ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 695 ผู้ท้าชิงผู้สืบทอดตระกูลหลิน

บทที่ 695 ผู้ท้าชิงผู้สืบทอดตระกูลหลิน

ณ ห้องประชุมตัวU อาคารเทียนหลง

ที่โต๊ะประชุมระดับสูง เก้าอี้ทุกตัวบุคคลที่มีฐานะสูงส่งและมีอำนาจในตี้จิงนั่งอยู่

คนเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญไม่มากก็น้อยกับเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง

พวกเขาต่างกลัวการกดดันของหลินสวนถู ถูกบีบให้มาร่วมการประชุม

เพราะทิศทางในตอนแรกนั้น เป็นหลินสวนถูขึ้นบังเหียนแทนหลินอิ่ง

พวกเขาจำต้องมาทำความเคารพทักทาย

แต่คิดไม่ถึงว่าถึงหลินอิ่งจะกลับมาในเวลาสำคัญ ทำให้สถานการณ์เกิดการหักเหเปลี่ยนแปลง

ที่โต๊ะการประชุม หลินอิ่งนั่งลงด้วยความองอาจ

เขาราวกับกลับสู่บัลลังก์ของตัวเอง แลมองทุกคนจากที่สูง

แม้แต่หลินสวนถูที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ยังต้องแพ้ให้ในเรื่องท่าทาง ด้วยเพราะความสูงที่น้อยกว่าไปเป็นคืบ

เวลานี้ คุณชายโหม จ้าวเฉิงเฉียน ฉู่หยุนซานต่างยืนเด่นเป็นสง่า เงียบนิ่งอยู่ด้านหลังหลินอิ่ง

แค่หลินอิ่งมองหลินสวนถูไปแบบธรรมดา หลินสวนถูก็เหงื่อแตกเต็มหน้าผาก ใบหน้าชุ่มไปด้วยน้ำ รับกับสถานการณ์นี้ไม่ไหว อึดอัดเหมือนถูกย่างอยู่บนเตาไฟ

เขามีเพลิงโทสะสุมอยู่เต็มอก แต่กลับไม่กล้าแสดงออกมา

“หลินอิ่ง เรื่องของพวกหลินหวูเว่ย แกคิดจะอธิบายกับแม่เฒ่ายังไง? เรื่องนี้แม่เฒ่าโกรธมาก ต้องการให้แกกลับตระกูลหลินไปก้มหัวยอมรับผิด รับการลงโทษ!” หลินสวนถูทนไม่ไหวกับบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ เปิดปากพูดก่อน

หลินอิ่งยิ้มมุมปาก

เขารู้สึกได้ว่าท่าทีหลินสวนถูอ่อนลงไปแล้ว ขนาดเปิดปากพูดยังต้องอ้างแม่เฒ่า เห็นได้ว่าเขามีความกดดัน

“เรื่องของหลินหวูเว่ย ผมต้องไปอธิบายกับแม่เฒ่าอยู่แล้ว” หลินอิ่งพูดเรียบ “ว่าแต่คุณหลินสวนถูเถอะ มาฮุบธุรกิจของผมในตี้จิง จัดการลูกน้องผม แถมวันนี้ยังมาคุยโวอีก ว่าจะลงมือกับลูกน้องผมที่อาคารเทียนหลง? แถมยังจะให้ผมคุกเข่าสำนึกผิดที่อาคารเทียนหลงอีก?”

“เรื่องนี้คุณจะอธิบายกับผมยังไงมิทราบครับ?”

“เฮอะ!” หลินสวนถูไม่พอใจ “แกอยากได้คำอธิบายอะไรล่ะ?!”

“อะไรเรียกว่าฉันฮุบกิจการของแก? แกเป็นลูกหลานตระกูลหลิน ธุรกิจของแกก็คือธุรกิจของตระกูลหลิน ฉันเป็นปู่เจ็ดแก สั่งสอนลูกน้องแกยังต้องอธิบายอะไรอีก?”

“คุณ ขอโทษพร้อมชดใช้ให้พวกนิ่งซวนกับหยูจื๋อเฉิงตอนนี้ซะ ลุกขึ้นประกาศกับทุกคนว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตี้จิงเป็นความผิดของคุณ” หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา “จากนั้นก็ไสหัวออกไปจากตี้จิง!”

“ถ้าไม่ทำตามล่ะก็…ผมก็รับประกันได้เลย ว่าคุณออกจากที่นี่ไปไม่ได้แน่!”

“แก…จะรังแกกันมากไปแล้วนะ!” หลินสวนถูโมโหจนหนวดสั่น จ้องหลินอิ่งตาเขม็ง

พูดเป็นเล่นไปได้! หลินอิ่งเป็นผู้น้อย ถึงกับจะให้เขาไปขอโทษกับพวกไพร่ แล้วยังต้องยอมรับผิดชดใช้ต่อหน้าทุกคนอย่างนั้นเหรอ?

นี่ไม่ใช่จะเหยียบย่ำเขาให้จมดินหรืออย่างไร?!

“เป็นอะไรไปครับ? กล้าทำไม่กล้ารับเหรอ?” หลินอิ่งมองทางหลินสวนถูด้วยสายตาเย็นชา “คุณเป็นคนทำร้ายพวกเขา เป็นคนก่อเรื่อง เป็นคนเปิดการประชุมอาคารเทียนหลงในวันนี้”

“อย่าลืม! ผมจะให้โอกาสคุณแค่ครั้งเดียว! เห็นแก่แม่เฒ่า ผมจะไว้หน้าคุณหน่อย”

หลินอิ่งพูดเสียงเย็น ไม่มากความ

ถูกต้อง! ที่หลินอิ่งไม่ได้จับกุมหลินสวนถูทันทีก็เพราะเห็นแก่แม่เฒ่า

ถึงอย่างไรแม่เฒ่าตระกูลหลินก็เป็นยายแท้ๆ ของแม่เขา

กับตนก็ถือว่ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดนิดหน่อย

“หนอย…แก!”

หลินสวนถูโกรธเป็นไฟ ใบหน้าแดงก่ำ แทบเป็นลมจับไปทันที

เขาเงยหน้าขึ้นจ้องหลินอิ่งพรึบ อยากก่นด่าออกไป

แต่ทันทีที่เห็นนัยน์ตาล้ำลึกของอีกฝ่าย และเห็นความเหี้ยมของยอดฝีมือทั้งสามที่อยู่ด้านหลังแล้ว

ความเพลิงโทสะในใจเขาก็ดับวอดไปอีกครั้ง

คนฉลาดย่อมรู้จักอดกลั้น หลักการนี้เป็นที่รู้กันดี

หลินสวนถูรู้ว่าหากลงมือไป ไม่เพียงพวกคุณชายโหมทั้งสามจะทำให้เขาต้องตกที่นั่งลำบาก

แผนการก่อนหน้านี้ก็ต้องล้มไม่เป็นท่า เขาไม่อาจโค่นหลินอิ่งได้ด้วยตัวคนเดียว

แต่ถ้าต้องก้มหน้ายอมรับผิดจริง เขาก็ทำไม่ลงด้วยเหมือนกัน

“คุณชายหลินอิ่ง คนตระกูลหลินเดียวกัน มีอะไรค่อยพูดค่อยจา ไยต้องบีบคั้นกันด้วยเล่า?”

ตอนนี้เอง เสียงใสหนึ่งก็ดังขึ้น

ไม่รู้ว่ามาตี้จิงตั้งแต่เมื่อไหร่ ผู้อาวุโสฉินแห่งคณะกรรมการผู้อาวุโสตระกูลหลิน นำชายหนุ่มชุดคอจีนสองสามคนเดินเข้าประตูมายังโต๊ะประชุม

ผู้อาวุโสฉินมองหลินอิ่งด้วยความเป็นมิตร กล่าว “คุณชายหลินอิ่ง ในเมื่อคุณก็คิดจะกลับตระกูลหลินอยู่แล้ว เช่นนั้นทำไมไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปเล่า? ผมจะเป็นผู้ให้ความเป็นธรรมกับเรื่องนี้เอง ไม่ทราบคุณชายหลินมีความเห็นว่าอย่างไร?”

หลินอิ่งทำเฉย ไม่ตอบผู้อาวุโสฉิน

การปรากฏตัวของผู้อาวุโสฉินเป็นเรื่องที่เขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว

เขารู้ดีว่าคนผู้นี้นั่นแหละ ถึงจะเป็นตัวแทนที่แม่เฒ่าส่งลงเขามา

ทันทีที่ฉินเหิงเยว่เดินถึงโต๊ะประชุม คุณชายโหม จ้าวเฉิงเฉียนและฉู่หยุนซานต่างเบิกตาโพลง ท่าทางราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

พวกเขารู้สึกได้ว่าผู้อาวุโสฉินมีพลังบูโดแข็งแกร่งเพียงใด

เกรงว่าตาแก่คนนี้น่าจะมีกำลังพอคว่ำโต๊ะได้เลย

“ผู้อาวุโสฉิน คุณมาพอดีเลยครับ! คุณเป็นคนที่แม่เฒ่าให้ลงเขามาเป็นการเฉพาะ ทุกการกระทำ ทุกคำพูดของหลินอิ่งที่โอหังไร้มารยาทคนนี้ ในฐานะที่คุณเป็นผู้อาวุโสในคณะกรรมการ ก็น่าจะสั่งสอนเขาหน่อยใช่ไหมครับ?” หลินสวนถูพูดเป็นจริงเป็นจัง

การปรากฏตัวของฉินเหิงเยว่ทำให้หลินสวนถูเห็นความหวังในการพลิกสถานการณ์

ขอแค่ผู้อาวุโสฉินยอมยื่นมือเข้าช่วย ถึงหลินอิ่งจะเก่งกาจแค่ไหนก็ต้องยอมหยุดแต่โดยดี

“แคกๆ…” ผู้อาวุโสฉินไอแห้งแล้วมองทางหลินสวนถู พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “สวนถู เธอทำตามที่คุณชายหลินบอก ขอโทษชดใช้เงิน ยอมรับความผิดของตัวเองซะดีกว่า”

“อะไรนะ?!”

หลิยสวนถูมองอาวุโสฉินด้วยความเหลือเชื่อ

“ผู้อาวุโสฉิน นี่คุณหมายความว่ายังไง? คุณไม่รู้ความประสงค์ของผู้อาวุโสสองเหรอ? คุณจะช่วยหลินอิ่งมาข่มผม?

หลินสวนถูคิดไม่ถึงเลย ว่าผู้อาวุโสฉินที่เป็นคนสุขุมอย่างนี้จะยืนอยู่ฝั่งหลินอิ่ง

“ฉันต้องรู้อยู่แล้ว” ผู้อาวุโสฉินพูดเรียบ

“ในเมื่อคุณรู้ความประสงค์ของผู้อาวุโสสอง งั้นก็น่าจะรู้ว่าผมเป็นปู่เจ็ดของหลินอิ่ง ตระกูลหลินมีกฎให้ผู้ใหญ่มาขอโทษยอมรับผิดกับผู้น้อยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หลินสวนถูถาม

ผู้อาวุโสฉินหัวเราะเป็นเลศนัย “สวนถู นี่เป็นความประสงค์ของแม่เฒ่า”

“ฉันกำลังจะแจ้งข่าวเธออยู่พอดี เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของแม่เฒ่าที่ประกาศกับตระกูลหลินภายใน และแวดวงลึกลับ”ผู้อาวุโสฉินค่อยๆ เอ่ย “เมื่อคืนนี้ แม่เฒ่าตัดสินใจจะให้คุณชายหลินเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้สืบทอดคนที่สามของตระกูลหลิน…”

พูดจบ ผู้อาวุโสฉินก็มองหลินสวนถูแบบหยอกเย้าเล็กน้อย “เธอก็รู้ ว่า ‘ผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้สืบทอด’ หมายถึงอะไร? ตามกฎของตระกูล คุณชายอิ่งมีสิทธิ์สั่งการเธอ”

“อีกอย่าง ฉันจะบอกให้นะ แม่เฒ่ากำชับเองว่าให้เธอขอโทษคุณชายหลินอิ่ง ส่งมอบทุกอย่างในตี้จิงคืนคุณชายหลิน แล้วรับคุณชายหลินกลับเขาลังยา!”

เมื่อฟังคำพูดผู้อาวุโสฉินจบ หน้าสีหลินสวนถูก็ขาวเป็นกระดาษไป ยืนตะลึงอยู่กับที่ราวกับถูกฟ้าผ่า

แม่เฒ่าแต่งตั้งให้หลินอิ่งเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลหลิน…

ไม่อยากจะเชื่อ!

หลินสวนถูรู้ดีว่ากฎตระกูลหลินแห่งลังยาเข้มงวดแค่ไหน แบ่งแยกยศศักดิ์ชัดเจน

ผู้สืบทอดตระกูลหลิน สำหรับในตระกูล ฐานะนี้ก็เทียบเท่ากับรัชทายาทแห่งราชวงศ์

หรือจะบอกว่าเป็นรัชทายาทตระกูลหลินก็ไม่เกินไป

ถึงหลินสวนถูจะมีศักดิ์สูงกว่าหลินอิ่งมาก อายุก็มากกว่า แต่ก็ยังต้องฟังคำสั่งหลินอิ่งอย่างนอบน้อม…

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท