ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 691 ความสำคัญของหลินอิ่ง

บทที่ 691 ความสำคัญของหลินอิ่ง

“พี่หยุนซาน ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะ?” หลินสวนถูทำหน้าเคร่งเครียด พูดเสียงหนัก

ในฐานะที่ฉู่หยุนซานเป็นลูกชายคนโตของราชาแห่งยาฉู่จี้ชัง ซึ่งเป็นคนตระกูลฉู่แห่งเตียนหนาน รอบรู้การแพทย์ ความสามารถเรื่องบูโดก็สูงส่ง ถือว่าเลื่องชื่อในกลุ่มกองกำลังลึกลับ

แม้ตระกูลหลินแห่งลังยาเป็นผู้นำตระกูลใหญ่แห่งกองกำลังลึกลับทั้งหก แต่ตระกูลฉู่แห่งเตียนหนานก็หนึ่งในกองกำลังนั้นเช่นกัน

สองตระกูลต่างเพียงพื้นฐานและจุดหลักในการพัฒนาเท่านั้น

ตระกูลหลินแห่งลังยาเป็นผู้นำตระกูลใหญ่ คนตระกูลหลินทำการเหิมเกริม เกียรติศักดิ์ที่อยู่ด้านนอกเลื่องลือดังกระฉ่อน

แต่ตระกูลฉู่แห่งเตียนหนานเรียบสมถะ ใฝ่ศึกษาวิจัยการแพทย์ ทั้งไม่มีท่าทางยโสเหมือนตระกูลหลิน

หากวิเคราะห์โดยละเอียด ถ้าจะเทียบฉู่หยุนซานกับหลินสวนถูที่เป็นรุ่นสองและเป็นลำดับเจ็ดของตระกูลหลินแห่งลังยาแล้วก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน

เพราะศักดิ์ของนายท่านใหญ่ตระกูลหลินเทียบเท่าราชาแห่งยาฉู่จี้ชัง

คนหนึ่งเป็นตำนานอยู่จุดสูงสุดของบูโด ส่วนอีกคนก็เป็นเซียนแห่งการแพทย์

ฉู่หยุนซานหัวเราะ แล้วกล่าวอย่างเป็นเหตุเป็นผล “ผมแค่ทนดูพี่สวนถูรังแกเด็กไม่ได้เท่านั้น บีบบังคับเด็กรุ่นหลังของตัวเองแบบนี้ แล้วยังจะฉวยตอนหลินอิ่งไม่อยู่ตี้จิงฮุบกิจการเขาอีก”

“พี่สวนถูเป็นผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงในตระกูลหลิน ทำแบบนี้ไม่น่ามองเอาเสียเลย”

ฉู่หยุนซานหัวเราะพลางพูด ทว่าแต่ละคำนั้นกลับกระทบกระเทียบเสียดสีจนทำให้หลินสวนถูหน้าเขียวปั๊ด

“ฉู่หยุนซาน แกหมายความว่ายังไงกันแน่? หรือว่าวันนี้ที่มาอาคารเทียนหลงก็เพื่อจะหนุนหลังให้หลินอิ่ง?” หลินสวนถูพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ฉันจะบอกให้นะ หลินอิ่งเป็นลูกหลานของตระกูลหลิน นี่มันเป็นเรื่องภายในของตระกูลหลิน แกไม่มีสิทธิ์มายุ่ง! ทุกอย่างที่ฉันทำก็เป็นคำสั่งจากแม่เฒ่าทั้งนั้น!”

“ถ้าแกคิดว่าไม่สมควร ก็ไปสอบถามที่เขาลังยาได้!”

“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าแกจะกล้าไหม?!”

หลินสวนถูรู้สึกว่าอำนาจของตัวเองถูกท้าทาย ตะคอกออกไป แตกหักกับฉู่หยุนซานทันที

เขายอมไว้หน้าฉู่หยุนซานเล็กน้อย เป็นการให้เกียรติ

แต่ฉู่หยุนซานมาถึงก็พูดจาเสียดแทง ท่าทางอย่างกับจะออกหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมให้หลินอิ่ง

นี่ทำให้หลินสวนถูโมโหทันที และยังโมโหมากด้วย

“เหอะๆ” ฉู่หยุนซานหัวเราะเหอะๆ แล้วพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “หลินสวนถู คุณไม่ต้องเอาแม่เฒ่ามาข่มผม แม่เฒ่าขึ้นชื่อว่ารักชื่อเสียง จะให้คุณเรื่องน่าอายอย่างการข่มเหงรังแกเด็กเหรอ?”

“ผมก็บอกคุณได้เลย ว่าที่ผมมาตี้จิง เพราะได้รับคำสั่งจากคุณท่านตระกูลผมเหมือนกัน คุณท่านให้ความสำคัญกับหลินอิ่งมาก ก็เลยให้ผมมาช่วยเหลือเขาเป็นการเฉพาะ” ฉู่หยุนซานพูดเสียงเข้ม ท่าทางไม่ด้อยกว่าอีกฝ่าย

“อะไรนะ?! คุณท่านฉู่จี้ชังให้แกลงเขามาเพื่อช่วยเหลือหลินอิ่งเป็นการเฉพาะ?!”

เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว สีหน้าหลินสวนถูก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ประหลาดใจและสงสัย

ไม่ว่าหลินสวนถูจะวางอำนาจอย่างไร ก็มองข้ามตำแหน่งและฐานะของฉู่จี้ชังที่เป็นราชาแห่งยาผู้นี้ไม่ได้

ความสามารถด้านบูโดของราชาแห่งยาฉู่จี้ชังเป็นปริศนามาตลอด ทว่าชื่อเสียงก็ไม่เหนือไปว่านายท่านใหญ่ตระกูลหลิน

ไม่ว่าจะประสบการณ์ ศักดิ์ หรือการคบค้าสมาคมในแวดวงลึกลับ คุณท่านฉู่จี้ชังก็ไม่ด้อยไปกว่านายท่านใหญ่ตระกูลหลินเลย

หากได้พบปะหน้าจริง หลินสวนถูยังต้องเรียกคุณท่านฉู่ด้วยความเคารพนอบน้อม

“จะเป็นไปได้ยังไง? คุณท่านฉู่ไม่เคยสนใจโลกภายนอก ไม่เคยเข้าร่วมในศึกลึกลับมากี่ปีแล้ว? จะให้แกเจาะจงลงเขาเพื่อหลินอิ่งได้ยังไง?” หลินสวนถูไต่ถามด้วยความสงสัย

ล้อเล่นอะไร! ราชาแห่งยาถึงกับส่งคนมาเสริมทัพ นี่หลินอิ่งต้องมีหน้ามีตาขนาดไหนกัน?!

หลินอิ่งมีความสำคัญขนาดนี้เชียวหรือ?

“คุณไม่เชื่อ? เฮอะ” ฉู่หยุนซานหัวเราะ “เอาจริงๆ นะ ผมก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่คุณท่านให้ทำแบบนี้จริง คำพูดเดิมของเขาก็คือ ใครกล้าแตะหลินอิ่ง ก็ถือว่าแตะเขาด้วย!”

ฉู่หยุนซานเคยพบปะกับหลินอิ่งมาก่อน ครั้งที่แล้วเพราะเรื่องดอกโคม ตอนนั้นยังถูกหลินอิ่งล็อกไว้แล้วแย่งเอายาไป

ตอนแรกฉู่หยุนซานแค้นหลินอิ่งมาก

แต่เพราะท่าทีของคุณท่านและความสามารถของหลินอิ่งที่ไม่อาจคาดเดา จึงทำให้ฉู่หยุนซานเปลี่ยนทัศนคติใหม่

เขาเริ่มนับถือคนหนุ่มผู้ลึกลับคนนี้มากขึ้น

กระทั่งช่วงก่อนหน้านี้ ก่อนที่ตี้จิงเกิดเหตุจลาจล เมื่อคุณท่านได้รู้สถานการณ์แล้ว ก็ตัดสินใจส่งฉู่หยุนซานพร้อมยอดฝีมือตระกูลฉู่ลงเขามาเสริมกำลังให้หลินอิ่งที่ตี้จิงทันที

ด้วยท่าทางเช่นนั้น ฉู่หยุนซานยังถึงขนาดสงสัยว่าหลินอิ่งอาจเป็นลูกนอกสมรสของคุณท่านที่อยู่ข้างนอกก็ได้…

แต่คำพูดประโยคหนึ่งของคุณท่านทำให้เขาพลันเข้าใจ

“หลินอิ่งเป็นผู้มีพระคุณของฉัน ฉันจะไม่นิ่งดูดาย…”

คำพูดประโยคนั้นของคุณท่านฉู่ทำให้ส่วนลึกในหัวใจฉู่หยุนซานสั่นสะเทือน และให้ความสำคัญกับหลินอิ่งมากกว่าเดิม

เขารู้ว่าต่อไปหลินอิ่งต้องมีชื่อเสียงโด่งดังแน่

“หลินสวนถู คุณลองดูก็ได้นะ ว่าคุณท่านของผมจะกดคุณลงได้ไหม”

ได้ยินดังนั้นแล้ว สีหน้าหลินสวนถูก็ขมึงตึงหนักกว่าเดิม

ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินว่าหลินอิ่งไปมาหาสู่กับคนตระกูลฉู่แห่งเตียนหนานอยู่บ้าง แต่คิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์ที่หลินอิ่งไม่ออกหน้า จะให้คุณท่านฉู่ให้ความสำคัญขนาดนี้ ถึงกับส่งฉู่หยุนซานมาช่วยถึงตี้จิง เห็นชัดว่าราชาแห่งยาท่านนั้นชื่นชมหลินอิ่งมาก

ดูท่า…เขาจะประเมินหลินอิ่งต่ำไปจริงๆ

“จะจัดการกับหลินอิ่งยังไงมันก็เป็นเรื่องของตระกูลหลิน ฉู่หยุนซาน หรือว่าแกอยากทำให้สองตระกูลต้องขัดแย้งกัน?” หลินสวนถูพูดเสียงกร้าว “วันนี้ฉันขอเตือนเลยนะ อย่ายุ่ง! ไม่อย่างนั้นก็อย่าหาว่าฉันไม่ไว้หน้าก็แล้วกัน! แกคนเดียวขวางฉันไม่ได้หรอก!”

“งั้น…ถ้ารวมผมด้วยอีกคนล่ะ? จะขวางได้หรือเปล่า?”

ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นดังมา

เป็นจ้าวเฉิงเฉียนที่นำคนเดินย้อนกลับมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

เมื่อครู่ขณะที่ฉู่หยุนซานออกหน้าก็ดึงดูดสายตาเขาทันที ดังนั้นจึงหยุดฝีเท้าแล้วดูการประชันหน้าของทั้งสองฝ่าย

เมื่อเห็นสถานการณ์พอเหมาะจึงเข้าแทรก

“หือ?”

เมื่อเห็นจ้าวเฉิงเฉียนย้อนกลับมา หลินสวนถูก็หน้าเครียดทันที เชอะเสียงเย็น กำหมัดแน่น แทบอยากซัดสองคนนี้ให้คว่ำไปเสียตอนนี้

“สวัสดีครับผู้อาวุโสฉู่ พวกเราเคยเจอกันแล้ว วันนี้ผมก็มาเป็นกำลังเสริมให้พี่หลินอิ่งเหมือนกัน พวกเราเป็นพวกเดียวกัน” จ้าวเฉิงเฉียนมองทางฉู่หยุนซาน ยิ้มพลางพูด

ฉู่หยุนซานตะลึงงัน แต่ก็ไม่ได้พูดมาก แค่พยักหน้าให้เท่านั้น

คราวนี้ทั้งสองต่างรู้ใจกัน

จ้าวเฉิงเฉียนตกใจมากที่หลินอิ่งทำให้คุณท่านฉู่ส่งฉู่หยุนซานมาช่วยได้ ส่วนฉู่หยุนซานก็ตกตะลึงที่นายน้อยแก๊งหยางเหมินสนับสนุนหลินอิ่งด้วยเช่นกัน

ท่ามกลางสถานการณ์นี้ยิ่งเสริมให้ฐานะหลินอิ่งในใจพวกเขาสูงยิ่งขึ้น

“เหอะๆ พวกแกกล้าจริงนะ! เรื่องตระกูลหลินก็จะยุ่งด้วยเหรอ?” หลินสวนถูพูดเสียงเย็น ตอนนี้เขาหงุดหงิดมาก หมดความมั่นใจในการควบคุมทุกสิ่งไปแล้ว

สองคนนี้ทำให้เขากดดันจริงๆ

“ไม่ทราบว่าคุณก็คือคุณหลินสวนถูหรือเปล่าคะ? ฉันเป็นเพื่อนของหลินอิ่ง ฉันอยากถามหน่อย ว่าคุณสืบหาเบาะแสคุณหลินอิ่งมาตลอด ทราบไหมคะว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”

ตอนนี้เอง โครเมียร์ แอนนาก็เดินเข้ามา ถามกับหลินสวนถูด้วยความสงสัย

“หลีกปะ…”

หลินสวนถูเหลือบเห็นสาวผมทองงามหยาดเยิ้มคนหนึ่ง เมื่อครู่เขาอารมณ์ไม่ดีจึงคิดจะตวาดไล่เธอไป

แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นชายต่างชาติมีอายุ สวมหมวดสีดำที่ยืนอยู่ข้างเธอและได้สบนัยน์ตาเทาเข้มของคุณชายโหมแล้ว

ปากหลินสวนถูก็กระตุก รับรู้ถึงแรงกดดันมหาศาลทันที

“ฝรั่ง? ชูราแห่งความมืด?” หลังจากหลินสวนถูสบตากับอีกฝ่ายแล้วก็นึกขึ้นได้พูดพึมพำ ดวงตาเต็มไปด้วยความตระหนก

เขาคิดไม่ถึงเลย ขนาดหลินอิ่งไม่อยู่ตี้จิง ก็ยังมียอดฝีมือยักษ์ใหญ่สนับสนุนเขามากมายเพียงนี้…

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท