ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 707 ที่ชางโจว แกเป็นตัวอะไร?!

บทที่ 707 ที่ชางโจว แกเป็นตัวอะไร?!

“เหรอ?” หลินเซี่ยวหรี่ตามองหลินอิ่ง มุมปากยิ้มเย็น

“คุณชายรอง น้องชายของคุณช่างไม่เห็นความหวังดีของคุณเอาเสียเลย มีน้องที่ไหนใช้น้ำเสียงอย่างนี้พูดกับพี่บ้าง?” เหลาอู่ดื่มสุราแล้วพูดกับหลินอิ่งด้วยความเย็นชา

“คุณชายรอง ในเมื่อหัวหน้าสมาคมหลินจะจัดการเอง งั้นคุณก็อย่ายุ่งเรื่องของเขาเลย แบบนี้จะดีที่สุด!” หลี่ว่านหยวนก็พูดอย่างเย็นชาด้วย “เหอซานกู เหอซานจินมีไมตรีกับเหลาหลี่มาหลายปี เรื่องนี้ผมก็ต้องขอคำอธิบายกับหัวหน้าสมาคมหลินด้วยเหมือนกัน!”

หลินอิ่งหัวเราะเย็น แล้วมองทางหลี่ว่านหยวนด้วยสายตาเย็นชา “คุณต้องการคำอธิบายอะไรครับ?”

“หัวหน้าสมาคมหลิน ผมพูดตรงๆ เลยนะ ตามหลักแล้ว ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต นี่เป็นกฎที่รู้กันดี แต่เห็นแก่คุณชายรอง วันนี้ผมจะไว้ชีวิตคุณสักครั้ง” หลี่ว่านหยวนคาบซิการ์ พูดอย่างโอหัง “แบบนี้แล้วกัน คุณก็ขึ้นธูปสามดอกให้เหอซานจิน โขกศีรษะ แล้วสำนึกความผิดตัวเองต่อหน้าเหอซานกู แล้วผมจะให้เรื่องนี้ยุติเอง”

“คุณคิดให้ดีนะ ที่ชางโจวนี่คุณไม่ใช่อะไรทั้งนั้น” หลี่ว่านหยวนเตือนอย่างดุดัน “ไม่ว่าคุณอยู่ตี้จิงจะใหญ่โตล้นฟ้าขนาดไหน แต่เมื่ออยู่ที่นี่ แค่ผมสั่งการไป คุณก็ต้องเป็นกองกระดูกแล้ว”

ขณะที่หลี่ว่านหยวนพูด เหอซานกูก็นำยอดฝีมือของหุบเฉินเฟิงเข้าล้อมหลินอิ่ง จิตสังหารแผ่ขยายไปทั่ว

พร้อมกันนั้นลูกหลานตระกูลหลินในงานก็คงความนิ่งเงียบ มองปฏิกิริยาของหลินอิ่ง

ใบหน้าพวกเขาล้วนมีความดูถูก

เรื่องที่หลินอิ่งประสบอยู่ไม่แปลกเลยสักนิด

ไม่คิดล่ะ ว่าตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลหลินนั่งกันได้ง่ายๆ อย่างนั้นเชียวหรือ?

ผู้มีความสามารถในตระกูลหลินมีมากมายเหลือคณา แต่หากไม่แน่จริงแล้วใครจะยอมก้มหัวให้เล่า?

หลินอิ่งนั่นเก้าอี้ ยกสุราขึ้นดื่มช้าๆ ใบหน้าเขาไร้อารมณ์ มีเพียงความเหี้ยมที่มุมปากเล็กน้อย

อย่างชัดเจน หลินเซี่ยวเตรียมเรื่องทั้งหมดไว้อยู่ก่อนแล้ว

ให้เหอซานกูมาก่อความวุ่นวาย

หากเขาชนะก็ไม่งาม ทั้งยังได้ชื่อว่ารังแกหญิงอ่อนแอ

หากแพ้ เกียรติศักดิ์สูญสิ้น แล้วยังอาจต้องทิ้งชีวิตที่นี่ด้วย

หากให้หลินเซี่ยวไกล่เกลี่ย เช่นนั้นก็เท่ากับอ่อนข้อให้

หลินเซี่ยววางแผนไว้ดีมาก โยนเรื่องยากมาให้เขาแก้ ส่วนตนก็นั่งดูอยู่เฉยๆ

“น้องหลินอิ่ง ฉันก็อยากปกป้องเธอนะ แต่ในเมื่อเธอจะจัดการเอง งั้นก็จัดการให้เรียบร้อยแล้วกัน ถึงยังไงก็เกี่ยวพันถึงหน้าตาตระกูลหลินเรา และเธอก็เป็นตัวแทนของตระกูล” หลินเซี่ยวค่อยวาที “แต่ถ้าเธอจัดการไม่ได้แล้วจริงๆ ก็ให้ฉันจัดการแล้วกัน”

“แต่แน่นอนว่าฉันต้องทำตามเหตุผล ไม่เข้าข้างญาติ ถ้าน้องหลินพูดกับเหอซานกูด้วยเหตุผลไม่สำเร็จ งั้นฉันก็ต้องยึดหลักคุณธรรม ให้เธอขอขมาอีกฝ่ายแล้วล่ะ” หลินเซี่ยวยิ้มเย็นแล้วพูด

เมื่อได้ฟังคนเหล่านี้พูดจาเคร่งเครียดกันแล้ว จางฉีโม่ที่อยู่ด้านข้างก็เริ่มตื่นตระหนก กระตุกแขนเสื้อหลินอิ่ง

“หลินอิ่ง ไม่งั้นเราก็ยอมให้หน่อยแล้วกัน เราไปกันก่อน?” จางฉีโม่กล่าวกระซิบ

สภาพการณ์นี้เห็นชัดว่าคนพวกนี้เตรียมการไว้อยู่แล้ว อยากให้หลินอิ่งขายหน้า

จางฉีโม่กังวลมาก เพราะหลินอิ่งไม่คุ้นเคยกับชางโจว ไม่มีเส้นสายอิทธิพล อีกอย่าง ช่วงก่อนหลินอิ่งก็เจ็บหนักเพิ่งออกโรงพยาบาลมา ไม่แน่ว่าจะสู้กับคนโฉดพวกนี้ได้

หลินอิ่งลูบหลังมือจางฉีโม่เบาๆ แล้วกระซิบ “ไม่เป็นไร ผมจัดการได้ครับ”

“ยังไง? หลินอิ่ง แกกลัวแล้วละสิ? ถ้ากลัวก็ไปโขกหัวขอขมาศิษย์พี่ของฉันซะ! แล้วฉันจะเห็นแก่ตระกูลหลินไว้ชีวิตแก!” เหอซานกูตวัดกระบี่เนื้ออ่อนยาวออกมา แล้วชี้ไปทางหลินอิ่งเป็นการข่ม

หลินอิ่งไม่สนใจเหอซานกู แต่มองหลินเซี่ยวด้วยความเย็นยะเยือกแทน

“หลินเซี่ยว ที่คุณส่งตัวตลกพวกนี้ขึ้นมา เพราะอยากเห็นความอดทนของผมล่ะสิ?”

หลินอิ่งยิ้มเย็น จากนั้นก็หยิบแก้วสุราขึ้นมาลิ้มรส

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์อย่างนี้ หลินอิ่งย่อมมีแผนอยู่ในใจ

ถึงเขายังไม่ผ่านระยะวัฏจักร แต่อาการก็ดีขึ้นมาแล้ว อย่างน้อยก็พอออกกำลังได้ถึงขั้นกลางค่อนบนของรายการแห่งดิน

เหอซานกูที่ท่าทางดุดัน หากเทียบกับเหอซานจินก็เก่งกว่านิดหน่อย น่าจะอยู่ขั้นกลางของรายการแห่งดิน

ส่วนคนหุบเฉินเฟิงที่เหอซานกูพามาพวกนั้นแม้เป็นยอดฝีมือ ทว่าแต่ละคนก็อยู่ในขั้นรายการแห่งคนเท่านั้น หากบุกเข้ามาพร้อมกันก็ให้ลำบากเหมือนกัน

แต่คนหุบเฉินเฟิงยังไม่ต้องเป็นห่วง

ที่หลินอิ่งต้องคำนึงถึงก็คือหลินเซี่ยว ตัวการใหญ่ที่แท้จริงต่างหาก

หลินเซี่ยวคุณชายรองแห่งตระกูลหลินคนนี้ ระดับบูโดเกรงว่าจะไม่ด้อยว่าฉินเหิงเยว่ เกือบแตะถึงระดับรายการแห่งฟ้า

แต่หลินอิ่งมาชางโจวครั้งแรก ไม่อยากเปิดไพ่ของตัวเองเร็ว

ในเมื่อคลี่คลายสถานการณ์นี้ไม่ได้ งั้นก็ได้แต่แตกหักกัน สู้ศึกกับหลินเซี่ยว ทำลายหมากกระดานนี้

เพียะ!

ทันใดนั้นหลี่ว่านหยวนก็ตบโต๊ะ ลุกขึ้นยืนจ้องหลินอิ่งเขม็ง

“แกว่าใครเป็นตัวตลก? หลินอิ่ง แกอย่างมาลำพองตัวให้มากนักนะ! ที่ชางโจวแกเป็นตัวอะไรกัน? พวกเราเห็นแก่คุณชายรองต่างหาก ไม่งั้นวันนี้ก็เก็บแกไปแล้ว!” หลี่ว่านหยวนพูดเสียงกร้าว

“เฮอะ! คุณชายอิ่งยิ่งใหญ่เสียจริง คิดว่านี่เป็นตี้จิงทำใหญ่ทำโตได้เหรอ?” เหลาอู่ก็ยิ้มเย็นพูดด้วย

“หลินอิ่งหนอหลินอิ่ง แกคิดว่าตัวเองเก่งกาจแล้วจริงเหรอ? เรื่องของแกฉันก็สืบมาหมดแล้ว เห็นว่าหลายปีก่อนก็ไปเป็นเขยแต่งเข้าที่เมืองเล็กๆ ของตุงไห่ ไร้ศักดิ์ศรีดีๆ นี่เอง พอกลับตระกูลฉีก็สืบทอดมรดกอันน้อยนิด อยู่ตี้จิงจนขึ้นชื่อมาหน่อยก็คิดว่าตัวเองเป็นคนดังแล้วเหรอ?” หลี่ว่านหยวนพูดส่อเสียด สายตาดูแคลนเย้ยหยัน

“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณชายรองห้ามไว้ แค่ที่แกพูดมาในวันนี้ ฉันหลี่ว่านหยวนรับรองได้เลยว่าจะทำให้แกออกจากโรงแรมชางไห่ไม่ได้แน่!”

หลินเซี่ยวยิ้มเย็นมองหลินอิ่ง แผ่ซ่านกลิ่นอันตรายออกมาทั่วตัว เหมือนดั่งอินทรีย์ที่พร้อมตะครุบเหยื่อตลอดเวลา

ใช่แล้ว! เขากำลังรอหลินอิ่งหาเรื่องอยู่ ขอแค่หลินอิ่งทนกับการถากถางไม่ได้แล้วลงมือ เผยช่องโหว่ออกมา เขาก็จะบุกโจมตี ให้หลินอิ่งขายหน้าในงานเลี้ยงทันที

แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด หลินอิ่งนิ่งสงบดุจสายน้ำ ไม่ไหวติง แต่จดจ้องทุกการกระทำของเขาแทน

“เรื่องนี้…เหมือนว่าฉันก็เคยได้ยินมา เห็นว่าคุณชายสามหลินอิ่งเคยมีช่วงหนึ่งที่ไปเป็นเขยแต่งเข้า คณะกรรมการผู้อาวุโสยังเคยโกรธจัด บอกว่าคนที่ลบหลู่ตระกูลหลินอย่างนี้จะให้กลับตระกูลมาได้ยังไง?”

“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ? ตระกูลหลินของเราไม่ใช่ว่าไม่มีคนเก่งซะหน่อย ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าคิดยังไง เอาคนอย่างนี้มาเป็นผู้สืบทอด”

“ดูคุณชายสามยังอ่อน แค่เจอกับการถามของคุณชายรองก็ยังไม่กล้าแสดงท่าทีอะไร สภาพการณ์แบบนี้ ดูท่าเขาคงจัดการไม่ได้แน่”

ก็ขณะที่มีคนชักดาบออกมาตั้งตนฝั่งตรงข้ามอยู่นั้นเอง

โต๊ะอื่นในงานก็มีคนตระกูลหลินหลายคนเริ่มซุบซิบนินทา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท