ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 705 งานเลี้ยงตระกูลหลิน

บทที่ 705 งานเลี้ยงตระกูลหลิน

มณฑลชางโจวตั้งอยู่เลียบทะเลทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศหลุง เป็นสถานที่ที่มั่งคั่งร่ำรวยมาก

เมืองชางโจวก็เป็นเมืองเจริญติดสิบอันดับของประเทศ

ขณะที่หลินอิ่งและจางฉีโม่เพิ่งลงจากเครื่องบิน ก็รู้สึกได้ถึงมนต์เสน่ห์ของเมืองนี้ทันที

เมื่อทอดสายตาออกไป ฟ้าคราม ปุยเมฆขาว สภาพแวดล้อมเมืองสะอาดสะอ้าน อากาศสดชื่น พื้นที่สีเขียวก็จัดการได้ดี

“ชางโจวเป็นสถานที่ดีจริงๆ เลยนะ…” จางฉีโม่มองด้วยความอยากรู้อยากเห็น สะท้อนใจชื่นชม

หลินอิ่งยิ้มบาง พยักหน้า

“หลินอิ่ง ที่พวกเรามาชางโจวครั้งนี้เพราะจะไปเยี่ยมคุณย่าทวดของคุณใช่ไหม? ฉันได้ยินข่าวลือที่ตี้จิงมา ว่าคุณมาชางโจวจะมีอันตราย” จางฉีโม่มองทางหลินอิ่ง ถามด้วยความสงสัย

เรื่องของหลินอิ่งเธอไม่อยากถามให้มาก

เพียงแต่ข่าวลือที่พูดกันหนาหูที่ตี้จิงเมื่อหลายวันก่อน ร่ำลือว่าถ้าคุณชายอิ่งกลับตระกูลที่ชางโจว ต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ เกี่ยวกับศึกภายในของตระกูลลึกลับบางตระกูลในประเทศหลุง

หลินอิ่งหัวเราะแล้วกล่าว “ฉีโม่ คุณก็ถือซะว่ามาเที่ยวชางโจวก็แล้วกัน ไม่มีเรื่องอะไรหรอก”

“รู้แล้วละน่า” จางฉีโม่พยักหน้า คิดบางเรื่องแล้วกล่าวอีก “ชางโจวเป็นที่น่าเที่ยว ฉันอยากไปตั้งหลายที่แน่ะ”

หลินอิ่งจึงว่า “คุณวางแผนหน่อยแล้วกัน ไว้ไปพบย่าทวดตระกูลหลินท่านนั้นแล้ว ผมค่อยไปเป็นเพื่อนคุณ”

ชางโจวเป็นเมืองท่องเที่ยวติดทะเลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ มีหาดทรายที่ชวนหลงใหล ทั้งแต่ละจุดในเมืองยังมีโบราณสถานขึ้นชื่ออีกมากมาย

“คุณชายหลินอิ่งครับ งานเลี้ยงต้อนรับคุณได้เตรียมพร้อมแล้ว อยู่ที่โรงแรมชางไห่ในเมืองครับ”

ตอนนี้เอง ผู้อาวุโสฉินก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“เห็นว่าคุณชายรองหลินเซี่ยวจะตัวแทนตระกูลมาต้อนรับการกลับมาของคุณเป็นการพิเศษด้วยนะครับ”

หลินอิ่งมองผู้อาวุโสฉินสายตาหนึ่งแล้วพูด “นี่ก็เป็นความประสงค์ของแม่เฒ่าด้วยเหรอครับ?”

ก่อนมาชางโจว หลินอิ่งได้ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับตระกูลหลินมาแล้ว รู้ว่าคุณชายรองหลินเซี่ยวเป็นคนอย่างไร

คนผู้นี้เป็นคนฝ่ายเดียวกับหลินสวนถู เป็นคนที่ผู้อาวุโสสองภูมิใจ และเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้สืบทอดด้วย

ตระกูลหลินส่งหลินเซี่ยวมาเป็นตัวแทนต้อนรับเขา ไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไรกันนะ

ผู้อาวุโสฉินหัวเราะแห้ง พยักหน้าแล้วเอ่ย “นี่เป็นความประสงค์ของคณะกรรมการผู้อาวุโส ในฐานะที่คุณชายหลินอิ่งเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งของตระกูลหลินที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง ก็ต้องให้คนที่มียศเท่าเทียมมาต้อนรับการกลับมาของคุณชายอยู่แล้ว นอกจากคุณชายรองหลินเซี่ยว ยังมีผู้อาวุโสอีกสองท่านของคณะกรรมการผู้อาวุโสมาร่วมด้วยครับ”

หลินอิ่งหน้านิ่ง กล่าวไปเรียบๆ “ตาของผมล่ะครับ?”

“พี่สวนหวาคุณตาของคุณชายอยู่ที่เขาลังยา สองวันมานี้แม่เฒ่ามีเรื่องงานมอบหมายให้เขา” ผู้อาวุโสฉินค่อยกล่าว “อย่างยังไงพี่สวนหวาก็กลับตระกูลหลินแล้ว แถมคุณชายก็เป็นผู้สืบทอดคนที่สามของตระกูล แม่เฒ่าก็ต้องแบ่งงานให้พี่สวนหวาอยู่แล้วล่ะครับ ยังหารือในคณะกรรมการผู้อาวุโสอยู่เลย”

ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วผู้อาวุโสฉินก็กล่าวต่อ “นอกจากนั้น ผมจะเตือนคุณชายสักหน่อย ท่านเฉินเฟิงยังรอคุณชายอยู่ที่เขาลังยา กระฟัดกระเฟียดกับเรื่องลูกศิษย์ของเขาอยู่เลย”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย

สถานการณ์ตระกูลหลินแห่งลังยาสลับซับซ้อนมาก ยังไม่ต้องพูดถึงสองฝ่ายใหญ่ แค่ท่านเฉินเฟิงก็เป็นตัวปัญหาแล้ว ตอนที่กวาดล้างตระกูลสวียังสังหารลูกศิษย์ของตัวเองอีก

คนผู้นี้กัดไม่ปล่อย ไม่รู้ว่าหากพบหน้าแล้วเขายังจะจำว่าใครเป็นคนทำลายมือขวาที่ถือกระบี่ของเขาในตอนนั้นหรือไม่

หลินอิ่งก็รู้อยู่ก่อนแล้วว่าหอบรรพบุรุษตระกูลหลินอยู่ที่เขาลังยา

เขาลังยาอยู่ที่ไหน? เกรงว่านอกจากคนตระกูลหลินแล้วก็ไม่มีใครหาพบ อย่างไรก็เป็นตระกูลลึกลับ คนธรรมดาต้องหาเบาะแสไม่พบอยู่แล้ว

และก่อนที่จะได้พบแม่เฒ่าผู้นั้น เขายังต้องพบคุณชายรองแห่งตระกูลหลินก่อน

“คุณชายหลินอิ่งขึ้นรถเถอะครับ”

ผู้อาวุโสฉินยกมือขึ้นเป็นการบอก

ทางเข้าสนามบินมีรถไมบัคสีดำจอดอยู่หลายคัน เป็นรถที่มารับเขานั่นเอง

หลินอิ่งพาจางฉีโม่ขึ้นรถ

ยี่สิบกว่านาทีให้หลัง

รถก็จอดอยู่ในลานโรงแรมที่ตกแต่งอย่างหรูหราและอยู่ใจกลางความเจริญคึกคักแห่งหนึ่งแล้ว

โรงแรมชางไห่ราวกับถูกเหมาไว้หมด ภายในล็อบบี้ไม่มีแขกอื่น มีเพียงพนักงานต้อนรับหนุ่มที่สวมชุดสูทสีดำคนเดียวเท่านั้น แลดูอึมครึมมาก

ด้วยการนำของพนักงาน หลินอิ่งและจางฉีโม่ก็มาถึงห้องงานเลี้ยงชั้นสิบหก

ข้างกายหลินอิ่งมีเพียงกู่ชางไห่คนเดียว

การมาชางโจวครั้งนี้ หลินอิ่งพากู่ชางไห่มาเท่านั้น

เพราะกู่ชางไห่ก็เป็นยอดฝีมือ พอรับมือกับคนในตระกูลลึกลับได้บ้าง

ฮาเดสพนักงานขับรถบวกบอดี้การ์ดถูกหลินอิ่งส่งไปเมืองก่างแล้ว จัดการเรื่องห้างสรรพสินค้าในเมืองก่างกับคริส

ทีแรกหลินอิ่งยังคิดพาเย่เฮยกับหวงชิงซานมาชางโจวด้วย คนเยอะจะได้ช่วยกัน

แต่หลังจากพูดคุยกับซือคงฟู่แล้ว หลินอิ่งก็เปลี่ยนความคิด

เขาให้พวกเย่เฮยไปเมืองจี้โจวเตรียมการไว้ที่นั่นล่วงหน้า พร้อมไปสืบข่าวหยั่งเชิงจ้าวเฉิงเฉียนไว้ก่อน

ส่วนซือคงฟู่ หลินอิ่งคิดว่าคนผู้นี้ต้องเคลื่อนไหวที่ชางโจวแน่

หลินอิ่งรู้ศักยภาพการทำงานของแก๊งมังกรดี

ซือคงฟู่มีแผนกับเขา อยากเข้าแทรกแซงตระกูลหลินผ่านเขา เช่นนั้นเขาต้องไม่อยู่เฉยแน่

“ฮ่าๆ ทุกท่าน ผมได้เชิญคุณชายหลินอิ่งกับคุณนายกลับชางโจวมาแล้ว ทุกคนมาทักทายกันเถอะ”

พอผู้อาวุโสฉินเข้างานมา ก็ยิ้มแย้มหัวเราะทักทายกับทุกคนทันที

ทันใดนั้น ผู้คนที่นั่งอยู่ในงานก็ทอดสายตาอยากรู้อยากเห็นมา

งานเลี้ยงจัดโต๊ะอยู่เจ็ดแปดตัว มีชายหญิงนั่งอยู่หลายสิบคน

แต่ละคนต่างแต่งกายมีระดับ มีบุคลิกสง่างาม รายละเอียดบนตัวทุกจุดล้วนแสดงออกถึงฐานะ

“นี่ก็คือคุณชายอิ่งแห่งตี้จิงที่ร่ำลือท่านนั้น? ว่าที่คุณชายสามของพวกเรา?”

“นี่ลูกชายของอาซูชิงที่อยู่ข้างนอกเหรอ? ก็ดูเหมือนกันนะเนี่ย…”

แพล็บเดี๋ยวทุกคนที่อยู่ในงานก็กระซิบกระซาบกัน สายตาสำรวจหลินอิ่งและจางฉีโม่อย่างละเอียด

หลินอิ่งเคยชินกับสถานการณ์แบบนี้นานแล้ว มองทุกคนด้วยสายตาเฉยเมย

แต่จางฉีโม่ที่อยู่ด้านข้างกลับเขินอายเล็กน้อย ไม่ค่อยชินกับสายตาที่มองมาแบบดาวล้อมเดือน

“ฮ่าๆ น้องหลินอิ่ง ชื่อเสียงเธอโด่งดังไปทั่ว รอเธอกลับมาอยู่นานแล้ว ตระกูลได้คนมีความสามารถเพิ่มมาอีกคน เป็นบุญของตระกูลจริงๆ!”

ตอนนี้เอง ใบหน้ายิ้มแย้มเสียงใสก็ดังมา

ชายหนุ่มตาประกาย คิ้วดาบในชุดเสื้อคลุมยาวสีเขียว ย่างเท้าเดินมาด้วยอารมณ์ดีใจ

“คุณชายหลินอิ่ง ท่านนี้ก็คือคุณชายสอง ถ้านับแล้วพวกคุณก็เป็นพี่น้องรุ่นเดียวกัน พูดคุยเข้ากันได้พอดี” ผู้อาวุโสฉินยิ้มพลางพูดอยู่ข้างๆ

“ผมอายุพอๆ กับน้องหลินอิ่ง คิดว่าต้องคุยถูกคอกันแน่ นี่ก็คือคุณนายของน้องหลินอิ่ง คุณนายหลินล่ะสิ?”

“สวัสดีครับพี่เซี่ยว”หลินอิ่งยิ้มแล้วพูด

“สวัสดีค่ะ” จางฉีโม่ก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม กล่าวอย่างมีมารยาท

“ไม่ต้องเกรงใจ นั่งสิ”

หลินเซี่ยวยกมือขึ้นเป็นการบอก พูดด้วยความเกรงใจ

หลินอิ่งพาจางฉีโม่เดินไปทางที่นั่ง

จากนั้นเขาก็ลากเก้าอี้ออกมาให้จางฉีโม่นั่งก่อน ส่วนตัวเองค่อยนั่งอยู่ด้านข้าง

แกรก!

วินาทีที่หลินอิ่งนั่ง จู่ๆ เก้าอี้ไม้จันทน์ตัวนี้ก็ขาหักไปข้าง ง่อนแง่นทันที

หลินอิ่งรู้ตัวไว เขาลุกขึ้นมาโดยพลันแล้วมองทางหลินเซี่ยวที่อยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

“พวกแกจัดการกันยังไง? เป็นหรือเปล่าเนี่ย? ขนาดเก้าอี้ดีๆ สักตัวก็หาไม่ได้เหรอ? ขายหน้าจริงๆ! รีบไปเปลี่ยนเก้าอี้มาเร็ว!”

หลินเซี่ยวก่นด่าผู้ติดตามหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง

“เหอะๆ คุณชายเซี่ยว เก้าอี้ตระกูลหลินนั่งยากจริงๆ เลยนะ อย่าว่าแต่เก้าอี้สามขาที่ให้คุณชายหลินนั่งเลย! นี่ผมก็ชักกลัวจะนั่งไม่ดีแล้วสิ!” ตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมที่นั่งอยู่ก็พูดสัพยอก

หลินเซี่ยวจึงพูดกึ่งล้อเล่น “เหล่าลี่ นี่คุณพูดผิดไปแล้วนะ เป็นเพราะน้องหลินอิ่งบุญหนักศักดิ์ใหญ่เกินไป เก้าอี้ธรรมดาจะแบกรับได้ยังไง?”

ว่าแล้วหลินเซี่ยวก็มองไปทางหลินอิ่ง มุมปากแขวนรอยยิ้มดูหมิ่น

หลินอิ่งหัวเราะ จงใจวางเก้าอี้สามขา เขารู้อยู่แล้วว่างานเลี้ยงวันนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่

หลินเซี่ยวกำลังบอกเขาเป็นนัย ว่านั่งตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลหลินไม่ได้

“ถ้านั่งเก้าอี้ตัวนี้ไม่ได้ งั้นอาหารบนโต๊ะก็คงไม่ต้องกินกันแล้วสิครับ?” หลินอิ่งมองทางหลินเซี่ยวแบบหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท