลินอิ่งกลับตี้จิง เมื่อถึงตอนนั้น เราได้ถือไพ่สุดท้ายของเขาไว้ หลินอิ่งก็จะหมดหนทาง”

หลินสวนถูพูดอย่างเฉียบขาด

หลินอิ่งทำให้หลินชิงเย่หนีไป การแสดงออกที่แข็งแกร่งจนทำให้ฉินเหิงเยว่อ่อนข้อ ทำเอาหลินสวนถูรู้สึกไม่สบายใจ

หลายที่เร่ร่อนอยู่ด้านนอกของตระกูลหลินคนนี้ ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็น แต่เป็นหนามที่จัดการยาก

“ปู่เจ็ดครับ สามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ แค่รอคำสั่งจากคุณ”ชายหนุ่มชุดสูทพูดอย่างจริงจัง

หลินสวนถูพยักหน้า พูดด้วยสีหน้าน่าเกรงขาม:”ไปหานิ่งซวนเดี๋ยวนี้!ไปกดดันเขา!”

……

20นาทีผ่านไป

ณ ภูเขาฉางชิง เมืองเทคโนโลยีเทียนหลง

ในห้องรองประธาน อาคารสำนักงานหลินซื่อกรุ๊ป

นิ่งซวนกำลังนั่งจัดการเอกสารที่โต๊ะทำงานด้วยสีหน้าจริงจัง

งานที่หลินอิ่งมอบหมายให้เขา ก็คือจัดการเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

การเปลี่ยนแปลงในตี้จิงช่วงนี้เขาก็รับรู้ แต่ไม่กล้าบุ่มบ่าม

ขนาดหยูจื๋อเฉิงก็ย้ายมาทำงานที่หลินซื่อกรุ๊ป ละทิ้งธุรกิจอื่นๆ เป็นการชั่วคราว

อย่างไรเสียเมื่อเผชิญการคุกคามของหลินสวนถูและพวก และประธานหลินก็ไม่อยู่ตี้จิง พวกเราจึงทำได้เพียงรวมตัวรวบรวมกำลัง ถึงจะปกป้องเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง กิจการสุดท้ายของประธานหลินได้

ก็อกๆ ๆ

เสียงเคาะประตูถี่ๆ ดังเข้ามา

จากนั้นหรงหยังก็เข้ามาอย่างตึงเครียดด้วยสีหน้าร้อนรน

“ประธานนิ่ง หลินสวนถูพาคนมาภูเขาฉางชิงแล้ว”หรงหยังพูดด้วยสีหน้าจริงจัง”ยังติดต่อทางด้านประธานหลินไม่ได้เหรอ?”

นิ่งซวนขมวดคิ้วพูด:”ยังติดต่อประธานหลินไม่ได้ คุณหรง คุณบอกว่าหลินสวนถูพาคนมาแล้ว?นี่เขาจะบีบให้ผมมอบเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงให้งั้นเหรอ?”

“ใช่ ครั้งก่อนเราปฏิเสธการเข้าร่วมแก๊งของหลินสวนถูไป ตอนนี้เขาน่าจะไม่พอใจ และมาไม้แข็ง”หรงหยังพูดเสียงหนักแน่น

ได้ยินเช่นนั้น สีหน้านิ่งซวนก็เคร่งขรึมลงทันที

“คุณหรง รบกวนคุณช่วยไปเชิญท่านปู่หวง คุณเย่ และลูกพี่หยูให้หน่อย เพื่อหารือว่าจะรับมือกับศัตรูยังไง”นิ่งซวนพูดอย่างจริงจัง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท